ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 53 แย่งคนถึงหน้าประตู
ห้าสิบสาม
แย่งคนถึงหน้าประตู
สตรีผู้นั้นหลุดหัวเราะออกมา “ดูคำพูดของสะใภ้ซุนผู้นี้สิ ทุกคนบนแผ่นดินนี้ก็ต้องตายไม่ใช่หรือ หรือพอถึงเวลาแล้วจะมีเพียงเจ้าคนเดียวที่ไม่ตาย จะอยู่เป็นเทพธิดาแก่ๆ หรืออย่างไร”
ชาวบ้านที่อยู่รอบๆ ได้ยินสตรีผู้นั้นเอ่ย ต่างก็พากันหัวเราะทันทีสะใภ้ซุนเดือดดาลจนทำท่าจะพุ่งไปฉีกปากทุกคน ทว่าสามีของนางจับแขนเอาไว้แน่น
วันนี้พวกเขาไม่ได้มาทะเลาะกับคนที่นี่ เพราะมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่านั้น
สตรีผู้นั้นพูดขึ้นมาอีก “สะใภ้ซุน เจ้าเสียใจที่น้องสามีของเจ้าตายจากไป อย่าว่าแต่เจ้า พวกข้าก็เสียใจที่จู่ๆ มีคนจากไปอย่างกะทันหัน แต่เศร้าใจแล้วจะอย่างไร สุดท้ายยังต้องว่ากันไปตามหลักความเป็นจริง อยู่ดีๆ เจ้าจะมาบอกว่าน้องสามีถูกฆ่าได้อย่างไร ถ้าเช่นนั้นเจ้าพูดมาว่าใครที่ฆ่าน้องสามีของเจ้า”
จากนั้นก็ชี้นิ้วไปยังชาวบ้านที่กำลังช่วยกันทำงานทั้งในและนอกเรือน “เจ้าจะบอกว่าหนึ่งในพวกข้า… ชาวบ้านซิ่วเฟิงเป็นคนทำอย่างนั้นหรือ พวกข้ากับน้องสามีของเจ้าไม่มีความแค้นอันใดต่อกัน แล้วจะฆ่านางให้ตัวเองมีความผิดเพื่ออะไร อีกอย่าง… หากจะฆ่า เหตุใดต้องทำเหมือนไม่ได้ฆ่าด้วยเล่า อากาศหนาวขนาดนี้ ยังพยายามไปจับงูมากัดนางอีกหรือ”
นางชี้นิ้วไปที่เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ “หรือจะบอกว่าหลานจิ้งกับเอ้อร์ยาเป็นคนทำ คนที่นอนอยู่บนบานประตูนั่น คนหนึ่งเป็นพ่อแท้ๆ ของหลานจิ้ง อีกคนก็เป็นแม่แท้ๆ ของเอ้อร์ยา พวกเขาสองคนจะฆ่าพ่อกับแม่แท้ๆ ของตนไปเพื่ออะไร ข้าวจะกินอย่างไรก็ได้ แต่จะพูดเหลวไหลไม่ได้ สะใภ้ซุน เจ้าก็อายุขนาดนี้แล้ว ประโยคนี้ยังไม่เข้าใจอีกหรือ”
สะใภ้ซุนพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว ทว่านางจะไม่ยอมแพ้ในทันที จึงตะโกนขึ้นมา “ไม่ว่าจะพูดเช่นไร แต่น้องสามีของข้าอยู่ดีๆ ก็ตาย หรือจะปล่อยให้นางตายไปเช่นนี้ พวกเจ้าจะต้องหาเหตุผลมาให้พวกข้า”
“เจ้าต้องการเหตุผลเช่นนั้นหรือ” สตรีผู้นั้นเอ่ยต่อ “หากเจ้าต้องการเหตุผล เช่นนั้นก็หาจากข้าไม่ได้หรอก เพราะข้าไม่ใช่น้องสามีของเจ้า”
จากนั้นสะใภ้ซุนก็บอกว่าต้องการไปแจ้งทางการ ทั้งยังต้องการเชิญเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ จะต้องหาสาเหตุการตายที่แท้จริงของซุนซิ่งฮวากับเสวี่ยหย่งฝูให้ได้ นางไม่เชื่อว่าพวกเขาจะตายโดยไม่มีที่มาที่ไปเช่นนี้
สตรีผู้นั้นหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง “พูดอย่างกับว่าที่ว่าการเป็นของตระกูลเจ้า อยากจะเข้าก็เข้า ส่วนเจ้าหน้าที่ เจ้าคิดว่าเขาเป็นญาติพี่น้องของตนหรือ ถึงจะเชิญมาเมื่อไรก็ได้ ข้าได้ยินว่าการจะเชิญพวกเขามาก็ต้องให้เงิน เจ้าจะเป็นคนให้พวกเขาอย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เจ้าก็รีบไปที่ว่าการแล้วเรียกพวกเขามาที่นี่ ข้ายังไม่เคยเห็นเจ้าหน้าที่ทางการเลย วันนี้จะได้เปิดหูเปิดตาเสียที”
เมื่อรู้ว่าต้องใช้เงิน สะใภ้ซุนก็รู้สึกตกใจทันที
ผู้เป็นสามีรีบดึงแขนนางพร้อมกับถลึงตามองเป็นเชิงบอกว่าอย่าได้เอ่ยคำใดอีก
ระหว่างเดินทางพวกเขาได้ตกลงกันเป็นอย่างดีแล้วว่าจะต้องสร้างความวุ่นวายว่าซุนซิ่งฮวาถูกฆ่า และขู่ทุกคนเอาไว้ จากนั้นก็ลากตัวเอ้อร์ยากลับไป เมื่อถึงตอนนั้นจะไม่มีใครกล้าออกมาพูดอะไรแม้แต่คำเดียว ใครจะรู้ว่าสตรีผู้นั้นกลับเอ่ยขัดคำพูดของมารดากับภรรยาเขาเช่นนี้ ดูเหมือนว่าวิธีนี้จะไม่สำเร็จแล้ว เช่นนั้นก็ถือโอกาสนี้พูดออกไปตรงๆ ให้สิ้นเรื่อง
เขาเอ่ยกับชาวบ้านที่อยู่ข้างๆ “เหตุผลที่ข้ามาในวันนี้ ประการแรก… ข้ามาดูซิ่งฮวา มาร้องไห้ให้แก่น้องสาวที่จากไปของข้า ประการที่สอง…”
จากนั้นก็ชี้ไปยังเสวี่ยเจียเยว่ “ตอนที่น้องสาวของข้ายังมีชีวิตอยู่ นางได้ตกลงแล้วว่าจะยกเอ้อร์ยาให้เป็นภรรยาของลูกชายข้า ตอนนี้พวกเรามาเพื่อพาตัวเอ้อร์ยากลับไปด้วย”
ตอนนี้เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาตายแล้ว เขากังวลว่าเรื่องนี้จะมีการเปลี่ยนแปลง ถึงอย่างไรเขาก็จ่ายเงินห้าตำลึงไปแล้ว วันนี้ถึงได้วางแผนว่าจะพาตัวเอ้อร์ยากลับไปด้วย
เมื่อเขาพูดจบ คนรอบข้างก็มองหน้ากันแต่ไม่พูดอะไร เพราะนี่เป็นเรื่องในครอบครัว คนนอกย่อมไม่ควรเข้าไปยุ่ง
“ไม่ได้” เสียงอันเนิบนาบทว่าแน่วแน่ดังขึ้น “ข้าไม่ยอม”
ทุกคนต่างมองไปตามเสียงนั้น และพบว่าผู้พูดคือเสวี่ยหยวนจิ้ง
เด็กหนุ่มยื่นกระดาษทองแผ่นสุดท้ายเข้าไปในเตาไฟที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไม่เร่งรีบ ก่อนจะลุกขึ้นอย่างช้าๆ แล้วดึงมือเสวี่ยเจียเยว่ให้มาอยู่ด้านหลังของตน และจับจ้องไปที่ลูกชายคนโตของยายเฉียนด้วยแววตาแน่วแน่
“มีตรงไหนที่เจ้าไม่เห็นด้วยหรือ” สะใภ้ซุนหงุดหงิดตั้งแต่แรกเห็น นางรีบตะโกนออกมา “นี่เป็นเรื่องที่ข้ากับแม่เลี้ยงของเจ้าตกลงกันแล้ว ถึงเวลาที่เจ้าต้องเอ่ยขึ้นมาสอดแล้วหรือ”
ดวงตาดำขลับของเสวี่ยหยวนจิ้งมองไปที่นาง และเอ่ยอย่างเนิบนาบ “แต่นางตายไปแล้ว ตอนนี้เรื่องในเรือนข้าคือคนตัดสินใจ ดังนั้นเรื่องนี้… ข้าไม่เห็นด้วย พวกท่านกล้าแตะต้องน้องสาวข้าเช่นนั้นหรือ”
สะใภ้ซุนหัวเราะออกมา “น้องสาวอันใดกัน พูดอย่างกับพวกเจ้าเกิดมาจากพ่อแม่เดียวกัน ข้าจะบอกเจ้าให้นะ เอ้อร์ยาเป็นลูกสาวของน้องสามีข้า นางไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับเจ้าเลย แล้วเจ้ามีสิทธิ์อันใดมาทำตัวเป็นผู้ดูแลเอ้อร์ยา”
สามีของนางรีบตะคอกห้ามปราม “หุบปาก!”
ตอนนี้เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาตายไปแล้ว มีชาวบ้านซิ่วเฟิงอยู่มากมาย และเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นเพียงเด็กหนุ่ม นางเอ่ยเช่นนี้กับเขา ชาวบ้านเหล่านี้จะไม่คิดว่านางกำลังรังแกเด็กหนุ่มคนหนึ่งเอาหรือ หากชาวบ้านพวกนี้เข้าข้างเสวี่ยหยวนจิ้ง ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็คงเจรจาอันใดไม่ได้
เขาไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยกับเสวี่ยหยวนจิ้ง “จะว่าไป น้องสาวของข้าก็น่าสงสารยิ่งนัก แต่งงานถึงสองครั้ง แต่นางก็ให้กำเนิดเพียงเอ้อร์ยาคนเดียว แม้ว่าเจ้าจะดีกับนาง ดูแลนางเหมือนน้องสาวแท้ๆ แต่พวกเจ้ายังเด็ก ต่อไปไม่มีผู้ใหญ่อยู่ในเรือนหลังนี้แล้ว ชีวิตจะลำบากขนาดไหน ข้าคงทนไม่ได้หากเห็นสายเลือดเพียงคนเดียวของน้องสาวต้องมาลำบาก
“ก่อนที่ข้าจะมาก็ได้หารือกับท่านแม่และน้องชายแล้ว อีกประเดี๋ยวข้าจะรับเอ้อร์ยาไปใช้ชีวิตที่เรือนของข้า ข้าเป็นลุงแท้ๆ ของนาง ท่านแม่ก็เป็นยายแท้ๆ มีหรือจะดูแลนางไม่ดี หลานชาย เจ้าวางใจได้”
คำพูดของเขานั้นฟังดูดี ทั้งยังมีความซาบซึ้งและมีเหตุผล คิดว่าเสวี่ย-หยวนจิ้งเป็นเพียงเด็กหนุ่ม จะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร แต่คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายยังคงตอบอย่างเด็ดขาด
“ไม่ได้ ข้าไม่ยอม”
สีหน้าของพี่ชายซุนซิ่งฮวาเคร่งขรึมทันที “หลานชาย เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ข้าพูดกับเจ้าดีๆ แต่เจ้ายังทำตัวมีทิฐิสูงเช่นนี้อีกหรือ เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เอ้อร์ยาคือสายเลือดของน้องสาวข้า ซึ่งหมายความว่าเป็นสายเลือดของตระกูลซุนด้วย ตอนนี้น้องสาวของข้าจากไปแล้ว พูดตรงๆ เจ้ากับเอ้อร์ยาไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกันเลย ข้าในฐานะลุงแท้ๆ ของนาง การจะพานางกลับเรือนนั้น ความจริงแล้วไม่ต้องบอกเจ้าเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้ข้าพูดกับเจ้าอยู่นานสองนาน ก็เพราะเห็นแก่นางที่เรียกเจ้าว่าพี่ชายมาหลายเดือน”
เสวี่ยหยวนจิ้งจับจ้องอีกฝ่าย แววตาของเขาแฝงไปด้วยการถากถางอย่างไม่ลดละ ราวกับว่าคำพูดเมื่อครู่นั้นสามารถหลอกคนอื่นได้ แต่หลอกเขาไม่ได้
จากนั้นเขาเอ่ยขึ้นอย่างเนิบนาบเช่นเคย “ข้าจำได้ว่าพ่อแท้ๆ ของเอ้อร์ยาแซ่หลี่ เมื่อนางติดตามแม่เข้ามาในเรือนตระกูลเสวี่ยของข้า ย่อมต้องใช้แซ่ของบิดาข้า นั่นก็คือแซ่เสวี่ย นางเป็นสายเลือดของตระกูลซุนเมื่อใดกัน อีกอย่าง…”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เสวี่ยหยวนจิ้งก็เหลือบมองเสวี่ยเจียเยว่ที่อยู่ด้านหลังของเขา “หากนางคือน้องสาวของข้า เสวี่ยหยวนจิ้ง นางก็จะเป็นน้องสาวของข้าตลอดไป เมื่อแม่ของนางตายไป จะบอกว่านางไม่มีความเกี่ยวข้องกับข้าได้อย่างไร ส่วนเรื่องข้ากับเอ้อร์ยาจะใช้ชีวิตอย่างไรต่อไป นั่นก็คือเรื่องที่ข้าควรกังวล ไม่ลำบากท่านให้มากังวลแทนแน่นอน”
พี่ชายของซุนซิ่งฮวาได้ยินดังนั้นก็เดือดดาลทันที ชาวบ้านที่อยู่รอบๆ ต่างเอ่ยเห็นด้วย
“ที่หลานจิ้งพูดมาก็ไม่ผิด”
จากนั้นก็เอ่ยถากถาง “พวกเจ้ากลัวว่าเอ้อร์ยาจะลำบาก ถึงได้มารับตัวนางไปเลี้ยงดูที่เรือนเช่นนั้นหรือ แต่เมื่อครู่เจ้าบอกเองว่าจะพานางไปเลี้ยงเป็นภรรยาของลูกชายใช่หรือไม่ คิดว่าพวกข้าโง่หรืออย่างไร”
ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “ข้ารู้ว่าลูกชายของพวกเขานั้น ขาทั้งสองข้างพิการมาตั้งแต่เกิด รักษาอย่างไรก็ไม่หาย เกรงว่าเรื่องอย่างว่าก็คงทำไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดยังต้องทำร้ายลูกสาวผู้อื่นอีกเล่า ทั้งยังเป็นหลานสาวแท้ๆ ของตนอีกด้วยไม่ใช่หรือ พวกเจ้าเป็นลุงเป็นป้าแท้ๆ ของนาง ช่างใจดำอำมหิตจริงๆ”
ผู้คนรอบๆ เริ่มพูดจาถากถางขึ้นเรื่อยๆ จนใบหน้าของพวกเขาเดี๋ยวซีดเผือดเดี๋ยวแดงก่ำ
ยายเฉียนออกมาพูดปกป้องลูกชายของนาง “เรื่องนี้ลูกสาวของข้าก็เห็นด้วยตั้งแต่แรกแล้ว นางยังรับเงินของลูกชายข้าไปห้าตำลึง สองครอบครัวได้ตกลงกันแล้ว เหตุใดตอนนี้พวกเจ้าถึงได้มาด่าว่าพวกข้าทำผิด”
ลูกชายคนเล็กของนางรีบพูดขึ้น “ใช่ๆ ในเมื่อพี่รองของข้ารับเงินไปแล้ว ก็หมายความว่าเอ้อร์ยาเป็นภรรยาของหลานชายข้าแล้ว วันนี้พวกข้ามาเพื่อพาตัวนางกลับไป”
เมื่อกล่าวจบเขาก็มองเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยแววตาหยาบคาย “เจ้าพูดได้เก่งมาก ข่มพี่ชายข้าได้ไม่น้อย ทั้งยังหลอกล่อคนพวกนี้ให้พูดเพื่อเจ้า แต่ข้าไม่กลัวเจ้า เรื่องนี้พี่ใหญ่ของข้าจ่ายเงินไปแล้ว พี่รองของข้าก็รับเงินไปแล้ว ต่อให้เรื่องจะวุ่นวายไปถึงที่ว่าการ พวกข้าก็เป็นฝ่ายถูก”
เรื่องการซื้อขายเด็กไปเลี้ยงเป็นภรรยาของคนในครอบครัวนั้น ทั้งสองฝ่ายได้ยินยอมพร้อมใจ ก็เหมือนกับการซื้อขายสาวใช้ ตราบใดที่พิสูจน์ได้ว่าซุนซิ่งฮวารับเงินของพี่ชายไปแล้ว ก็หมายความว่านางตกลงขายเอ้อร์ยา ต่อให้วุ่นวายไปถึงที่ว่าการ พวกเขาก็เป็นฝ่ายถูก
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ว่าซุนซิ่งฮวารับเงินห้าตำลึงมาจากพี่ชายจริงๆ เมื่อได้ยินน้องชายของนางเอ่ยเช่นนี้ แววตาของเขาก็เย็นชาทันที
เสวี่ยเจียเยว่พูดขึ้นจากข้างหลังเขา “ท่านบอกว่าท่านแม่ของข้ารับเงินห้าตำลึงจากพวกท่านมาแล้ว และตกลงขายข้า ถ้าเช่นนั้นข้าขอถามพวกท่านหน่อยว่า สัญญาที่สร้างขึ้นในตอนนั้นอยู่ที่ไหน แล้วเงินห้าตำลึงล่ะ เมื่อวานพี่ชายของข้าหาจนทั่วเรือน แต่ก็พบเงินอยู่เพียงเล็กน้อย ไม่พบเงินห้าตำลึงที่พวกท่านกล่าวมา”
ชาวบ้านที่อยู่รอบๆ พากันเห็นด้วย “ใช่ๆ เงินห้าตำลึงอยู่ที่ไหน พวกข้าก็ไม่เห็นเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าพูดโกหก”
เมื่อคนตระกูลซุนได้ยินดังนั้นก็ตะลึงงันทันที
ตอนนี้เรื่องเงินจำนวนนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะที่สำคัญกว่าก็คือ ตอนนั้นพวกเขาไม่ได้ทำสัญญากับซุนซิ่งฮวา เดิมทีคิดว่าทั้งสองฝ่ายยินยอม ทั้งยังเป็นพี่น้องกันแท้ๆ จำเป็นต้องทำสัญญาขึ้นมาด้วยหรือ แต่ใครจะคิดว่าซุนซิ่งฮวาจะด่วนจากไปกะทันหันเช่นนี้
ก่อนที่ซุนซิ่งฮวาจะตาย นางเคยเอ่ยเรื่องนี้กับเสวี่ยหย่งฝู เขายังคิดจะใช้ประโยชน์จากการไม่มีสัญญา ซึ่งเสวี่ยเจียเยว่ที่นอนอยู่บนเตียงในห้องของตนได้ยินเข้า จึงนำเรื่องนี้มาปิดปากพวกเขาได้พอดี
เสวี่ยหยวนจิ้งหันไปมองเสวี่ยเจียเยว่ทันที และเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าให้เขาเบาๆ ทั้งสองคนมีใจเชื่อมโยงกันและกัน เขาจึงเข้าใจความหมายนั้น
เขาหันไปมองคนตระกูลซุนด้วยสายตาเฉียบคม “ใช่ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ข้าไม่สามารถปล่อยให้พวกท่านที่มีเพียงคำพูดลอยๆ พาตัวน้องสาวไปได้ เอาสัญญาออกมา หากไม่มี พวกท่านก็ออกไปจากเรือนของข้าซะ อย่าได้มาฉวยโอกาสก่อเรื่องวุ่นวายอยู่ที่นี่”