ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 58 ออกจากหมู่บ้าน
ห้าสิบแปด
ออกจากหมู่บ้าน
ตอนกลางวัน… หลังจากเสวี่ยเจียเยว่บอกให้เขามารอที่เรือนเก็บฟืนของแม่ม่ายจ้าว เสวี่ยเหล่าซานก็รอคอยยามค่ำคืนอย่างใจจดใจจ่อ อีกทั้งเมื่อครู่นี้เขายังต้องรออยู่พักใหญ่จนกระทั่งกังวลใจ พอคิดว่าเป็นเสวี่ยเจียเยว่ที่เข้ามาจึงรีบโผไปกอดทันที และทำตามที่อีกฝ่ายบอกเอาไว้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามส่งเสียงเด็ดขาด
แขนข้างหนึ่งของเสวี่ยเหล่าซานโอบกอดผู้มาเยือน มือที่ว่างอีกข้างดึงกางเกงของอีกฝ่าย เมื่อดึงลงได้แล้ว เขาก็ถอดกางเกงของตนอย่างรีบร้อน ส่วนปากก็ใช่ว่าจะอยู่นิ่งๆ คอยจูบไปทั่วใบหน้านั้นไม่หยุด
ขณะที่เขากำลังจะสอดแท่งเหล็กอันร้อนผ่าวของตนเข้าไปในส่วนที่ปรารถนา จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวเราะ ทั้งยังยื่นมือมาลูบไล้ใบหน้าของเขา
“เมื่อก่อนเจ้าบอกว่าชอบให้ข้าเป็นคนทำ ส่วนเจ้าเพียงนอนนิ่งๆ เท่านั้น เหตุใดวันนี้เจ้าถึงเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเล่า แต่ข้าชอบมาก”
เขายกแขนข้างหนึ่งโอบคอของเสวี่ยเหล่าซานเอาไว้พลางยื่นปากเข้าไปใกล้ ส่วนมืออีกข้างก็ลูบคลำลงไปยังเบื้องล่าง
เสวี่ยเหล่าซานได้ยินประโยคนั้น เขาก็ตัวแข็งทื่อทันที ราวกับว่ามีใครยกถังน้ำแข็งราดลงมาก็ไม่ปาน
เสียงนั้นไม่ใช่เสวี่ยเจียเยว่ แต่เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน!
เขาถอดกางเกงหัวหน้าหมู่บ้าน และกำลังจะทำเรื่องเช่นนั้นกับอีกฝ่ายอย่างนั้นหรือ หากหัวหน้าหมู่บ้านรู้ว่าเป็นเขาละก็…
เสวี่ยเหล่าซานไม่อยากจะคิดต่อ จากนั้นก็หยิบกางเกงของตนขึ้นเพื่อรีบไปจากตรงนี้
ทว่าสายเกินไปเสียแล้ว มือของหัวหน้าหมู่บ้านลูบคลำจนไปถึงเบื้องล่างของเขา ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เมื่อรู้ว่าคนผู้นี้มิใช่แม่ม่ายจ้าว
เขารีบจับเสวี่ยเหล่าซานเอาไว้แล้วตะโกนถามขึ้น “เจ้าเป็นใคร!”
เสวี่ยเหล่าซานมิกล้าส่งเสียง เพียงถือกางเกงของตนและดิ้นรนหวังจะออกไปจากที่นี่
ทว่าหัวหน้าหมู่บ้านนั้นสูงกว่าเขา เรี่ยวแรงก็มากกว่า เมื่อกำลังเดือดดาล มือที่จับแขนเขาก็ราวกับกลายเป็นคีมเหล็ก ไหนเลยจะปล่อยเขาไปง่ายๆ ทั้งยังลากเขาออกไปนอกเรือน
หัวหน้าหมู่บ้านรู้ว่ามีบุรุษไม่น้อยในหมู่บ้านที่ไปมาหาสู่กับแม่ม่ายจ้าว ทว่าตั้งแต่เขากับนางเริ่มมีความสัมพันธ์กัน นางก็สาบานต่อหน้าเขาว่าต่อไปจะมีเพียงเขาคนเดียว และไม่มองบุรุษอื่น เหตุใดตอนนี้เสวี่ยเหล่าซานถึงได้มาอยู่ในเรือนเก็บฟืนหลังนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เรือนเก็บฟืนหลังนี้เป็นสถานที่ลับซึ่งเขากับนางนัดพบกันไม่ใช่หรือ เป็นไปได้หรือไม่ว่าช่วงนี้แม่ม่ายจ้าวมิได้นัดพบกับเขาคนเดียว แต่มีบุรุษอื่นด้วย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หัวหน้าหมู่บ้านก็เดือดดาลแทบลุกเป็นไฟ จากนั้นเขาชกเสวี่ยเหล่าซานอย่างรุนแรงจนล้มไปกองกับพื้น
จะบอกว่าบังเอิญก็ไม่เชิง เพราะบนพื้นนั้นมีก้อนหินใหญ่เล็กหลายก้อน ซึ่งลูกชายของแม่ม่ายจ้าวจะนำไปเล่นในลานเรือน ขณะที่เสวี่ยเหล่าซานล้มลงกับพื้นนั้น ใบหน้าของเขาก็กระแทกกับก้อนหินเหล่านั้นพอดี ทำให้มีเสียงโอดโอยดังขึ้น หินก้อนหนึ่งมีผิวไม่ราบเรียบและมุมแหลมคม เมื่อหน้าผากของเขากระแทกกับหินก้อนนั้น จึงเป็นแผลลึกจนเลือดไหลออกมา
กระนั้นก็คลายความเดือดดาลของหัวหน้าหมู่บ้านไม่ได้ เขากวาดสายตาไปรอบๆ จนเห็นไม้ไผ่พิงอยู่กับผนัง จึงสาวเท้าไปยกไม้ไผ่ลำนั้นขึ้นมา ก่อนจะตีไปที่ศีรษะของเสวี่ยเหล่าซาน
แม้ว่าเสวี่ยเหล่าซานจะหวาดกลัวหัวหน้าหมู่บ้าน แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นอันธพาลผู้หนึ่ง เมื่อถูกตีหลายครั้งจนได้รับความเจ็บปวด เขาก็เดือดดาลขึ้นมาทันที ดังคำที่ว่า ‘ผู้ไม่มีรองเท้าย่อมไม่หวาดกลัวผู้สวมรองเท้า’ อีกทั้งในเรือนมีเพียงเขาคนเดียว ยังต้องมีสิ่งใดให้หวาดกลัว
เขาจับไม้ไผ่ที่หัวหน้าหมู่บ้านกำลังจะฟาดลงมาอย่างฉับพลัน ก่อนจะตีเข้าที่ศีรษะของอีกฝ่าย หัวหน้าหมู่บ้านไม่ได้ระวังตัว จึงเจ็บปวดจนเห็นดาวสีทองลอยไปมา แล้วถอยกรูดไปหลายก้าว
เสวี่ยเหล่าซานต้องการใช้โอกาสนี้วิ่งหนีไป ทว่าขณะที่สองมือของเขาเพิ่งจับกำแพง หัวหน้าหมู่บ้านก็วิ่งไล่ตามมาทันและตะโกนขึ้น
“เจ้าจะหนีไปไหน! วันนี้หากข้าไม่ตีสุนัขอย่างเจ้าให้ตายคามือ ข้าก็ไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่แล้ว”
เป็นเพราะหัวหน้าหมู่บ้านถูกตีเมื่อครู่ ทำให้เขาโกรธแค้นมากกว่าเดิม น้ำหนักการฟาดไม้ไผ่ยิ่งรุนแรงขึ้น ไม้ไผ่ลำนั้นโดนกำแพงจนโคลนแข็งๆ พังลงมา
เสวี่ยเหล่าซานก็เดือดดาลมิใช่น้อย เมื่อเห็นว่าหนีไม่ได้แล้ว เขาก็มองไปรอบด้าน พลันเหลือบเห็นพลั่วไม้วางอยู่ข้างกำแพง ซึ่งมีไว้ใช้ตักข้าวเปลือกในช่วงที่ต้องตากข้าวและโกยธัญพืชต่างๆ
เขาวิ่งไปหยิบพลั่วไม้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะใช้ตีหัวหน้าหมู่บ้านอย่างแรงพร้อมทั้งสบถด่าไปด้วย
“แม้ว่าข้าจะจำผิดและเกือบทำอะไรกับเจ้า แต่เจ้าเองก็ตีข้าไปหลายครั้งแล้วยังไม่พอใจอีกหรือ อยากตีข้าให้ตายไปเลยหรืออย่างไร”
เมื่อครู่เขาใช้พลั่วไม้ตีทั้งเร็วและแรง หัวหน้าหมู่บ้านหลบไม่ทัน มันจึงกระแทกเข้ากับใบหน้าเขาอย่างจัง จากนั้นก็ร้องออกมาและด่าไม่หยุด มือจับไม้ไผ่แน่นตามแรงเดือดดาล
การต่อสู้นี้ทำให้คนที่อยู่ในเรือนแม่ม่ายจ้าวตื่นตกใจ หลังจากนางจุดตะเกียงแล้ว ก็เปิดประตูออกมาดูพร้อมกับมารดา และเห็นหัวหน้าหมู่บ้านกับเสวี่ยเหล่าซานกำลังถืออาวุธต่อสู้กันอยู่ในลาน อีกทั้งพวกเขายังได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
แม่ม่ายจ้าวตกใจเป็นอย่างมาก จึงรีบเดินไปเอ่ยถาม “ดึกขนาดนี้แล้วพวกเจ้าสองคนกำลังทำอะไรอยู่ หยุดเดี๋ยวนี้!”
ทว่าหัวหน้าหมู่บ้านกับเสวี่ยเหล่าซานกำลังเดือดพล่านอย่างหนัก ไหนเลยจะยอมรามือง่ายๆ
มารดากับลูกชายของแม่ม่ายจ้าวไม่เคยเจอเรื่องเช่นนี้ ทั้งสองคนจึงเอาแต่ร้องห่มร้องไห้ ขณะเดียวกันชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงก็ตกใจตื่น ก่อนจะพากันลุกจากเตียงเดินออกมาดู
เมื่อเห็นว่าบุรุษทั้งสองสวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยเท่าไรนัก ทั้งยังต่อสู้กันอยู่ในลานเรือนของแม่ม่ายจ้าว และเมื่อนึกถึงคำนินทาที่ได้ยินมา ยังจะมีใครที่ไม่เข้าใจเหตุการณ์นี้อีกเล่า
พวกเขาพูดจาแดกดันและหัวเราะอย่างอดไม่ได้ โดยไม่เห็นว่าภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านรีบวิ่งมาดูเมื่อรู้เรื่องนี้
เดิมทีภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านก็รู้สึกสงสัยในตัวสามีของตนกับแม่ม่ายจ้าวอยู่เช่นกัน ทว่าหาหลักฐานไม่ได้ แต่ตอนนี้เมื่อเห็นเขาสวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย และกำลังต่อสู้กับชายอีกคนในลานเรือนของแม่ม่ายจ้าว รวมทั้งคำพูดของชาวบ้านที่ไม่รื่นหู นางก็อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป
นางทรุดเข่าลงกับพื้นแล้วร้องห่มร้องไห้พลางใช้มือทุบพื้นดิน ด่าสามีว่าเป็นคนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี
เหตุการณ์เริ่มวุ่นวายไปกันใหญ่…
…
เสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งแอบฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่ในลานเรือนของตน และคนร่างเล็กยกมือปิดปากตัวเองหัวเราะเบาๆ อย่างมีความสุข
เด็กหนุ่มหันไปมองแม่นางน้อยผู้เป็นคนวางแผนอย่างอ่อนใจ ก่อนจะยื่นมือไปตบศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ และเอ่ยขึ้น “ไปนอนได้แล้ว”
เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินตามเสวี่ยหยวนจิ้งไป ดวงตาของเธอเป็นประกาย ดูน่ารักจนหาสิ่งใดมาเปรียบมิได้
เช้าวันต่อมาเสวี่ยเจียเยว่ไปถามชาวบ้าน ถึงได้รู้ว่าเสวี่ยเหล่าซานถูกหัวหน้าหมู่บ้านขับไล่ออกไปจากหมู่บ้านซิ่วเฟิงแล้ว และสั่งเขาว่าอย่ากลับมาที่นี่อีก หากยังกล้ากลับมาก็จะสั่งสอนด้วยการตัดขา แต่ชีวิตของหัวหน้าหมู่บ้านก็ใช่ว่าจะดีนัก ได้ยินมาว่าหลังจากกลับไป เขาถูกภรรยาตบตีไปหลายครั้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยช้ำจนไม่กล้าออกจากเรือน
เธอได้ยินดังนั้นก็แอบหัวเราะในใจ แล้วรีบกลับมาเล่าให้เสวี่ยหยวนจิ้งฟัง เด็กหนุ่มเห็นท่าทางสะใจของอีกฝ่าย ก็ยกมือกุมหน้าผากอย่างระอาใจ ทว่าในดวงตาของเขากลับมีรอยยิ้มแฝงอยู่
หลังจากจัดการเรื่องยุ่งยากเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็แบกสัมภาระออกไปจากหมู่บ้านซิ่วเฟิง
ขณะที่เดินจากไป ทั้งสองคนไม่หันกลับไปมองหมู่บ้านแม้แต่ครั้งเดียว เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว ที่นี่ไม่มีสิ่งใดให้น่าจดจำ
เนื่องจากขายเรือนไป ตอนนี้พวกเขาจึงมีเงินเพิ่มขึ้น ทว่าทั้งสองยังไม่กล้าดีใจมากนัก อะไรที่พอจะประหยัดได้ ก็ต้องประหยัดให้ถึงที่สุด
เสวี่ยหยวนจิ้งคิดว่าตนจะไม่หวนกลับมาอีกแล้ว จึงอยากไปลาอาจารย์โจว ก่อนหน้านี้อาจารย์โจวสอนเขาด้วยความตั้งใจ ต่อมาเขาก็ถูกบังคับให้หยุดเรียนกลางคัน คิดไม่ถึงว่าอาจารย์จะมาตามเขาถึงเรือนด้วยตัวเอง เรื่องนี้เด็กหนุ่มจดจำเอาไว้ในใจตลอดมา
เสวี่ยเจียเยว่เห็นด้วย ดังนั้นทั้งสองจึงมุ่งหน้าไปยังเรือนของอาจารย์โจว
พวกเขามาหยุดยืนหน้าประตูลานเรือนที่เปิดอยู่ มองผ่านประตูเข้าไปก็เห็นว่าในลานนั้นกว้างมาก และประตูสองบานของเรือนที่มุงหลังคาด้วยหญ้าหลังหนึ่งก็เปิดอยู่เช่นกัน แม้จะเห็นเช่นนั้น แต่เสวี่ยหยวนจิ้งก็ยังคงยกมือเคาะประตูลานสามครั้ง
ไม่นานก็ได้ยินเสียงของหญิงชราดังมาจากในเรือน “ใคร”
จากนั้นหญิงชราซึ่งสวมชุดกระโปรงสีครามเดินออกมา และเด็กสาวอายุประมาณสิบสามสิบสี่ปีเดินตามนางมาด้วย เด็กสาวผู้นั้นมีใบหน้างดงามเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นเสวี่ยหยวนจิ้ง แววตาของนางก็เต็มไปด้วยความตกใจระคนดีใจ นางยืนนิ่งอยู่กับที่
ส่วนหญิงชราตะลึงงันในตอนแรก จากนั้นนางเดินไปหาเขาด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้ก็คุณชายจิ้งนี่เอง”
เสวี่ยหยวนจิ้งยกมือประสานคารวะทันที “ข้าน้อยขอคารวะซือเหนียง[36]”
ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ หญิงชราผู้นี้ก็คือภรรยาของอาจารย์โจว
โจวซือเหนียงพยุงเขาลุกขึ้นพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นเถิด”
หลังจากพิจารณาเขาได้ครู่หนึ่ง นางก็เอ่ยต่อ “เมื่อวานสามีข้ายังบ่นถึงเจ้าอยู่เลย เขาบอกว่าตอนนี้ก็ใกล้จะเดือนสองแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าจะเข้าร่วมการสอบซิ่วฉายหรือไม่ เห็นเจ้ากำลังแบกสัมภาระ หรือว่าจะเดินทางไปสอบ”
เมื่อมองไปที่เสวี่ยเจียเยว่ สีหน้าของนางก็ฉายความสงสัยออกมา ก่อนจะเอ่ยถาม “แม่นางน้อยผู้นี้คือใครหรือ”
เสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยตอบไป “เรียนซือเหนียง นางคือน้องสาวของข้าขอรับ”
จากนั้นก็หันไปหาเสวี่ยเจียเยว่ ก่อนจะเอ่ยเรียก “เข้ามาคารวะซือเหนียง”
เสวี่ยเจียเยว่รีบไปคารวะซือเหนียงทันที และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าน้อยขอคารวะซือเหนียงเจ้าค่ะ”
เดิมทีใบหน้าของเอ้อร์ยางดงามอยู่แล้ว และเสวี่ยเจียเยว่ก็มักประพฤติตัวดีเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นเสมอ จะมีใครบ้างไม่ชอบแม่นางน้อยเช่นนี้
ซือเหนียงพยุงเสวี่ยเจียเยว่ด้วยสองมือพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “แม่นางน้อยผู้นี้ช่างนิสัยดีจริงๆ ทั้งรู้ความและมีมารยาท ดีๆ”
นางหันไปเรียกเด็กสาว “หลันเอ๋อร์ เมื่อก่อนเจ้ามักจะถามพ่อของเจ้าอยู่บ่อยๆ มิใช่หรือว่าเมื่อไรคุณชายจิ้งจะมาอีก เหตุใดวันนี้เขามาแล้ว เจ้ากลับไม่กล้าเดินเข้ามา แต่ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเล่า”
[36] ซือเหนียง หมายถึง ภรรยาของอาจารย์