ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 60 พี่จิ้งหวง
หกสิบ
พี่จิ้งหวง
เสวี่ยหยวนจิ้งย่อมรู้ดี ทุกครั้งที่เสวี่ยเจียเยว่ยิ้มแย้มนั้นจะดูเฉลียวฉลาด งดงามมีเสน่ห์ ชายใดได้เห็นก็เป็นอันต้องเคลิบเคลิ้ม และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงไม่ชอบเห็นอีกฝ่ายยิ้มต่อหน้าชายอื่น
ทว่าเสวี่ยเจียเยว่กลับไม่รู้ถึงความคิดของเขา เพียงนึกว่าเป็นเพราะเรื่องท่าทีที่เสวี่ยหย่งฝูกับเสวี่ยเหล่าซานมีต่อเธอ ทำให้เด็กหนุ่มเป็นกังวลและหวาดระแวงไปทุกเรื่อง จึงเอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่เจ้าคะ พี่โจวเขาเป็นคนดีเจ้าค่ะ”
ความหมายของเธอก็คือ การยิ้มต่อหน้าโจวฮุยนั้นไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอันใด
เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเขาก็ยิ่งเคร่งขรึมมากกว่าเดิม “แม้จะเป็นคนดีก็ไม่ได้เช่นกัน”
เขาเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ที่ข้าพูดไปเมื่อครู่นี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่”
เสวี่ยเจียเยว่มองสีหน้าเย็นชาของเขา ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยความจนใจ “เจ้าค่ะ เข้าใจแล้ว”
คำพูดนั้นทำให้เด็กหนุ่มเริ่มอารมณ์ดีขึ้น จึงเอื้อมมือไปลูบศีรษะแม่นางน้อยเบาๆ “ดี ไปนอนเถอะ”
เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าเขาคงลูบหรือตบศีรษะเธอเบาๆ เช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วเธอจะต้องสมองช้าเป็นแน่ ทว่าการขัดขืนนั้นไม่ได้ผล จึงทำได้เพียงยอมรับอย่างจนใจ เมื่อกล่าวลากันแล้ว เธอก็เดินเข้าไปในห้องของโจวหลัน
ตระกูลโจวมิได้มีห้องสำหรับแขกโดยเฉพาะ คืนนี้เสวี่ยเจียเยว่จึงต้องพักกับเด็กสาว และเสวี่ยหยวนจิ้งพักกับโจวฮุย
เสวี่ยเจียเยว่เข้าไปในห้องก็พบว่าโจวหลันนอนอยู่บนเตียง นางหันหน้าเข้าหาผนังพร้อมกับมีผ้าห่มคลุมร่าง ดูท่าทางคล้ายหลับไปแล้ว แต่เธอเห็นว่าไหล่ทั้งสองข้างของนางสั่นเทาเบาๆ จึงเดาได้ว่าเด็กสาวยังไม่หลับและนางกำลังร้องไห้
ที่นางเสียใจขนาดนี้คงจะเป็นเพราะรวบรวมความกล้าไปสารภาพความในใจของตนให้เสวี่ยหยวนจิ้งรับรู้ แต่น่าเสียดายที่เขาปฏิเสธนางกระมัง
เสวี่ยเจียเยว่คิดจะปลอบใจนาง ทว่าเมื่อทบทวนดูแล้ว สุดท้ายเธอก็มิได้เอ่ยคำใดออกไป เพียงขึ้นไปนอนบนเตียงเงียบๆ
เธอกับโจวหลันเพิ่งได้พบหน้ากันวันนี้ คุยกันรวมๆ แล้วไม่กี่ประโยค จึงมิได้สนิทสนมขนาดนั้น อีกอย่าง… คนที่ปฏิเสธโจวหลันก็คือเสวี่ยหยวนจิ้ง แล้วจะให้เธอพูดกับนางอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น เด็กสาวยังมีนิสัยขี้อาย การที่นางหันหลังแอบร้องไห้อยู่เงียบๆ คนเดียวเช่นนี้ ก็คงเป็นเพราะไม่อยากให้เธอเห็นและไม่อยากให้รู้เรื่องนี้ หากเธอรีบปลอบใจนาง จะยิ่งไม่ทำให้เด็กสาวอับอายกว่าเดิมหรือ
ช่างเถอะ… ทำเหมือนไม่รู้เรื่องนี้ก็พอแล้ว
เสวี่ยเจียเยว่หลับตาลง การเดินทางมาครึ่งค่อนวันย่อมเหนื่อยล้าเป็นธรรมดา เธอจึงเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว
เสวี่ยเจียเยว่ตื่นขึ้นมาในเช้าตรู่วันต่อมา เมื่อล้างหน้าบ้วนปากเสร็จแล้ว โจวซือเหนียงที่ทำอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยก็มาเรียกพวกเขาออกไปที่โต๊ะกินข้าว
เมื่อกินข้าวเช้าเสร็จ เสวี่ยหยวนจิ้ง เสวี่ยเจียเยว่ และโจวฮุยก็ออกเดินทาง
โจวซือเหนียงนำสัมภาระมาให้โจวฮุย ก่อนจะกำชับเขาหลายอย่าง อาจารย์โจวก็บอกเขาว่าให้ตั้งใจสอบ และจะรอความสำเร็จของเด็กหนุ่มอยู่ที่เรือน โจวหลันมองพี่ชายด้วยดวงตาแดงก่ำ ก่อนจะบอกให้เขาดูแลตัวเองให้ดี
ครั้นกล่าวจบ เด็กสาวก็มองไปที่เสวี่ยหยวนจิ้ง จากนั้นจึงเอ่ยเสียงต่ำ “พี่จิ้ง จากนี้… จากนี้ไปท่านก็ดูแลตัวเองด้วยนะเจ้าคะ”
“ขอบใจเจ้ามาก แม่นางโจว”
สีหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งยังคงราบเรียบเช่นเคย หลังจากเอ่ยจบเขาก็ขอตัวลาอาจารย์โจวกับโจวซือเหนียง และจูงมือเสวี่ยเจียเยว่เดินไปพร้อมกับโจวฮุย โดยไม่ได้หันกลับไปมองโจวหลันอีกแม้แต่แวบเดียว
โจวหลันมองตามแผ่นหลังเหยียดตรงอันซูบผอม พลางคิดถึงตอนที่นางสารภาพความในใจของตนต่อหน้าเขาด้วยท่าทางเขินอายเมื่อวานนี้ ทว่าเขากลับเอ่ยด้วยสีหน้าอันเย็นชา
“ขอบใจที่แม่นางโจวมีใจให้ข้า แต่ข้าไม่อาจรับไว้ได้”
เมื่อนางถามถึงเหตุผล เขาก็เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงรำคาญเล็กน้อย
“ข้าไม่ได้รู้สึกอันใดกับแม่นางโจวเลยสักนิด”
โจวหลันรู้สึกอายและโกรธเป็นอย่างมากจนน้ำตาไหลพราก จากนั้นก็รีบวิ่งไปที่ห้อง
พอมองแผ่นหลังของเสวี่ยหยวนจิ้งในขณะนี้ น้ำตานางก็ไหลพรากอย่างอดกลั้นเอาไว้มิได้
จากลาครั้งนี้ เกรงว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสพบหน้ากันอีกแล้วกระมัง
โจวซือเหนียงหันกลับมาพบว่าโจวหลันกำลังร้องไห้ ก็นึกว่านางคงเป็นห่วงโจวฮุย จึงรีบเอ่ยปลอบใจ “ดูเจ้าเด็กโง่คนนี้สิ แม่รู้ว่าพวกเจ้าสองพี่น้องรักกันมาก แต่พี่ชายของเจ้าแค่ไปสอบเท่านั้น พอสอบเสร็จเขาก็กลับมาแล้วมิใช่หรือ เจ้าจะร้องไห้ไปไย อย่าร้องๆ”
เด็กสาวไม่สามารถบอกใครได้ว่าเหตุใดนางถึงร้องไห้ ทำได้เพียงเอามือปิดหน้า ก่อนจะวิ่งกลับไปที่ห้องของตนพลางร้องห่มร้องไห้ไปตลอดทาง
ท่ามกลางแสงแดดยามเช้าตรู่ คนทั้งสามกำลังเดินไปตามทางดิน หากมีเพียงเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ พวกเขาจะพูดคุยในเรื่องที่ตนอยากพูดออกมาทันที แต่ถ้าไม่มีอะไรจะพูด พวกเขาก็เร่งเดินทางกันอย่างเงียบๆ ทว่าเมื่อมีโจวฮุยเพิ่มขึ้นมาอีกคน หากไม่พูดคุยอะไรกันตลอดทาง บรรยากาศจะชวนอึดอัดได้
เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนพูดน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น เสวี่ยเจียเยว่จึงเป็นฝ่ายชวนโจวฮุยพูดคุยสองสามประโยค หวังคลี่คลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดเช่นนี้ไปได้บ้าง
ตลอดเวลานั้น แม้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะไม่ได้พูดอะไร อีกทั้งสีหน้ายังดูปกติเช่นเคย แต่เธอก็สัมผัสได้ว่าเขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก
เสวี่ยเจียเยว่ถือโอกาสตอนที่โจวฮุยแยกตัวไปทำเรื่องส่วนตัว เอ่ยถามเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านพี่ ท่านไม่ชอบให้ข้าคุยกับพี่โจวหรือ”
เด็กหนุ่มยังคงปากแข็งเช่นเคย สีหน้าก็เย็นชา “ไม่”
“จริงหรือ” เสวี่ยเจียเยว่หยอกเย้า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็วางใจ อีกประเดี๋ยวข้าจะชวนพี่โจวคุยต่อ”
เสวี่ยหยวนจิ้งเงียบงัน ทว่าคิ้วของเขาขมวดแน่น ริมฝีปากเม้มเข้าหากันทันที
เสวี่ยเจียเยว่เห็นท่าทีน้อยใจของเขาก็นึกขำ ก่อนจะเอ่ยออกมา “ท่านพี่ รีบพูดความจริงมาเถิดเจ้าค่ะ ท่านชอบให้ข้าพูดคุยกับพี่โจวหรือไม่”
เด็กหนุ่มมองหน้าอีกฝ่ายครู่หนึ่ง จากนั้นก็เลื่อนสายตาไปที่ต้นหลิวข้างทาง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ข้าอยากให้เจ้ารู้เอาไว้ว่าคนในใต้หล้านี้ยากจะคาดเดา เจ้าอย่าได้เชื่อใจคนง่ายเกินไป อย่าได้พูดคุยกับคนอื่นง่ายๆ”
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ชอบให้เธอคุยกับโจวฮุยมากไปกว่านี้ แต่ก็ต้องดึงเหตุผลเช่นนี้ออกมาพูด
เสวี่ยเจียเยว่นึกขำในใจ จากนั้นเธอก็ขยับไปคล้องแขนเขา และเงยหน้าขึ้นมองด้วยรอยยิ้มสดใส
“ข้าเชื่อท่านพี่เจ้าค่ะ ท่านวางใจได้เลย ท่านคือคนที่สำคัญที่สุดของข้าแล้ว ไม่มีใครมาเทียบเท่าท่านได้ ทั้งชีวิตนี้ข้าจะเป็นน้องสาวของท่านตลอดไป”
เสวี่ยหยวนจิ้งบอกว่าเธอเป็นน้องสาวของเขาหลายครั้ง เสวี่ยเจียเยว่ย่อมจำได้ขึ้นใจ อีกทั้งตอนนี้ในก้นบึ้งของหัวใจเธอก็ตระหนักว่าเขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของตนไปแล้ว เมื่อพูดคุยกับเขาจึงไม่มีอาการเขินอายเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป เธอสามารถพูดอะไรออกมาก็ได้ตามที่ต้องการ
เด็กหนุ่มเห็นลักยิ้มของแม่นางน้อยที่คล้ายกับบุปผางาม แววตาที่มองมาสดใสราวกับน้ำในฤดูใบไม้ร่วง พร้อมกับรอยยิ้มที่เปล่งประกาย ภาพนั้นทำให้เขาอดยิ้มไม่ได้
โจวฮุยกลับมาพอดี และเห็นท่าทางสนิทสนมของพวกเขาทั้งสองคน “พวกเจ้าสองพี่ช่างสนิทกันจริงๆ”
เสวี่ยหยวนจิ้งพยักหน้าให้เขาอย่างสุภาพ แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เห็นได้ชัดว่าเขายอมรับคำพูดนี้
ส่วนเสวี่ยเจียเยว่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใช่ พี่ชายของข้าดีกับข้าที่สุดในใต้หล้านี้แล้ว”
รอยยิ้มของแม่นางน้อยสดใสเป็นอย่างมาก ราวกับว่าแสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ที่โผล่พ้นขึ้นมาจากขอบฟ้า งดงามจนไม่กล้ามองตรงๆ เมื่อโจวฮุยได้มองเช่นนั้นก็ตกอยู่ในภวังค์ทันที
เสวี่ยหยวนจิ้งที่ยืนมองอยู่ข้างๆ ก็รีบไปขวางหน้าเสวี่ยเจียเยว่เอาไว้ทันที
เมื่อโจวฮุยได้สติกลับมา ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาก็แดงเรื่อจนต้องก้มหน้าลงต่ำทันที
เพราะปลายทางที่ต้องการจะไปนั้นต่างกัน ดังนั้นจึงต้องมีการจากลา ในขณะที่พวกเขายืนอยู่บนทางแยก เสวี่ยหยวนจิ้งกับโจวฮุยพูดคุยกันด้วยประโยคที่สุภาพสองสามประโยค
จากนั้นโจวฮุยก็รวบรวมความกล้าเอ่ยกับเสวี่ยเจียเยว่ “น้อง… น้องเสวี่ย หากครั้งนี้ข้าโชคดีสอบผ่านที่อำเภอ เดือนสี่ข้าจะต้องเข้าไปสอบในเมือง พอถึง… พอถึงตอนนั้นข้าไปหาเจ้าได้หรือไม่”
เมื่อทบทวนดูอีกครั้ง เขาก็รีบเอ่ยขึ้นอีก “ไปหาเจ้ากับน้องจิ้ง”
เสวี่ยเจียเยว่ดูออกว่าโจวฮุยนั้นเป็นเด็กหนุ่มที่อ่อนต่อโลก ความคิดของเขาก็ใสซื่อบริสุทธิ์เป็นอย่างมาก ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไปรบกวนอยู่ในเรือนตระกูลโจวหนึ่งคืน อีกทั้งยังเดินทางมาด้วยกันระยะหนึ่ง เธอจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ย่อมได้แน่นอนเจ้าค่ะ หากข้ากับพี่ชายหาที่อยู่ปักหลักได้แล้ว ก็ยินดีต้อนรับการมาเยือนของพี่โจวเจ้าค่ะ”
เมื่อโจวฮุยได้ยินดังนั้นก็ดีใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะกล่าวลาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป
เสวี่ยเจียเยว่เห็นเขาเดินจากไปไกลแล้วจึงหันกลับมา และพบว่าสายตาเย็นชาของเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังมองมาที่เธอ ราวกับกำลังจะเกิดพายุก็ไม่ปาน
เธอตกใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะรีบเอ่ยถาม “ท่านพี่ ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่สนใจ เพียงเดินไปข้างหน้าตามลำพัง เสวี่ยเจียเยว่รีบเดินตามไป แต่ไม่ว่าเธอจะถามอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ เพราะเขาไม่ตอบสักคำ ไม่แม้แต่จะมองเธอด้วยซ้ำ
ในที่สุดเสวี่ยเจียเยว่ก็เริ่มโมโหขึ้นมาเล็กน้อย เธอชอบคนที่พูดคุยอย่างมีความสุข หากมีตรงไหนไม่พอใจก็เพียงเอ่ยออกมา แล้วเหตุใดเขาต้องทำหน้าตึงเช่นนั้น ถามไปกี่รอบก็ไม่ตอบ จะให้เธอเดาหรือ เธอไม่ชอบเดาใจคนอื่นเสียด้วยสิ
เสวี่ยเจียเยว่ไม่เอ่ยถามเสวี่ยหยวนจิ้งอีก เพียงเดินไปตามทางและทำเหมือนว่าไม่มีคนผู้นี้อยู่ในสายตา
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นแม่นางน้อยไม่พูดจา เขาก็รู้สึกไม่สบายใจทันที
เขาหันกลับไปมองก็เห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่กำลังเดินมองทิวทัศน์รอบๆ ยิ่งไปกว่านั้น สีหน้าของอีกฝ่ายยังดูสบายอกสบายใจไม่น้อย
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกน้อยใจมากกว่าเดิม แล้วจู่ๆ เขาก็หยุดชะงัก
เสวี่ยเจียเยว่ยังคงมองทิวทัศน์รอบๆ จึงไม่ได้ระวังตัว จนชนเข้ากับแผ่นหลังของเสวี่ยหยวนจิ้ง
เด็กหนุ่มผู้นี้ซูบผอม แผ่นหลังของเขาก็ย่อมไม่มีเนื้อมากนัก เมื่อชนเข้าจึงสัมผัสได้ว่ามันแข็งไม่น้อย
เธอยกมือขึ้นจับจมูก ขณะเดียวกันก็เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างไม่พอใจ พบว่าสีหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งยังคงเย็นชา แต่แววตามีความเสียใจและสงสารฉายชัด