ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 61 เดินทางถึงเมืองผิงหยาง
เสวี่ยหยวนจิ้งโกรธที่เสวี่ยเจียเยว่พูดกับโจวฮุยเมื่อครู่นี้ แม้ว่าเด็กหนุ่มไม่อยากพูดคุยกับแม่นางน้อย แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายเจ็บปวดจากการชนแผ่นหลังของเขา กลับสงสารและรู้สึกผิดยิ่งนัก
ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจแล้วจับมือเล็กที่กุมจมูกออก เพื่อดูว่าจมูกที่ถูกชนเมื่อครู่นี้เป็นอย่างไรบ้าง โดยจับด้วยความระมัดระวัง จากนั้นจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาและไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
“เหตุใดเมื่อครู่นี้เจ้าต้องเชิญพี่โจวไปหาเจ้าด้วย”
เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยด้วยสีหน้างุนงง “ข้าเชิญเขาไปหาข้าตั้งแต่เมื่อใดกัน”
เสวี่ยหยวนจิ้งแค่นเสียงขึ้นจมูกเบาๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ก็ตอนที่พวกเราจะแยกทางกับเขาเมื่อครู่นี้อย่างไรเล่า”
เสวี่ยเจียเยว่นึกย้อนกลับไป จากนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ ซึ่งกระทบกระเทือนถึงจมูกที่ถูกชนเมื่อครู่ จนเธอร้องอุทานออกมาเพราะความเจ็บปวด
เมื่อเด็กหนุ่มเห็นดังนั้น ก็รีบเอื้อมมือไปลูบจมูกอีกฝ่ายเบาๆ
เสวี่ยเจียเยว่มองเขาอย่างจริงจังพลางเอ่ย “ท่านพี่ ที่ข้าพูดไปเมื่อครู่นี้เป็นเพียงมารยาทเท่านั้น พี่โจวเป็นฝ่ายบอกว่าเขาจะมาหาข้า ตอนนั้นข้าสามารถปฏิเสธได้หรือไม่ แต่ถึงแม้ว่าข้าจะตอบตกลงแล้วจะมีประโยชน์อันใด ในเมื่อตอนนี้พวกเรายังไม่ถึงในเมืองผิงหยางกันเลย ยังไม่รู้ว่าจะไปลงหลักปักฐานที่ไหน อีกอย่าง… ในเมืองก็กว้างใหญ่กว่าหมู่บ้านของเราเสียขนาดนั้น แม้ว่าพี่โจวจะไปถึงในเมืองผิงหยาง แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าต้องไปตามหาข้าได้ที่ไหน”
เสวี่ยหยวนจิ้งฟังจบก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาได้บ้าง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าจะเติบโตเป็นสตรี ต่อไปอย่าได้พูดเช่นนั้นกับบุรุษอีก”
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกโมโหและตลกไม่ใช่น้อย ก่อนจะเขย่งเท้าและตบไปที่ศีรษะของเสวี่ยหยวนจิ้งเบาๆ เหมือนที่เขาชอบทำกับเธอ และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “รู้แล้ว พี่ชายโง่เง่า”
วันที่เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาตาย เด็กหนุ่มพูดเก่งกว่านี้ และประโยคที่เอ่ยออกมานั้นก็ทำให้เสวี่ยเจิ้งจื้อกับชาวบ้านในหมู่บ้านซิ่วเฟิงมองเขาด้วยความชื่นชม เหตุใดพอมาอยู่ต่อหน้าเธอถึงได้ดูจริงจังและเย็นชาเช่นนี้
เมื่อถูกเสวี่ยเจียเยว่ตบศีรษะอย่างกะทันหัน เสวี่ยหยวนจิ้งก็ตะลึงงันทันที หลังจากได้สติกลับมา เขาก็เหลือบมองอีกฝ่ายด้วยความเย็นชาก่อนจะเอ่ย “ไม่รู้จักเด็ก ไม่รู้จักผู้ใหญ่”
ทว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่มีทีท่าว่าจะโกรธแม้แต่น้อย เพียงยิ้มออกมาเท่านั้น
เมื่อจมูกของเธอหายเจ็บแล้ว ทั้งสองคนก็เดินทางต่อ ครั้งนี้มิใช่เดินอยู่ด้านหน้าหนึ่งคน ด้านหลังหนึ่งคน แต่เป็นการเดินเคียงกันไป พร้อมกับพูดคุยกันไปด้วย
พวกเขาหาที่พักราคาถูกในอำเภอเป็นที่นอนหนึ่งคืน จากนั้นก็เดินทางต่อ ซึ่งระหว่างทางได้ชมทัศนียภาพที่ไม่เคยพบเห็นและได้กินอาหารที่ไม่เคยกินมาก่อน เมื่อถึงเวลาพลบค่ำก็หาที่พักเพื่อนอนพักผ่อน ในที่สุดทั้งสองคนก็เดินทางมาถึงเมืองผิงหยางในต้นเดือนสาม
เสวี่ยเจียเยว่สังเกตว่าด้านหน้าของเมืองผิงหยางคือแม่น้ำจี้สุ่ย มีถนนสิบแปดสายอยู่ในเมือง ล้วนเป็นถนนดินที่ถูกอัดแน่นซึ่งในภพนี้คงเรียกว่าทางเดินมากกว่า สองข้างทางมีเรือนตั้งเรียงราย ผู้คนสัญจรไปมาไม่ขาดสาย ดูเป็นสถานที่ที่คึกคักเป็นอย่างมาก ทว่าน่าเสียดายที่พบเห็นต้นไม้ได้น้อยมาก เมื่อมีรถม้าผ่านมาเมื่อไร บนถนนก็จะเต็มไปด้วยฝุ่น
แม้ว่าเมืองผิงหยางนี้จะดูเจริญกว่าเมืองเล็กๆ ที่เธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งเคยไปช่วยยายหานขายเต้าหู้ แต่ก็ไม่นับว่าเป็นสถานที่แปลกใหม่อันใด เพราะในภพที่จากมา เธอเห็นสถานที่ต่างๆ มามากมาย
เธอเหลือบมองเสวี่ยหยวนจิ้ง เขาอายุสิบสี่ปีแล้ว แต่สถานที่ที่เคยไปไกลที่สุดก็คงเป็นเมืองเล็กๆ ใกล้หมู่บ้านในชนบทเท่านั้น ทว่าเมื่อได้มาเห็นเมืองผิงหยางเป็นครั้งแรกในวันนี้ สีหน้าของเขากลับนิ่งสงบ ไม่มีความตกตะลึงอันใดแม้แต่น้อย
เธอเดาไม่ถูกว่าตอนนี้เขาสับสนว่าจะไปที่ไหนก่อน หรือกำลังคิดว่าที่ว่าการของเมืองนี้อยู่ไกลเกินไปหรือไม่
เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าเหตุผลทั้งสองข้อนี้มีความเป็นไปได้สูง
เมื่อมาถึง สิ่งแรกที่จำเป็นต้องหาให้ได้คือที่พัก แต่ก็ไม่อาจหาโดยไร้จุดหมาย จะต้องเข้าใจสภาพของพื้นที่ก่อนถึงจะกำหนดเป้าหมายในการค้นหาได้
ทั้งสองปรึกษากันและตัดสินใจว่าจะหาโรงเตี๊ยมพักชั่วคราว หลังจากทำความคุ้นเคยกับเมืองผิงหยางแล้วค่อยออกไปหาเช่าเรือนของชาวบ้าน
เป็นเหมือนคำที่เสวี่ยหยวนจิ้งกล่าวมาก่อนหน้านี้ ว่าหากพวกเขามีโอกาสออกมาจากหมู่บ้านซิ่วเฟิง ก็ต้องมาอย่างสง่าผ่าเผย ซึ่งตอนนี้เธอเห็นเด็กหนุ่มแสดงทะเบียนสำมะโนครัวกับใบอนุญาตออกนอกพื้นที่ให้เจ้าของโรงเตี๊ยมดู จากนั้นเจ้าของโรงเตี๊ยมก็ลงชื่อ ก่อนจะเรียกเสี่ยวเอ้อร์มาพาพวกเขาขึ้นไปยังห้องพัก
พวกเขามีเงินติดตัวอยู่ไม่มากนัก และต้องเก็บไว้ใช้ในอนาคต อีกทั้งเพิ่งมาถึงที่นี่ครั้งแรก เสวี่ยหยวนจิ้งไม่อยากให้เสวี่ยเจียเยว่อยู่ห่างสายตา จึงเช่าเพียงหนึ่งห้องเท่านั้น
เจ้าของโรงเตี๊ยมไม่ได้ซักถามอะไรมาก เพราะเดิมทีที่นี่ก็มิใช่โรงเตี๊ยมชั้นสูงครอบครัวที่มีเงินน้อยมาขอเช่าเพียงห้องไม้หนึ่งคืนเขาก็เห็นมาแล้ว ตอนนี้สองพี่น้องอายุยังไม่มากนัก อยู่ในห้องเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด
เมื่อเสี่ยวเอ้อร์ส่งพวกเขาเข้าห้องแล้วก็กลับออกไป จากนั้นเสวี่ยเจียเยว่จึงเอ่ยกับเสวี่ยหยวนจิ้ง
“ท่านพี่ เหตุใดท่านถึงต้องเช่าห้องด้วยเจ้าคะ พวกเราสองคนเช่าแค่เตียงนอนก็พอแล้วไม่ใช่หรือ”
เธอยังอยากจะประหยัดเงินให้ได้มากที่สุด
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่พูดไม่จาครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้าไม่อยากให้เจ้านอนกับคนอื่น อีกอย่าง…”
เขาเงยหน้าขึ้นมองเสวี่ยเจียเยว่ “ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าเขียนตัวอักษรได้ พอพวกเราหาที่พักในเมืองผิงหยางได้แล้ว ข้าสามารถไปรับเขียนจดหมายที่มุมทางเดิน และของานคัดลอกตำราจากเถ้าแก่ร้านขายตำราพอให้ได้ค่าจ้างเล็กๆ น้อยๆ มาเป็นค่าใช้จ่ายในทุกวัน ดังนั้นตอนนี้เจ้าไม่ต้องประหยัดแล้ว ข้าไม่อยากให้เจ้าลำบากเช่นนี้”
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ ความจริงข้าไม่รู้สึกลำบากแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ชีวิตของข้าในตอนนี้ก็ดีกว่าที่ผ่านมามิใช่น้อย เรียกได้ว่าแตกต่างราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว ซึ่งทั้งหมดนี้ท่านเป็นคนมอบให้ข้า ส่วนเรื่องคัดลอกตำราและการรับเขียนจดหมายนั้น ท่านพี่ ท่านควรเอาเวลานี้มาอ่านตำราจะดีกว่า เมื่อท่านได้เข้าเรียนสำนักศึกษาดีๆ และต่อไปได้เป็นขุนนาง ข้าในฐานะน้องสาวของท่านจะลำบากได้อย่างไร”
“เรื่องการสอบขุนนางนั้นข้าต้องสอบอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ข้าต้องดูแลครอบครัว ไม่ว่าในอนาคตหรือตอนนี้ ข้าก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าลำบาก”
น้ำเสียงของเสวี่ยหยวนจิ้งนั้นราบเรียบและอบอุ่น ทำให้เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก
เธอขยับไปคล้องแขนเด็กหนุ่ม พลางเงยหน้าขึ้นมองเขาและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มีท่านเป็นพี่ชายเช่นนี้ช่างดีจริงๆ ข้ารู้สึกโชคดีนัก”
โชคดีที่ได้รู้จักเสวี่ยหยวนจิ้งและเลือกที่จะไม่จากเขาไป อยากจะเปลี่ยนความบาดหมางกับเขาให้กลายเป็นความรู้สึกดีๆ และนี่ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าทางที่เธอเลือกนั้นถูกต้องที่สุดแล้ว มิเช่นนั้นเธออาจจะพลาดโอกาสที่จะได้อยู่กับคนที่ดีที่สุดในโลกเช่นนี้
เสวี่ยหยวนจิ้งมองดวงตาที่เป็นประกายของเสวี่ยเจียเยว่ ราวกับว่าอีกไม่นานแสงเทียนทั้งหมดในห้องนี้จะมารวมอยู่ในดวงตาคู่นี้ก็ไม่ปาน
ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้น ดวงตาทอประกายขณะเอื้อมมือไปลูบศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“เดินทางมาร่วมเดือน ต้องตื่นเช้าและนอนดึก เจ้าคงจะเหนื่อยมากใช่หรือไม่ ตอนนี้พวกเราถึงเมืองผิงหยางแล้ว คืนนี้เจ้ารีบพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ไม่ต้องตื่นเช้านักก็ได้ พอกินข้าวเช้าเสร็จ พวกเราค่อยออกไปเดินเล่นในเมืองเสียหน่อย”
เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้า กล่าวด้วยรอยยิ้มบาง “เจ้าค่ะ”
เธอเหนื่อยล้ายิ่งนัก เมื่อเสี่ยวเอ้อร์ยกน้ำอุ่นมาให้ และเสวี่ยหยวนจิ้งก็ออกไปอยู่ที่มุมหนึ่ง เธอจึงล้างหน้าบ้วนปากให้สะอาด เมื่อเรียบร้อยแล้ว เธอก็ขึ้นเตียงไปพักผ่อน
หลังจากเสวี่ยหยวนจิ้งล้างหน้าบ้วนปากเสร็จ เขาก็ขอให้เสี่ยวเอ้อร์ยกเตียงอีกหลังมาให้ ก่อนจะนอนบนเตียงนั้น
พวกเขาหลับสนิทตลอดทั้งคืน เช้าวันต่อมาก็ลุกขึ้นมาล้างหน้าบ้วนปาก จากนั้นพวกเขาออกไปที่เพิงขายอาหารเล็กๆ ซื้อแผ่นแป้งทอดกับอาหารที่เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าคล้ายกระเพาะปลา มีเนื้อวัวและเส้นก๋วยเตี๋ยวเป็นวัตถุดิบหลัก เมื่อกินเสร็จจึงไปเดินเล่นด้วยกัน
แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การสอบถามเกี่ยวกับสำนักศึกษาในเมืองผิงหยาง
หลังจากสอบถามได้พอประมาณแล้ว พวกเขาก็รู้ว่าเมืองผิงหยางแห่งนี้เป็นสถานที่ที่มีผู้มีความสามารถมากมาย อีกทั้งยังเป็นสำนักราษฎร์ มิใช่ของราชสำนัก และมีสำนักศึกษาสองแห่งที่ดีที่สุด แห่งแรกคือสำนักศึกษาไท่ชู อีกแห่งคือสำนักศึกษาถัวเยว่
พวกเขาได้รู้ว่าเดิมทีราชวงศ์ต้องการสนับสนุนให้ราษฎรได้เล่าเรียน แต่ราชสำนักไม่อาจจัดตั้งสำนักศึกษาของตนได้ จึงสนับสนุนให้ราษฎรสร้างสำนักศึกษาขึ้นมา ทั้งยังมอบแผ่นป้ายคำขวัญและตำราให้แก่สำนักราษฎร์ที่มีชื่อเสียง รวมทั้งมอบป้ายเกียรติยศให้แก่หัวหน้าสำนักศึกษาต่างๆ
และได้ยินมาว่าผู้ที่เป็นหัวหน้าสำนักศึกษาไท่ชูในเวลานี้เคยได้รับราชโองการจากฮ่องเต้ให้ไปเข้าเฝ้า และเขียนคำว่า ‘คุณธรรม’ ‘การเล่าเรียน’ ‘สวรรค์’ ‘พิภพ’ ด้วยพระองค์เอง จากนั้นก็สั่งช่างฝีมือสลักตัวอักษรสีทองทั้งสี่คำลงบนป้ายสีเขียว ตอนนี้ป้ายดังกล่าวแขวนอยู่บนประตูใหญ่ของสำนักศึกษา ได้ยินมาอีกว่าสำนักศึกษาไท่ชูแห่งนี้สร้างขุนนางยอดเยี่ยมมาแล้วหลายคน และรายชื่อผู้สอบชิงตำแหน่งขุนนางในสามอันดับแรก ก็มีผู้เรียนจากสำนักศึกษาไท่ชูติดหนึ่งในนั้น
ส่วนสำนักศึกษาถัวเยว่นั้นก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน ไม่เพียงอาจารย์จะมีความรู้ความสามารถเท่านั้น ยังได้ยินว่าหัวหน้าสำนักศึกษามาจากสำนักศึกษาฮั่นหลิน ซึ่งสอนฮ่องเต้และองค์ชายทั้งหลาย เขามีอาการป่วยจึงกลับมาบ้านเกิดแล้วตั้งสำนักศึกษาถัวเยว่แห่งนี้ขึ้นมา อีกทั้งตอนนี้ในครอบครัวเขายังมีคนที่ได้รับตำแหน่งขุนนางในราชสำนักด้วย
ในที่สุดเสวี่ยเจียเยว่ก็เข้าใจแล้วว่า เหตุใดทุกปีจึงมีผู้คนมากมายมาสอบเข้าเรียนในสำนักศึกษาถัวเยว่และสำนักศึกษาไท่ชู แต่เธอก็ยังกังวลใจอยู่บ้าง เพราะได้ยินมาว่าสำนักศึกษาสองแห่งนี้จะรับผู้เรียนเพียงสามสิบคนในแต่ละปีเท่านั้น ส่วนแห่งอื่นแม้ว่าจะพอใช้ได้ แต่เธออยากให้เสวี่ยหยวนจิ้งเข้าเรียนในสำนักศึกษาที่ดีที่สุด
เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าเขาจะต้องสอบเข้าสำนักศึกษาถัวเยว่หรือสำนักศึกษาไท่ชูให้ได้ ด้วยวิธีนี้เธอถึงจะไม่กลุ้มใจกับการวางแผนชีวิตของเขาตลอดทั้งวัน
ทว่าสิ่งที่เสวี่ยหยวนจิ้งกลุ้มใจมิใช่เรื่องนี้ เขาสอบถามมาอย่างละเอียดแล้ว ค่าเข้าเรียนสำนักศึกษาถัวเย่วและสำนักศึกษาไท่ชูนั้นสูงมาก เกรงว่าเขากับเสวี่ยเจียเยว่จะไม่สามารถจ่ายได้ในตอนนี้ และสำนักศึกษาอันดับหนึ่งเช่นนั้นก็ต้องแย่งชิงผู้เข้าเรียนเก่งๆ เพื่อมาเพิ่มชื่อเสียงของตน