ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 63 ลงหลักปักฐาน
หกสิบสาม
ลงหลักปักฐาน
“พูดถึงแม่นางโจวผู้นี้ นางเช่าเรือนสามห้องนี้มาหลายปีแล้ว แม้ว่านิสัยของนางจะรักสันโดษ ไม่ชอบไปมาหาสู่กับใคร ทั้งยังไม่ค่อยออกจากเรือน แต่พวกเจ้าวางใจเถอะ นางไม่ใช่คนเลว” ป้าหยางเอ่ยตอบ
จากนั้นนางกวักมือเรียกเสี่ยวฉานเข้ามาถาม “บอกพี่ชายกับพี่สาวสิ ว่าป้าโจวดีกับพวกเจ้าหรือไม่ นางให้ขนมถังบ๊ะจ่าง40กับพวกเจ้าสองพี่น้องอยู่ไม่ใช่หรือ”
เสี่ยวฉานพยักหน้าพร้อมเอ่ยตอบอย่างไร้เดียงสา “ป้าโจวเป็นคนดีมากเจ้าค่ะ นางไม่เพียงให้ขนมถังบ๊ะจ่างกับพวกข้าสองพี่น้องเท่านั้น ยังให้ไป๋ถังเกาพวกข้ากินอีกด้วย กัดไป๋ถังเการ้อนๆ ในมือไปคำหนึ่ง เนื้อของมันนุ่มและอร่อยมาก”
เมื่อป้าหยางได้ยินดังนั้น นางก็พยักหน้าอย่างพออกพอใจ ก่อนจะให้เสี่ยวฉานไปเล่นที่อื่น จากนั้นจึงไขกุญแจที่คล้องอยู่บนประตูเรือนฝั่งตะวันออก และเรียกเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่เข้าไปดูภายในตัวเรือน
เสวี่ยเจียเยว่ไม่ขยับ เพียงมองเสวี่ยหยวนจิ้งแล้วเรียกเขา “ท่านพี่?”
เห็นได้ชัดว่าเธอต้องการฟังความคิดเห็นจากเขา
เสวี่ยหยวนจิ้งพยักหน้าเบาๆ “พวกเราเข้าไปดูก่อนเถิด”
เขากล่าวจบก็จูงมือเสวี่ยเจียเยว่เข้าไปในเรือนฝั่งตะวันออก
เมื่อเดินเข้าไป สิ่งแรกที่พวกเขาเห็นคือพื้นที่ไม่กว้างนัก แบ่งออกเป็นสามห้องโดยใช้ม่านกั้น ภายในเรือนนี้ไม่มีของอะไรวางอยู่ นอกจากเตียงขนาดเล็กหนึ่งหลัง และโต๊ะเก่าๆ หนึ่งตัวที่วางไว้ในห้องทางทิศใต้ ห้องทางทิศเหนือมีผนังไม่กว้างนัก
ตอนนี้มีแสงแดดสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง จึงทำให้ในเรือนดูสว่างเป็นอย่างมาก
เมื่อครู่เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินป้าหยางพูดถึงป้าโจวขณะยืนอยู่ที่ลาน และตอนที่เธอหันไปมองเรือนหลัก ประตูหน้าต่างก็ล้วนปิดสนิท ความจริงแล้วเธอไม่อยากเช่าเรือนของป้าหยางด้วยซ้ำ ทว่าเมื่อเดินเข้ามาในเรือนฝั่งตะวันออก เห็นแสงแดดสีทองระยิบระยับสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างและกระทบลงสู่พื้น จู่ๆ กลับอยากจะอยู่ที่นี่ขึ้นมา
เธอเรียกเสวี่ยหยวนจิ้งออกมาคุยเรื่องนี้ หลังจากเขาได้ยินว่าเธออยากจะเช่าที่นี่ ก็หันไปมองเรือนหลักหลังนั้น เมื่อครุ่นคิดได้ครู่หนึ่งจึงพยักหน้า
“อย่างไรเสียก็หาเรือนที่เหมาะกับพวกเราสองคนไม่ได้ ในเมื่อเจ้าชอบที่นี่ เช่นนั้นก็เช่าที่นี่เถอะ”
หลังจากเขาสังเกตอย่างละเอียด ก็ไม่เห็นเสี่ยวฉานดูหวาดกลัวแม้แต่น้อยขณะที่นางเอ่ยถึงป้าโจว ในทางตรงกันข้าม ใบหน้าของนางประดับไปด้วยรอยยิ้มสดใส และนี่เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าป้าโจวผู้นั้นไม่ใช่คนเลวร้าย ที่สำคัญที่สุดคือ… ในเรือนล้วนมีแต่สตรี ไม่มีบุรุษอาศัยอยู่ แม้จะมีหูจื่อ แต่เขาก็เป็นเพียงเด็กชายอายุสี่ขวบเท่านั้น
ส่วนเรื่องที่ป้าโจวมีนิสัยรักสันโดษ ไม่ชอบคบค้าสมาคมกับใครนั้นสำคัญด้วยหรือ ความจริงแล้วเขาก็ไม่ชอบไปมาหาสู่กับใครเช่นเดียวกัน
เมื่อได้รับคำตอบจากเสวี่ยหยวนจิ้ง เสวี่ยเจียเยว่ก็ดีใจเป็นอย่างมาก และเข้าไปหารือเรื่องค่าเช่ากับป้าหยางทันที
เห็นได้ชัดว่าป้าหยางนั้นชอบเสวี่ยเจียเยว่ไม่น้อย และอยากให้เธอเช่าเรือนเล็กหลังนี้ ดังนั้นนางจึงไม่ต้องการค่าเช่าสูงมาก ทั้งยังบอกว่าอีกประเดี๋ยวนางจะกลับไปดูข้าวของเครื่องใช้ในเรือนของตน หากมีอะไรที่ไม่ได้ใช้แล้วก็จะนำมาให้เสวี่ยเจียเยว่สองสามชิ้น
เสวี่ยเจียเยว่ดีอกดีใจเป็นอย่างมาก และรีบตอบกลับไปทันที “ว่ากันว่าออกจากเรือนจะได้พบผู้สูงศักดิ์ ป้าหยาง ที่แท้ท่านก็คือผู้สูงศักดิ์ของข้า”
ป้าหยางได้ยินคำเยินยอก็ยิ้มหน้าบานทันที จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ได้ลงชื่อทำสัญญากัน โดยพวกเขาจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าครึ่งปี
เมื่อป้าหยางรับเงินค่าเช่ามาแล้ว นางก็มอบกุญแจให้เสวี่ยเจียเยว่ และชี้ไปที่เรือนใหญ่ของตนพลางเอ่ย
“ข้าพักอยู่ด้านหน้านี้ หากพวกเจ้ามีเรื่องอะไร ก็ไปหาข้าได้ตลอดเวลา คิดเสียว่าเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจข้า”
เสวี่ยเจียเยว่ขานรับพร้อมกับรับกุญแจเรือนมา เมื่อส่งป้าหยางกลับไปแล้ว เธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งก็กลับไปเอาถุงสัมภาระของตนที่โรงเตี๊ยม เมื่อจ่ายค่าเช่าห้องในโรงเตี๊ยมเสร็จแล้ว พวกเขาก็กลับเรือนที่เพิ่งเช่าไป
เมื่อเปิดประตูเรือนเข้าไป เสวี่ยเจียเยว่นำถุงสัมภาระไปวางไว้บนโต๊ะที่ทรุดโทรม เมื่อเห็นฝุ่นลอยคลุ้งอยู่ในแสงแดด เธอก็รู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก
เธอผายมือออกแล้วเอ่ยกับเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยรอยยิ้มสดใส “ท่านพี่ ต่อจากนี้ไปที่นี่ก็คือเรือนของพวกเรา พวกเรามีเรือนแล้ว”
เธอไม่เคยรู้สึกว่าเรือนในหมู่บ้านซิ่วเฟิงเป็นของตัวเอง แต่ที่นี่… แม้จะเป็นเรือนขนาดเล็ก กลับรู้สึกว่ามันเป็น ‘บ้าน’ มากกว่า
เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของแม่นางน้อย และดวงตาคู่นั้นก็เปล่งประกายสดใส เขาก็รู้สึกอิ่มเอมใจไม่น้อย
เขากวาดตามองไปรอบๆ ห้องเล็กสามห้องที่กั้นด้วยม่าน จากนั้นก็มองเสวี่ยเจียเยว่พลางเอื้อมมือไปลูบศีรษะอีกฝ่าย เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและนัยน์ตาทอประกาย
“อือ พวกเรามีเรือนแล้ว ต่อไปที่นี่ก็คือเรือนของพวกเรา”
ขณะที่เขาเอ่ยคำว่า ‘เรือน’ ออกมา เขารู้สึกมีความสุขและพึงพอใจเป็นอย่างมาก
แม้ว่าเรือนจะเล็ก แต่พวกเขาก็ใช้เวลาอยู่หลายวันถึงจะทำความสะอาดทุกซอกทุกมุมของห้องที่กั้นด้วยม่านทั้งสามห้องได้แล้วเสร็จ
เสวี่ยเจียเยว่พักในห้องทางทิศใต้ ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้งพักที่ห้องทางทิศเหนือ โดยมีห้องเล็กอีกห้องอยู่ตรงกลาง ในห้องของเสวี่ยเจียเยว่มีเตียงที่สร้างขึ้นอย่างลวกๆ หนึ่งหลัง แต่ห้องของเด็กหนุ่มไม่มี โชคดีที่มีเตียงเตาอยู่ใกล้หน้าต่าง หลับอยู่บนเตียงเตาในยามกลางคืนก็ไม่ต่างอะไรกับนอนบนเตียงธรรมดา
เนื่องจากป้าหยางมอบของใช้เก่าๆ สองสามชิ้นให้ พวกเขาจึงไม่ได้ซื้อของใช้เพิ่ม จริงๆ แล้วเสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกพอใจกับทุกอย่างในตอนนี้แล้ว
หลังจากจัดทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็หารือกับเสวี่ยหยวนจิ้ง เธออยากจะซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ไปฝากครอบครัวของป้าเฝิงและป้าโจว เพื่อจะได้สนิทสนมกันมากขึ้น เพราะนับแต่นี้ไปพวกเขาจะอาศัยอยู่ในเรือนหลังนี้ และต้องพบหน้ากันทุกวัน ทำความรู้จักกันไว้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
เสวี่ยหยวนจิ้งตอบตกลง จากนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็ไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนจะออกไปซื้อไป๋ถังเกากับขนมถังบ๊ะจ่างกลับมา
หากอยากจะมอบของให้ใคร ก็ต้องมอบสิ่งที่คนผู้นั้นชอบ วันที่เธอมาดูเรือนกับป้าหยางนั้น ตอนที่เสี่ยวฉานพูดถึงไป๋ถังเกากับขนมถังบ๊ะจ่าง สีหน้าของนางดูมีความสุขไม่น้อย เห็นได้ชัดว่านางชอบกินของเหล่านี้มาก อีกทั้งสองสิ่งนี้เป็นของที่ป้าโจวให้นางกิน จึงเดาว่าป้าโจวเองก็คงชอบกินเช่นเดียวกัน ไม่อย่างนั้นนางจะตั้งใจซื้อมาให้เสี่ยวฉานกับหูจื่อได้อย่างไร
ขณะที่เธอหิ้วไป๋ถังเกากับขนมถังบ๊ะจ่างกลับมา ก็เห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังอ่านตำราอยู่ในห้องของเขา
สำนักศึกษาทุกแห่งในเมืองผิงหยางจะเริ่มเปิดสอบในเดือนหน้า หลายวันที่ผ่านมาเด็กหนุ่มอ่านตำราเตรียมสอบเสียเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นเวลากินและนอนเท่านั้น
เสวี่ยเจียเยว่เดินเข้าไปแล้วหยิบไป๋ถังเกาหนึ่งชิ้นออกมาจากห่อกระดาษ ก่อนจะยัดเข้าไปในปากของเสวี่ยหยวนจิ้งโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ว่าอีกฝ่ายเดินเข้ามา จึงอ้าปากรับของสิ่งนั้นโดยไม่ได้มองว่ามันคืออะไร สายตาของเขายังคงจับจ้องตำราในมือไม่วาง
นี่ไม่ใช่ตำราธรรมดา แต่เป็นบทความเกี่ยวกับประวัติการคัดเลือกผู้เข้าเรียนของสำนักศึกษาถัวเยว่และสำนักศึกษาไท่ชูในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
พวกเขาซื้อมาตอนไปร้านขายตำราด้วยกันเมื่อวานนี้ เสวี่ยเจียเยว่เคยได้ยินเสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยถึงมาก่อน ว่าเขาได้อ่านข้อสอบที่สำนักศึกษาทั้งสองแห่งเคยออก นอกจากนี้ยังมีบทความของผู้เข้าเรียนที่ได้รับเลือก จึงสามารถหากฎเกณฑ์จากตำราเล่มนี้ได้อย่างแน่นอน หรือพูดตรงๆ ก็คือ เขาเพียงต้องการหาความชอบของอาจารย์ในสำนักศึกษาไท่ชูและสำนักศึกษาถัวเยว่ และเกณฑ์การตั้งคำถาม จากนั้นก็จะเขียนบทความเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาต้องการเมื่อถึงเวลาสอบเขียนบทความ ด้วยวิธีนี้เขาจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับเลือกอย่างแน่นอน
เสวี่ยเจียเยว่มีเพียงความรู้สึกเดียวขณะที่ได้ยินดังนั้น นั่นก็คือเสวี่ย-หยวนจิ้งจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน เพราะเขาไม่ได้ทะนงตัวตลอดเวลา เขายังรู้จักวิธีพลิกแพลงด้วยการนึกถึงความคิดของผู้อื่น และตอบสนองต่อความชอบของคนผู้นั้น
คนเช่นนี้ เมื่อภายภาคหน้าได้รับตำแหน่งขุนนาง หากเขานำความคิดเช่นนี้ของตนไปใช้ในเรื่องที่ถูกต้องก็ดี ไม่เช่นนั้นเกรงว่าราชสำนักและราษฎรในแผ่นดินนี้คงไม่โชคดีเท่าไรนัก
ในภพก่อน เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้ตั้งใจฟังเพื่อนร่วมห้องบรรยายถึงบทบาทตัวละครเสวี่ยหยวนจิ้งว่า เขาเป็นขุนนางที่จงรักภักดีหรือคนทรยศ ทว่าถ้าเขาจะใช้ประโยชน์และทำผิดต่อนางเอกทั้งสิบสองคนแล้ว เขาก็คงไม่ใช่คนดีอะไร
เธอมองเด็กหนุ่มก้มหน้าอ่านตำรา สีหน้าของเขานิ่งสงบ เมื่อนึกถึงรอยยิ้มในแววตาของเขาตอนที่พูดคุยกับเธอ ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่เชื่อว่าต่อไปเขาจะเป็นคนเลว
ตอนนี้ระหว่างเสวี่ยหยวนจิ้งกับหลี่หานเซี่ยวและโจวหลันไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดต่อกันแล้วไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นเส้นทางในอนาคตที่เขาต้องเดิน ก็ต้องแตกต่างจากเค้าโครงนิยายอย่างแน่นอน
เสวี่ยเจียเยว่ปลอบใจตัวเองเช่นนี้ ก่อนจะเห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังมองมาที่เธอ
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่” เด็กหนุ่มโน้มตัวเข้าหาเล็กน้อย แล้วเอื้อมมือไปหยิกแก้มอีกฝ่ายเบาๆ พลางถามด้วยรอยยิ้ม “คิดจนเหม่อลอยเช่นนี้เลยหรือ”
แม้ก่อนหน้านี้เสวี่ยเจียเยว่จะมีใบหน้าที่เหลืองและซูบผอม แต่ตอนนี้ผิวพรรณขาวเนียนขึ้นไม่น้อย แก้มมีเนื้อขึ้นมาบ้าง ตอนที่เขาหยิกนั้นทำให้รู้สึกถึงความอ่อนนุ่ม
เสวี่ยเจียเยว่เพิ่งได้สติกลับมาเมื่อครู่ ไม่ได้ตระหนักถึงการกระทำที่ดูใกล้ชิดสนิทสนมเช่นนี้ อีกทั้งหลังจากเสวี่ยหยวนจิ้งหยิกแก้มเธอก็เก็บมือกลับไปทันที เธอจึงไม่ทันได้ขัดขืนอะไร
เธอบอกไม่ได้ว่าเมื่อครู่นี้กำลังคิดอะไรอยู่ จึงตอบเรื่องอื่นแทน “ไม่ได้คิดอะไรมากเจ้าค่ะ แค่คิดว่าป้าโจวผู้นั้นเป็นคนอย่างไร อีกประเดี๋ยวพอข้าไปพบนาง ข้าควรจะพูดอะไรกับนางดี”
พวกเขามาอยู่ที่นี่ได้หลายวันแล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นประตูเรือนหลักเปิดออกสักครั้ง จึงไม่เคยพบหน้าป้าโจว
“ข้าไปพบนางพร้อมเจ้าดีกว่า” เสวี่ยหยวนจิ้งวางตำราลง ก่อนจะลุกขึ้นยืน
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นดังนั้นก็รีบเอ่ย “ไม่ต้องเจ้าค่ะ ไปพบนางเพียงครู่เดียว ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด เหตุใดท่านต้องไปกับข้าด้วย ใกล้ถึงวันเปิดสอบของสำนักศึกษาทุกแห่งแล้ว ท่านทำใจให้สบาย ตั้งใจอ่านตำราอยู่ในเรือนก็ดีแล้วเจ้าค่ะ”
ป้าโจวเป็นสตรี และพวกเขาได้ยินป้าหยางบอกว่านางมีนิสัยรักสันโดษ คงจะไม่อยากเจอบุรุษ เกรงว่าหากเสวี่ยหยวนจิ้งไปกับเธอ เธออาจไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรนัก
ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังจะเอ่ยบางอย่าง เสวี่ยเจียเยว่ก็พูดขึ้นมาก่อน
“ถึงอย่างไรข้าก็อยู่ในบริเวณลานเรือนนี้ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าจะเรียกท่านพี่เองเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ว่าถ้าเขาไปด้วยก็คงไม่เหมาะ อีกทั้งยังอยู่ในบริเวณลานเรือนจริงๆ เขานั่งอยู่ริมหน้าต่างก็สามารถมองเห็นเสวี่ยเจียเยว่ได้ จึงพยักหน้าแล้วเอ่ยอนุญาต
“เจ้าเองก็ระวังตัวด้วย หากมีเรื่องอะไรต้องเรียกข้าทันที ข้าอยู่ตรงนี้ตลอด”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ถือไป๋ถังเกากับขนมถังบ๊ะจ่างเดินออกไปจากเรือน