ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 66 ปกป้องดวงใจ
หกสิบหก
ปกป้องดวงใจ
หากเป็นยามปกติคงไม่เป็นอะไร ทว่าวันนี้ฝนเกิดตกลงมา บนทางเดินจึงเต็มไปด้วยโคลน เมื่อเห็นว่าของในถุงผ้าร่วงกระจัดกระจาย หากไม่เปียกฝน ก็ต้องเปื้อนโคลน และนำมาใช้ไม่ได้อีกต่อไป สำหรับคนอื่นอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่
ทว่าสำหรับเสวี่ยหยวนจิ้งนั้น กระดาษทุกแผ่น หมึกทุกหยด ล้วนมาจากการที่เสวี่ยเจียเยว่ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ ให้ตัวเอง เพื่อนำเงินไปซื้อให้เขา พอเห็นว่าของเหล่านั้นตกลงบนทางเดิน ก็เหมือนกับความหวังดีของเสวี่ยเจียเยว่ร่วงลงไปเช่นเดียวกัน แล้วจะไม่ให้เขาเดือดดาลได้อย่างไร
เขาเงยหน้าขึ้นมองคนที่เกือบจะชนเสวี่ยเจียเยว่เมื่อครู่นี้ด้วยแววตาเย็นชา จากนั้นก็หุบร่มกระดาษน้ำมันแล้วฟาดไปที่แขนขวาของอีกฝ่าย
คนผู้นั้นร้องด้วยความเจ็บปวด แต่ไม่นานสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
เมื่อสหายของเขาเห็นดังนั้นก็ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง พวกเขารีบไปพยุงคนผู้นั้นไว้ จากนั้นพากันล้อมเสวี่ยหยวนจิ้งเอาไว้และตวาดถาม
“น้องชาย เจ้ามาจากที่ไหนหรือ เหตุใดถึงกล้าลงมือทำร้ายคนเช่นนี้”
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่เอ่ยอะไร ไม่แม้กระทั่งมองหน้าคนถาม เพียงนั่งยองๆ เก็บของที่กระจัดกระจายอยู่บนทางเดินทีละชิ้น
เสวี่ยเจียเยว่เห็นดังนั้น เธอก็รีบนั่งลงช่วยเขาเก็บทันที
เมื่อคนเหล่านั้นเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งไม่มีทีท่าว่าจะสนใจ เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา ก็อดเดือดดาลไม่ได้
บ่าวรับใช้คนหนึ่งด่าเสียงดัง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกข้าเป็นคนของตระกูลตัน กล้าดีอย่างไรมาทำร้ายพวกข้า ข้าว่าเจ้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง”
แม้จะรู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งมีวรยุทธ์ และบ่าวรับใช้เหล่านี้ก็อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แต่มือที่กำลังยื่นไปเพื่อจะจับแขนเสวี่ยหยวนจิ้งนั้นราวกับพัดเล่มใหญ่ ทำให้หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่เต้นรัวขึ้นมาทันที
“ท่านพี่!” เธอเรียกเสวี่ยหยวนจิ้ง “ระวังเจ้าค่ะ!”
แววตาของเสวี่ยหยวนจิ้งเย็นชาขึ้นมาอย่างกะทันหัน ในขณะที่เขาคิดจะหักแขนบ่าวรับใช้ผู้นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้น
“หยุด!”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง ส่วนเสวี่ยเจียเยว่ก็ขมวดคิ้วมองตาม พบว่าคนที่เอ่ยขึ้นคือตันหงอี้
เมื่อได้ยินดังนั้น บ่าวรับใช้ที่คิดจะจับแขนเสวี่ยหยวนจิ้งก็ชักมือกลับ และยกมือประสานคำนับพลางเรียกอย่างนอบน้อม “คุณชาย”
ตันหงอี้เหลือบมองเขาครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา จากนั้นก็หันไปมองเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่
เสวี่ยหยวนจิ้งเหลือบมองเขาด้วยแววตาเย็นชา ก่อนจะก้มหน้าลงเก็บของที่หล่นอยู่บนทางเดินต่อ ราวกับมองไม่เห็นตันหงอี้
เสวี่ยเจียเยว่เหลือบมองสายตาของตันหงอี้ ก็รู้สึกได้ทันทีว่าเขาเป็นคนที่ทะนงตัวไม่น้อย
ตันหงอี้มองบ่าวรับใช้ที่จะทำร้ายเด็กหนุ่มตรงหน้าพลางเอ่ย “กลับไปรับแส้ยี่สิบครั้งจากพ่อบ้าน”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นไม่กล้าขัดคำสั่ง สองมือแนบข้างลำตัวพร้อมก้มหน้าลง แม้เสียงจะสั่นเครือ แต่ยังคงเอ่ยด้วยความเคารพ “น้อมรับคำสั่งคุณชาย”
ตันหงอี้เหลือบมองเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มเก็บกระดาษขึ้นมาโดยไม่สนใจโคลนบนทางเดิน เขาก็ทำสีหน้ารังเกียจ ก่อนจะหยิบถุงเงินที่ห้อยอยู่บนเข็มขัด แล้วล้วงก้อนทองออกมาโยนไปตรงหน้าเสวี่ยหยวนจิ้ง พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูก “ก้อนทองนี้มีค่ามากพอให้เจ้าซื้อของดีๆ กลับเรือนของเจ้าได้ เอาไปสิ”
ก้อนทองนี้มีน้ำหนักประมาณสิบจิน42 เมื่อคนรอบข้างเห็นดังนั้นก็อุทานออกมา และเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่
แน่นอนว่าพวกเขากล่าวถึงความร่ำรวยและมีพรสวรรค์ของตันหงอี้ บ่าวรับใช้ทำให้ของของเสวี่ยหยวนจิ้งสกปรก ตันหงอี้จึงหยิบก้อนทองออกมาชดเชยให้ ซึ่งสามารถซื้อกระดาษ หมึก พู่กัน และหินฝนหมึกชั้นดีแค่ไหนก็ได้ กระทั่งมีคนบอกว่าเสวี่ยหยวนจิ้งนั้นโชคดี เพราะก้อนทองนี้มีค่ามากสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายของคนธรรมดาได้หลายปี ไม่ว่าจะนำไปซื้อที่นา หรือทำการค้าขายก็ได้
ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้เก็บก้อนทองตรงหน้าขึ้นมา เขาทำราวกับมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น เมื่อเก็บของที่กระจัดกระจายอยู่บนทางเดินเสร็จแล้ว เขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมาและเอ่ยกับเสวี่ยเจียเยว่ “พวกเรากลับกันเถอะ”
แผ่นหลังของเขาตั้งตรงราวต้นสนที่หยิ่งยโสท่ามกลางพายุหิมะ ไม่โอนเอนง่ายๆ และไม่มีทางรับของจากผู้ใด โดยเฉพาะการให้ทานที่แฝงไปด้วยการดูถูกศักดิ์ศรีเช่นนี้
เสวี่ยเจียเยว่ทนเห็นผู้อื่นปฏิบัติเช่นนี้กับเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้ ไฟเดือดดาลลุกโชนขึ้นในใจของเธอทันที จึงก้มลงเก็บก้อนทองขึ้นมาแล้วโยนใส่ตันหงอี้ โดยไม่คิดเสียดายหรือเกรงกลัวแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันใบหน้างดงามเปลี่ยนเป็นเย็นชา พลางเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เจ้าเรียนมาก็หลายปี หรือว่าการให้ทานแบบเหยียดหยามเจ้าก็ยังไม่รู้จัก ก้อนทองนี้ข้าขอคืนให้เจ้า พวกข้าเป็นนกน้อยที่ไม่ทำรังแต่พอตัว ความปรารถนาของพวกข้านั้นใหญ่ยิ่ง ค่าอาหารเพียงเล็กน้อยนี้คงไม่สามารถรับไว้ได้”
เธอกล่าวจบก็มองว่าตันหงอี้มีสีหน้าเช่นไร พลางเอื้อมมือไปกอดแขนเสวี่ยหยวนจิ้ง “ท่านพี่ พวกเรากลับกันเถอะเจ้าค่ะ”
ในขณะที่หมุนตัวนั้นก็ยังได้ยินคนรอบข้างวิพากษ์วิจารณ์เสียงดังเซ็งแซ่ ล้วนบอกว่าเธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งโง่เขลา เห็นก้อนทองวางอยู่ตรงหน้าแท้ๆ กลับไม่เอา
ทว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่สนใจเสียงเหล่านี้ เพียงมุ่งหน้าไปตามทางที่จะกลับเรือนพร้อมกับเสวี่ยหยวนจิ้ง
หลังจากเดินไปได้สักพัก ความเดือดดาลที่อยู่ในใจเธอก็หายไป กลายเป็นความหวาดกลัวเข้ามาแทนที่
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งมองสีหน้าอีกฝ่ายก็รู้ทันที จึงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เป็นอะไรไป ตอนนี้กลัวแล้วหรือ”
เสวี่ยเจียเยว่ขบริมฝีปากแน่นไม่ยอมพูด สุดท้ายเธอก็คิดไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเสวี่ยหยวนจิ้งแล้วถอนหายใจ
“ท่านพี่ คนเมื่อครู่นี้ ข้าได้ยินคนในร้านน้ำชาพูดกันว่า เขาเป็นคุณชายตระกูลร่ำรวยในเมืองผิงหยาง เช่นนั้นเขาจะต้องมีอำนาจมากอย่างแน่นอน ว่ากันว่ามังกรที่แข็งแกร่งจะไม่บดขยี้งูดิน ท่านว่าการที่ข้าโยนก้อนทองที่เปื้อนโคลนใส่ตัวเขาเมื่อครู่นี้ เขาจะ… เขาจะอายจนโกรธแล้วมาตามหาพวกเราเพื่อเอาคืนหรือไม่”
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ตอบคำถาม แต่ถามกลับไป “หากเรื่องนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง เจ้าจะโยนก้อนทองนั่นใส่เขาหรือไม่”
เสวี่ยเจียเยว่ไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างมั่นใจ “โยนเจ้าค่ะ ข้าไม่สามารถมองคนดูถูกเหยียดหยามท่านพี่เช่นนี้ได้ แม้จะรู้ว่าต่อไปเขาอาจมาเอาคืนพวกเรา ข้าก็ยังจะโยนก้อนทองใส่ตัวเขาเหมือนเมื่อครู่นี้”
บางครั้งศักดิ์ศรีก็สำคัญกว่าชีวิต
เสวี่ยหยวนจิ้งตอบเพียงสั้นๆ ด้วยรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นในแววตา “อือ”
แม้เขาจะตอบเพียง ‘อือ’ แต่น้ำเสียงนั้นอ่อนโยน รอยยิ้มบนใบหน้าก็อบอุ่น ราวกับหิมะในฤดูหนาวที่ละลายทันทีเมื่อแสงสว่างของฤดูใบไม้ผลิส่องประกาย
เด็กหนุ่มเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าวางใจเถอะ หากเขาต้องการเอาคืนพวกเรา ก็คงเอาคืนไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอคราวหน้า อีกอย่าง… ข้าจะปกป้องเจ้า จะไม่ยอมให้ใครทำร้ายเจ้าแม้แต่นิดเดียว”
ก่อนหน้านี้เสวี่ยหยวนจิ้งเคยบอกแล้วว่าเขาจะปกป้องเธอ พาเธอออกมาจากหมู่บ้านซิ่วเฟิงอย่างสง่างาม ต่อไปไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหน ก็จะทำตัวเหมือนกับคนทั่วไป ตอนนี้เขาทำได้เหมือนที่เคยพูดเอาไว้ เสวี่ยเจียเยว่จึงเชื่อคำพูดของเด็กหนุ่ม และความกระวนกระวายใจก็หายไป
เธอกระชับแขนที่กอดแขนเสวี่ยหยวนจิ้งเอาไว้แน่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ข้าตั้งใจไปเดินตลาดซื้อเนื้อหนึ่งจินและปลาอีกหนึ่งตัวกลับมา ข้าจะทำลูกชิ้นเนื้อกับปลาทอดน้ำแดงให้ท่านกิน ไปกันเถอะ พวกเรารีบกลับเรือนกันเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม กางร่มไปทางเสวี่ยเจียเยว่เพื่อไม่ให้ละอองฝนโดนตัวอีกฝ่าย ต่อให้ไหล่ครึ่งหนึ่งของเขาจะเปียกชุ่มไปด้วยหยาดฝนก็ตาม
ตอนที่แม่นางน้อยโยนก้อนทองใส่ตันหงอี้ คราแรกเขายังคงตะลึงงันเพราะตั้งแต่เล็กจนโตเขาได้รับการเลี้ยงดูเหมือนไข่ในหิน ไม่เคยมีใครกล้าทำกับเขาเช่นนี้สักคน
เมื่อเขาได้สติกลับมาและก้มลงมอง ก็พบว่าด้านหน้าชุดหลันชานสีขาวแถบดำเปื้อนไปด้วยโคลน มันคือโคลนบนก้อนทองที่แม่นางน้อยผู้นั้นโยนมา เส้นเลือดบนคอเขาปูดโปนขึ้นมาเพราะความโมโหทันที
ด้วยความเดือดดาล เขาจึงคิดจะสั่งให้บ่าวรับใช้ไปจับคนแปลกหน้าทั้งสองกลับมา เพื่อสั่งสอนพวกเขาที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ทว่าจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบท่ามกลางผู้คนที่มุงดูอยู่รอบๆ ว่าเขาใช้อำนาจรังแกผู้อื่น
ตันหงอี้จ้องมองก้อนทองที่ตกลงบนโคลน พลางคิดเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ยิ่งเขาคิดมากเท่าไร ก็ยิ่งเดือดดาลมากเท่านั้น
ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่เขาทำนั้นไม่ถูกต้อง กลับไม่ยอมรับว่าผิด
ในที่สุดเขาก็ไม่ได้สั่งให้บ่าวรับใช้ไปจับสองคนนั้น เพียงเตะก้อนทองที่อยู่ตรงหน้าไปด้านข้างด้วยความหงุดหงิดเท่านั้น จากนั้นก็ชี้ไปที่บ่าวรับใช้ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“พวกเจ้า หลังจากกลับไปถึงเรือน จงไปรับแส้ห้าสิบครั้งจากพ่อบ้าน หากขาดไปแม้แต่ครั้งเดียว ต่อไปพวกเจ้าก็ไม่ต้องมาทำงานที่เรือนของข้าอีก”
เมื่อกล่าวจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป พร้อมกับคิดเรื่องเมื่อครู่ไปด้วย
เด็กหนุ่มผู้นั้นมีนิสัยเยือกเย็นสุขุม มองปราดเดียวก็รู้ว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดา และแม่นางน้อยผู้นั้นหน้าตาก็งดงามไม่น้อย แต่กล้าดีอย่างไรมาโยนก้อนทองใส่เขา ทำให้ชุดของเขาสกปรกไม่พอ ยังถากถางวิชาความรู้ที่เขาร่ำเรียนมา
เขาสาบานกับตัวเองในใจว่า หากครั้งหน้าได้พบสองคนนั้นอีกครั้ง เขาจะไม่พูดดีๆ เช่นนี้อย่างแน่นอน
ตันหงอี้คิดไม่ถึงว่าวันต่อมาเขาจะได้พบกับเด็กหนุ่มผู้นั้นและแม่นางน้อยที่หน้าประตูสำนักศึกษาไท่ชู
เด็กหนุ่มที่มีแววตาเย็นชาผู้นั้นมาที่สำนักศึกษาแห่งนี้เพื่อสอบเข้าเรียน และแม่นางน้อยก็มาส่งเขา
เมื่อตันหงอี้ได้พบกับพวกเขาอีกครั้ง เขาก็หรี่ตาลงพร้อมสอดมือทั้งสองข้างเข้าไปในแขนเสื้อ ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน
เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นตันหงอี้เดินมา แววตาเขาก็เย็นชาทันที จากนั้นจึงดึงตัวเสวี่ยเจียเยว่มายืนด้านหลังของตน
ตันหงอี้แค่นเสียงขึ้นจมูก ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างเนิบนาบ “เมื่อวานนี้ข้าเห็นพวกเจ้าอวดดีนัก คนหนึ่งใช้ร่มตีบ่าวรับใช้ของข้า อีกคนโยนก้อนทองใส่ข้า เป็นอันใดไปเล่า ตอนนี้พอเห็นข้าก็ถึงกับหวาดกลัวเชียวหรือ”