ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 69 เดิมพัน
หกสิบเก้า
เดิมพัน
หลังจากเสวี่ยเจียเยว่ส่งเสวี่ยหยวนจิ้งเข้าสำนักศึกษาแล้ว เดิมทีเธอคิดจะตรงกลับเรือน แต่นึกขึ้นมาได้กลางทาง จึงเดินเลี้ยวไปตามทางที่จะไปยังตลาด
เมื่อวานเธอทำโจ๊กและยำหน่อไม้กับผักกวางตุ้งให้ป้าโจว ทว่าคนป่วยไหนเลยจะกินแต่อาหารรสจืดได้ตลอดเวลา จึงอยากไปซื้อเนื้อหมูกับผักในตลาด ตั้งใจจะทำโจ๊กใส่ผักกวางตุ้งกับเนื้อหมูไม่ติดมัน และพรุ่งนี้ก็จะซื้อปลากลับไปทำเฮยยวี๋โต้วฝู่ทัง[45] ให้ป้าโจวกิน
ตลาดตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองผิงหยาง ที่นั่นมีโรงเตี๊ยมและร้านค้ามากมาย ทั้งยังเป็นสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองไม่น้อย
เสวี่ยเจียเยว่ไปซื้อเนื้อหมูไม่ติดมัน และไปที่เพิงขายของเล็กๆ ซื้อผักกวางตุ้งกับผักอื่นๆ ระหว่างทางเจอเพิงขายแป้งทอด เธอจึงซื้อมาสองชิ้น
ขณะหิ้วของเหล่านั้นเดินไปตามทางที่จะกลับเรือน เธอก็คำนวณว่าตอนนี้ตนเหลือเงินติดตัวอยู่เท่าไร
แม้ว่าจะพอใช้ไปได้สักระยะ แต่เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งสอบเสร็จแล้วและผลสอบออกมา เขาจะต้องติดหนึ่งในสามสำนักศึกษาอย่างแน่นอน เสวี่ย-เจียเยว่มั่นใจในตัวเขายิ่งนัก เมื่อถึงตอนที่เขาเข้าเรียนในสำนักศึกษา ค่าเรียนรวมไปถึงค่ากระดาษ หมึก พู่กัน และหินฝนหมึกก็เป็นเงินก้อนใหญ่ อีกทั้งต่อไปยังต้องใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เงินที่มีอยู่อาจจะใช้จ่ายได้ไม่นานเท่าไร
ดูเหมือนว่าเธอจะต้องรีบออกไปหาอะไรทำบ้างแล้ว แต่ร่างนี้มีอายุเก้าขวบเท่านั้น ออกไปข้างนอกจะหางานอะไรทำได้
เสวี่ยเจียเยว่ขมวดคิ้วเรียว ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกหดหู่ใจ ฝีเท้ายามก้าวเดินเริ่มช้าลง
เรือนที่เธอเช่าอยู่ขณะนี้ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของเมืองผิงหยาง ส่วนตลาดอยู่ทางฝั่งตะวันออก สองข้างทางที่เดินผ่านมีร้านน้ำชาและโรงเตี๊ยมอยู่เป็นจำนวนมาก ขณะที่เธอกำลังเดินไปนั้น ก็ได้ยินคำพูดสองสามคำลอยเข้าหู เมื่อได้ยินคำว่าสำนักศึกษาไท่ชูและสำนักศึกษาถัวเยว่ ก็หยุดชะงักทันทีและเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
ที่แท้ก็มีคนสองสามคนนั่งอยู่ในร้านน้ำชา และกำลังพูดคุยถึงการสอบของสำนักศึกษาในเมืองผิงหยาง ถึงขั้นมีการลงพนันในเรื่องนี้ ว่าผู้ใดจะสอบได้อันดับหนึ่งในสำนักศึกษาไท่ชูและสำนักศึกษาถัวเยว่ ได้ยินมาว่าความเป็นไปได้นั้นมีถึงห้าสิบส่วนเลยทีเดียว
โดยปกติแล้วคนในเมืองผิงหยางต่างรู้กันดีว่าตันหงอี้คือคนที่โดดเด่นทางด้านบทกวี คนส่วนใหญ่จึงลงชื่อเขา ต่างกันที่ว่าเด็กหนุ่มจะได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาไท่ชูหรือสำนักศึกษาถัวเยว่ กระทั่งมีคนพนันว่าเขาจะสอบได้ที่หนึ่งทั้งสองแห่ง
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินดังนั้น มุมปากเธอพลันกระตุกทันที ก่อนจะก้าวเดินไปข้างหน้าต่อ แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็เห็นตันหงอี้กำลังยืนอยู่หน้าประตูร้านขายตำราข้างทางพร้อมกับถือตำราสองสามเล่ม เขาคงเพิ่งซื้อจากร้านนั้น
เมื่อครู่นี้เขามองเห็นเสวี่ยเจียเยว่แล้ว และได้ยินคนเหล่านั้นพูดคุยกัน พอแม่นางน้อยเดินต่อไป เขาก็ยื่นตำราให้บ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ถือเอาไว้ ก่อนจะเดินตาม
เสวี่ยเจียเยว่ขมวดคิ้ว จากนั้นก็ก้มหน้าลงและรีบเดินไปข้างหน้า แต่ตันหงอี้ก้าวเท้าอย่างว่องไว จนสามารถขวางทางเธอได้ ไม่ว่าเธอจะเลี่ยงไปทางไหน เขาก็ตามมาขวางได้อยู่ดี
เธอเดือดดาลขึ้นมาทันที แต่พยายามข่มกลั้นเอาไว้และเงยหน้ากล่าว “คุณชายตัน ท่านจะมาขวางทางข้าเช่นนี้เพื่ออันใดเล่า ได้โปรดอย่ามาขวางทางข้าเลย ให้ข้าผ่านไปเถิด”
ตันหงอี้มีหรือจะยอมหลีกทางให้โดยง่าย กลับมองพิจารณาเสวี่ย-เจียเยว่ตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า สุดท้ายเขาก็เลิกคิ้วขึ้นพลางเอ่ย
“เจ้ายังเด็ก แต่ฟันในปากเจ้ากลับแหลมคมยิ่งนัก หลายวันก่อนถากถางข้าว่าเรียนมาหลายปีกลับไร้ประโยชน์ วันนี้ยิ่งกว่านัก ถึงขั้นกล้าว่าข้าเป็นสุนัขเชียวหรือ”
เสวี่ยเจียเยว่เม้มปากไม่พูดไม่จา ถึงแม้จะไม่ได้พูดคำว่า ‘สุนัข’ แต่เธอหมายความตามนั้นจริงๆ
ตันหงอี้เอ่ยถามขึ้นมาอีก “เหตุใดตอนนี้ถึงไม่พูดเล่า หรือว่าพี่ชายที่แสนดีของเจ้าไม่อยู่ข้างๆ เมื่อเจ้าไม่มีที่พึ่งพาจึงไม่กล้าพูด”
เขาจุ๊ปากหนึ่งครั้ง และเอ่ยออกมาอย่างเนิบนาบ “พี่ชายที่แสนดีของเจ้าผู้นั้นไปไหนเสียแล้วเล่า เหตุใดวันนี้ถึงไม่ออกมากับเจ้า ถ้าให้ข้าเดา หรือว่าเขาไปสอบที่สำนักศึกษาปี้อวิ๋น วันนี้เป็นวันสอบของที่นั่นไม่ใช่หรือ”
จากนั้นเขาหัวเราะออกมาและเอ่ยถากถางต่อ “วันนั้นข้าบอกไปแล้ว พี่ชายของเจ้าเขียนอักษรได้ไม่กี่ตัว แต่กล้าทำเกินกำลังไปสอบสำนักศึกษาไท่ชูและสำนักศึกษาถัวเยว่ ช่างน่าเสียดายกระดาษสองสามแผ่นของพวกเขาจริงๆ แล้วนี่ก็สำนักศึกษาปี้อวิ๋น ทั้งยังเป็นแห่งที่ดีที่สุดในบรรดาสำนักศึกษาอันดับสอง เขาไปสอบเช่นนี้ก็รังแต่จะสิ้นเปลืองกระดาษเปล่าๆ ข้าขอกล่าวตามตรง เขาควรไปสอบสำนักศึกษาที่แย่ที่สุด ไม่อย่างนั้นก็เกรงว่าจะทำให้ที่อื่นๆ สิ้นเปลืองกระดาษไปด้วย”
ช่างเป็นการดูถูกเหยียดหยามเสวี่ยหยวนจิ้งเกินไปแล้ว!
เดิมทีเสวี่ยเจียเยว่ไม่คิดจะต่อปากต่อคำกับตันหงอี้นัก คิดจะปล่อยให้เขาถากถางสักสองสามประโยคเท่านั้น อดทนเพียงครู่เดียวเดี๋ยวก็ผ่านไป แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงเสวี่ยหยวนจิ้งเช่นนั้น เธอก็ห้ามปากตัวเองไม่ได้
“พี่ชายข้ามีความรู้มากมาย ข้าไม่รู้สึกว่าเขาด้อยไปกว่าเจ้าเลย”
ตันหงอี้ดูไม่ยอมรับอย่างเห็นได้ชัด เขาเอ่ยถากถางต่อ “หากความรู้ของเขามีเท่าข้า ไยต้องไปสอบสำนักศึกษาปี้อวิ๋นเล่า ดูข้าสิ ข้าสอบเพียงสองแห่ง ถ้าข้าต้องเข้าเรียน ก็ต้องเข้าเรียนในสำนักศึกษาที่ดีที่สุด สำนักศึกษาอันดับสองเช่นนั้นมิได้อยู่ในสายตาของข้าเลยสักนิด แต่พี่ชายของเจ้ากลับสอบไปทั่ว ไปสอบสำนักศึกษาดีๆ มาแล้ว ยังไปสอบสำนักศึกษาแย่ๆ อีก ช่างเหมือนแมวตาบอดเจอกับหนูตาย[46] เกินไปแล้วกระมัง แต่ถ้าเขาเป็นหนูที่ตายแล้ว สำนักศึกษาอื่นๆ อาจจะไม่ใช่แมวตาบอดก็ได้”
“นั่นก็เพราะว่าพี่ชายข้ารอบคอบ” เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยปกป้องเสวี่ยหยวนจิ้งอย่างสุดกำลัง “และนั่นมันก็ไม่ได้หมายความว่าพี่ชายของข้าไม่มีความรู้”
“มีความรู้อย่างนั้นหรือ” ตันหงอี้แค่นเสียงขึ้นจมูกเบาๆ “เขามีความรู้อะไร ข้ายังไม่เคยได้ยินชื่อของเขาในเมืองผิงหยางมาก่อนเลย”
ในขณะที่กำลังเอ่ยอยู่นั้น เขาก็ชี้ไปที่ร้านน้ำชาด้านข้าง “เจ้าคงได้ยินที่คนพวกนั้นพูดคุยกันแล้ว คนทั้งเมืองผิงหยางต่างก็ลงพนันว่าข้าจะได้อันดับหนึ่งในสำนักศึกษาไท่ชูและสำนักศึกษาถัวเยว่ แล้วพี่ชายของเจ้าจะสู้ข้าได้อย่างไร”
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้น เธอก็เดือดดาลจนใบหน้าเป็นสีม่วงคล้ำ
‘เจ้าตันหงอี้คนนี้ช่างเลวทรามเสียจริง ยังไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนสารเลวอีก’
เธอคร้านจะต่อปากต่อคำกับคนเช่นนี้แล้ว แต่ไม่สามารถกลืนความเดือดดาลนี้ลงไปได้ จึงเดินเข้าไปถามคนผู้หนึ่งในร้านน้ำชา
“ข้าขอถามหน่อยเจ้าค่ะ โรงบ่อนที่เปิดรับพนันว่าผู้ใดจะได้อันดับหนึ่งในสำนักศึกษาไท่ชูและสำนักศึกษาถัวเยว่ที่พวกท่านเอ่ยถึงเมื่อครู่นี้อยู่ที่ไหนหรือเจ้าคะ”
อีกฝ่ายเห็นเสวี่ยเจียเยว่ยืนพูดคุยกับตันหงอี้ก่อนจะเดินมาถามเขา ก็สงสัยว่าแม่นางน้อยผู้นี้คือใคร และมองประเมินตั้งแต่ศีรษะจดเท้าครู่หนึ่ง ก่อนจะอดคิดในใจมิได้ว่าแม่นางน้อยมีใบหน้างดงามยิ่งนัก
จากนั้นเขาก็หันกลับไปชี้ที่ด้านหลัง “อยู่ตรงนั้น”
เสวี่ยเจียเยว่มองตามทิศทางที่เขาชี้ไป จึงพบว่าโรงบ่อนอยู่ใกล้ๆ เดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว
เธอหันกลับไปมองตันหงอี้ ก่อนจะเดินตรงไปที่โรงบ่อนแห่งนั้น
เมื่อตันหงอี้ได้ยินเสวี่ยเจียเยว่เอ่ยถามคนในร้านน้ำชาอย่างมีนัย เขาก็รีบเดินตามไป ส่วนคนอื่นๆ พอเห็นว่าน่าจะมีเรื่องสนุกเกิดขึ้นจึงส่งเสียงออกมา แล้วหลายคนก็เดินตามเขาไป
ด้านในโรงบ่อนมีคนอยู่มาก และมีคนรู้จักตันหงอี้
เนื่องจากเขาเป็นคุณชายผู้ร่ำรวยจึงไม่มีใครกล้าล่วงเกิน พวกเขารีบเปิดทางให้และเชิญเข้าไปทันที ทำให้เสวี่ยเจียเยว่ได้รับประโยชน์ไปด้วย คนในโรงบ่อนเอ่ยถามตันหงอี้อย่างสุภาพว่าเขาอยากจะลงเล่นสักตาหรือไม่ แต่ถูกปฏิเสธอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นเขาก็มองไปที่เสวี่ยเจียเยว่
เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยถามคนในโรงบ่อนถึงเรื่องเปิดพนันว่าใครจะสอบได้อันดับหนึ่งในสำนักศึกษาไท่ชูและสำนักศึกษาถัวเยว่ในปีนี้ เมื่อรู้ว่ามีเรื่องเช่นนี้อยู่จริงๆ ก็ล้วงเงินสองตำลึงออกมาจากถุงผ้าใบเล็ก
“สองตำลึงนี้ ข้าขอพนันว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะสอบได้ที่หนึ่งทั้งสำนักศึกษาไท่ชูและสำนักศึกษาถัวเยว่พร้อมกันเจ้าค่ะ”
เมื่อเธอเอ่ยวาจานี้ออกไป คนที่ตามมาดูเรื่องสนุกๆ ต่างก็ตกใจไม่น้อย แม้แต่คนในโรงบ่อนก็อึ้งไป พวกเขาไม่กล้ามองเธอตรงๆ
แม้ว่าหลายวันที่ผ่านมาจะมีบางคนลงชื่อตันหงอี้ว่าจะสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาถัวเยว่และสำนักศึกษาไท่ชูได้ในเวลาเดียวกัน แต่ทุกคนต่างรู้ดีอยู่แก่ใจว่าบิดาเขาให้คนมาลงพนันในชื่อของบุตรชาย เพราะอยากสร้างชื่อเสียงให้เด็กหนุ่ม แต่มีใครเคยสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาสองแห่งในเวลาเดียวกันเล่า อีกอย่าง… เสวี่ยหยวนจิ้งผู้นี้เป็นใคร คนที่มีความสามารถในเมืองผิงหยางดูเหมือนจะไม่มีชื่อนี้
เมื่อตันหงอี้ได้ยินเสวี่ยเจียเยว่เอ่ยเช่นนั้น เขาก็นึกเหยียดหยามทันที
‘เงินแค่สองตำลึงสำหรับลงพนันในชื่อพี่ชายว่าจะสอบได้ที่หนึ่งของสำนักศึกษาไท่ชูและสำนักศึกษาถัวเยว่อย่างนั้นหรือ เหตุใดนางถึงกล้าเอาเงินแค่นั้นออกมาพนัน’
แต่เมื่อคิดอีกที เขาก็เริ่มโมโหขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเสวี่ยเจียเยว่ต้องการดูหมิ่นว่าความรู้ของเขาสู้เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้ และเขาไม่สามารถสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาทั้งสองแห่งในเวลาเดียวกัน
ใบหน้าของเขาเป็นสีม่วงคล้ำด้วยความเดือดดาล “ตั้งแต่สำนักศึกษาไท่ชูและสำนักศึกษาถัวเยว่ก่อตั้งขึ้นมาจนถึงบัดนี้ ยังมิเคยมีผู้ใดสอบได้อันดับหนึ่งของทั้งสองแห่งในเวลาเดียวกัน หากมีคนผู้นั้นก็ต้องเป็นข้า ถ้าพี่ชายของเจ้าทำได้ ก็เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดยิ่งนัก”
เสวี่ยเจียเยว่รับสัญญาที่คนในโรงบ่อนยื่นให้ก่อนจะพับใส่ถุงเงิน และหันไปมองตันหงอี้พร้อมเอ่ยอย่างจริงจัง
“คนที่จะสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาไท่ชูและสำนักศึกษาถัวเยว่ในเวลาเดียวกันนั้น ข้ามั่นใจยิ่งนักว่าจะเป็นพี่ชายของข้า”
ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่น เพราะเสวี่ยหยวนจิ้งคือพระเอกของนิยายที่เพื่อนร่วมห้องของเธอสร้างขึ้นมา ส่วนตันหงอี้เป็นใคร เธอไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อ อีกอย่าง… ต่อให้เป็นตัวร้ายอันดับหนึ่ง เช่นนั้นก็ขอโทษด้วยนะ ถึงอย่างไรเขาก็ต้องยอมจำนนแทบเท้าของพระเอกเช่นเสวี่ยหยวนจิ้ง
เสวี่ยเจียเยว่ไม่คิดจะสนใจตันหงอี้อีก ก่อนจะเดินจากไป
ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ถูกตันหงอี้ขวางทางเอาไว้
เสวี่ยเจียเยว่เริ่มเดือดดาลขึ้นมาจริงๆ สีหน้าถมึงทึงไม่พอ น้ำเสียงยังไม่สบอารมณ์ด้วย “เจ้าจะเอาอย่างไร!”
ตันหงอี้หรี่ตาลง สายตาที่มองอีกฝ่ายดูอันตรายไม่น้อย
“ก็ไม่ได้จะเอาอย่างไร” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเดือดดาล “แต่ในเมื่อเจ้าลงพนันแล้ว เช่นนั้นก็พนันกับข้าสักตา หากเจ้ายอมพนัน ข้าจะปล่อยเจ้าไปทันที แต่ถ้าเจ้าไม่ยอม เช่นนั้นวันนี้เจ้าก็อย่าได้คิดเดินออกไป”
‘ดื้อด้านจริงๆ’ เสวี่ยเจียเยว่สบถในใจอย่างเหลืออด แล้วเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์ “พนันอะไรกับเจ้า”
ตันหงอี้ล้วงตั๋วเงินหนึ่งใบออกมาจากอกเสื้อ ก่อนจะตบลงบนโต๊ะเล็กด้านข้าง และเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
“พนันว่าปีนี้ใครจะสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาถัวเยว่และสำนักศึกษาไท่ชู หากพี่ของเจ้าสอบได้อันดับหนึ่งของสองแห่งนี้ แม้ว่าจะเป็นเพียงแห่งเดียว ก็เท่ากับว่าเจ้าชนะ เงินหนึ่งร้อยตำลึงนี้จะเป็นของเจ้า หากข้าสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาถังเยว่หรือสำนักศึกษาไท่ชู ก็นับว่าเจ้าแพ้ เจ้าจะต้องเป็นสาวใช้ของข้าสามปี จะต้องคอยรินน้ำชาให้ข้าทุกวัน”
เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงปรายตามองราวกับเขาเป็นคนไร้สติก็ไม่ปาน
ตันหงอี้ทั้งโกรธทั้งหงุดหงิด เขาเลิกคิ้วก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วยสายตายั่วโทสะ
“เป็นอย่างไร เจ้ากล้าพนันกับข้าหรือไม่ หากไม่ ก็หมายความว่าในใจของเจ้ามิได้เชื่อมั่นในตัวพี่ชายจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อไปเจ้าก็อย่าได้เที่ยวไปบอกคนอื่นว่ามั่นใจในตัวพี่ชาย อย่าได้ปกป้องเขาอีก จะปกป้องเขาไปเพื่ออะไร ในเมื่อในใจของเจ้าไม่ได้เชื่อมั่นในตัวเขาจริงๆ”
ยังไม่ทันจะเอ่ยจบประโยค ก็ได้ยินน้ำเสียงอันราบเรียบของเสวี่ย-เจียเยว่
“ได้ ข้าจะพนันกับเจ้า”