ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 75 เลือกสำนักศึกษา
เจ็ดสิบห้า
เลือกสำนักศึกษา
ด้านนอกประตูมีคนสองคนยืนอยู่
คนแรกสวมชุดคลุมยาวสีเขียว เคราสีเทายาวถึงหน้าอก ดูมีสง่าราศีเป็นอย่างมาก ส่วนคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ดูจากการแต่งตัวแล้วคงจะเป็นผู้ติดตาม
ชายที่มีเครายาวมองพิจารณาเสวี่ยหยวนจิ้งตั้งแต่ศีรษะจดเท้า ก่อนจะยกมือคำนับพร้อมเอ่ยถาม “น้องชาย เสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ที่นี่หรือไม่”
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ทันทีว่าภูมิหลังของคนผู้นี้ไม่ธรรมดา เขาจึงโค้งคำนับและเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม “ข้าน้อยคือเสวี่ยหยวนจิ้งขอรับ ไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสมีนามว่าอันใด”
“เจ้าคือเสวี่ยหยวนจิ้งหรือ” เมื่อได้ยินคำตอบของเด็กหนุ่ม นัยน์ตาของเขาก็เป็นประกายทันที และยิ่งมองพิจารณาเสวี่ยหยวนจิ้งมากขึ้น สุดท้ายเขาก็ยกมือขึ้นลูบเครายาวพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ามีนามว่าอันหัวชิง”
อันหัวชิง… หัวหน้าสำนักศึกษาไท่ชู?
เสวี่ยหยวนจิ้งตะลึงงันทันที เขารีบคำนับอันหัวชิงอีกครั้ง “ที่แท้ก็คือท่านหัวหน้าสำนักศึกษาไท่ชูนี่เอง ข้าน้อยได้ยินชื่อของท่านมานานแล้วขอรับ”
หลังจากพูดคุยกันได้สองสามประโยค เสวี่ยหยวนจิ้งก็เชิญอันหัวชิงเข้าไปด้านในอย่างนอบน้อม
โต๊ะกับเก้าอี้ยังอยู่บนลาน แต่คนที่นั่งอยู่ก่อนหน้านี้ต่างกลับเข้าเรือนของตน อีกทั้งถ้วยชามและตะเกียบบนโต๊ะก็ถูกเก็บออกไปทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว
เสวี่ยหยวนจิ้งเชิญอันหัวชิงนั่งลง จากนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็ยกถาดใส่จอกน้ำชาใบเล็กเข้ามา เด็กหนุ่มจึงยกจอกหนึ่งให้อันหัวชิงด้วยสองมือ
“เรือนของข้าน้อยไม่มีชา ท่านหัวหน้าอันได้โปรดอย่าถือสา”
อันหัวชิงรับจอกน้ำชาที่ยามนี้ใส่น้ำดื่มมาแล้วยกขึ้นจิบ จากนั้นก็มองเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยรอยยิ้มและสนทนากับเขา
…
เสวี่ยเจียเยว่เดินกลับเข้ามาในเรือน แล้วยืนอยู่ข้างหน้าต่างเพื่อแอบฟังบทสนทนาของคนทั้งสองที่อยู่ด้านนอก
เธอได้ยินอันหัวชิงเอ่ยถามเสวี่ยหยวนจิ้งสองสามประโยค จากนั้นก็ตรงเข้าหัวข้อหลัก บอกจุดประสงค์การมาของเขาในวันนี้ นั่นคือต้องการให้เด็กหนุ่มเข้าเรียนในสำนักศึกษาไท่ชู อีกทั้งยังรับปากว่าหากเสวี่ยหยวนจิ้งยอมไปเรียนในสำนักศึกษาไท่ชู พวกเขาไม่เพียงจะยกเว้นค่าเล่าเรียนให้เท่านั้น เด็กหนุ่มยังจะได้รับเงินสองตำลึงต่อเดือน และได้รับการสอนจากอาจารย์ที่ดีที่สุดของสำนักศึกษาด้วย
เสวี่ยเจียเยว่เข้าใจดีว่า อันหัวชิงมาที่นี่ก็เพื่อชักชวนเสวี่ยหยวนจิ้ง
หลังจากประกาศผลสอบในทุกปี สำนักศึกษาไท่ชูและสำนักศึกษาถัวเยว่ต่างก็แย่งชิงผู้เรียนเก่งๆ แต่คิดไม่ถึงว่าปีนี้จะมีเสวี่ยหยวนจิ้งคนเดียวที่สอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาทั้งสองแห่ง ตอนที่ข่าวนี้กระจายออกไป อาจารย์ของสำนักศึกษาทั้งสองแห่งต่างตกตะลึงและพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ ในที่สุดอันหัวชิงก็ตัดสินใจมาช่วงชิงผู้เรียนด้วยตัวเอง
คนในเมืองผิงหยางรู้ดีว่า หลายปีมานี้ไม่ว่าใครที่สอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาทั้งสองแห่งนี้จะสามารถสอบคัดเลือกขุนนางได้อย่างแน่นอน และส่วนใหญ่ก็สอบได้อันดับสองขึ้นไป ขณะนี้เสวี่ยหยวนจิ้งสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาทั้งสองแห่งพร้อมกัน หากเขาเข้าเรียนแล้วได้รับการชี้แนะจากอาจารย์ โอกาสที่จะสอบคัดเลือกขุนนางได้อันดับหนึ่งก็เป็นไปได้สูง
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยขอบคุณอันหัวชิง แต่เขายังไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ คำพูดของเขาจึงดูคลุมเครืออยู่มาก
เธอเข้าใจดีว่าเด็กหนุ่มรอฟังข้อเสนอของสำนักศึกษาถัวเยว่ เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะตัดสินใจเลือกเรียนที่ใดที่หนึ่ง
เป็นจริงดังที่เสวี่ยเจียเยว่คาดไว้… เพราะเช้าวันรุ่งขึ้น ทางสำนักศึกษาถัวเยว่ก็ส่งคนมา
แต่คนที่มานั้นคือรองหัวหน้าสำนักศึกษา เมื่อเทียบกับอันหัวชิงผู้สง่างามและอ่อนน้อมถ่อมตน คนผู้นี้มีน้ำเสียงหยิ่งยโสเล็กน้อย
เขากล่าวว่าหัวหน้าสำนักศึกษาเป็นขุนนางในราชสำนัก และตอนนี้ก็ได้รับตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายขวาของขุนนางกรมโยธา หากเสวี่ยหยวนจิ้งเข้าเรียนที่สำนักศึกษาของพวกเขา ต่อไปเมื่อสอบผ่านการคัดเลือกขุนนางแล้ว จะได้เป็นผู้ช่วยในกรมโยธาเช่นกัน ในภายภาคหน้าชีวิตของเสวี่ยหยวนจิ้งจะราบรื่นไม่น้อย
ท่าทีที่เสวี่ยหยวนจิ้งมีต่อเขานั้นก็เหมือนกับตอนที่ได้พบอันหัวชิง เขาไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้ตอบรับในทันที
หลังจากเด็กหนุ่มส่งคนผู้นั้นออกจากเรือนไปแล้ว เสวี่ยเจียเยว่จึงเอ่ยถามเขาอย่างอดไม่ได้ “ท่านพี่ ท่านอยากเข้าเรียนที่ใดหรือเจ้าคะ”
วันนี้สำนักศึกษาปี้อวิ๋นประกาศผลสอบ และแน่นอนว่าเสวี่ยหยวนจิ้งได้อันดับหนึ่ง แต่ทางสำนักศึกษาปี้อวิ๋นก็รู้ว่าเด็กหนุ่มสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาไท่ชูกับสำนักศึกษาถัวเยว่ คาดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะไม่เลือกเรียนสำนักศึกษาของพวกเขาอย่างแน่นอน จึงไม่ได้ส่งคนมาเจรจา เพียงรอดูว่าสำนักศึกษาไท่ชูและสำนักศึกษาถัวเยว่จะช่วงชิงผู้เรียนที่เก่งกาจอย่างเสวี่ยหยวนจิ้งอย่างไร
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ตอบคำถาม แต่ถามกลับไป “เจ้าว่าที่ใดดี”
“แน่นอนว่าต้องเป็นสำนักศึกษาไท่ชู” เสวี่ยเจียเยว่ตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “คนของสำนักศึกษาถัวเยว่มั่นใจในตัวเองเกินไป คำพูดคำจาไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนชื่นชมความเก่งกาจของผู้ช่วยฝ่ายขวาของขุนนางกรมโยธา และจะสนับสนุนท่านในภายภาคหน้า แต่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องการชี้แนะความรู้ให้ท่านหลังเข้าเรียนที่สำนักศึกษาของพวกเขา”
เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ได้ เช่นนั้นก็เลือกสำนักศึกษาไท่ชูแล้วกัน”
สำนักศึกษาถัวเยว่มีคนที่ได้เป็นขุนนางในราชสำนัก พวกเขาคงคิดว่าข้อได้เปรียบนี้จะทำให้เสวี่ยหยวนจิ้งตอบรับเข้าเรียนในสำนักศึกษาของตน จึงไม่ได้เอ่ยข้อเสนออื่นๆ
เสวี่ยหยวนจิ้งมีอคติต่อสำนักศึกษาถัวเยว่เพราะเห็นแก่ตัวเกินไป ขณะที่ข้อเสนอของสำนักศึกษาไท่ชูนั้นดูเป็นไปได้มากกว่า
ได้รับการยกเว้นค่าเล่าเรียน และได้เงินรายเดือนอีกสองตำลึง นอกจากนี้ยังได้รับการสอนจากอาจารย์ที่ดีที่สุดในสำนักศึกษาด้วย สิ่งเหล่านี้สามารถวาดออกมาเป็นภาพได้มากกว่าสำนักศึกษาถัวเยว่
เมื่อทั้งสองเจรจากันเสร็จสิ้น เสวี่ยหยวนจิ้งก็ไปคารวะอันหัวชิงที่สำนักศึกษาไท่ชูด้วยตัวเอง เรื่องนี้จึงได้ข้อยุติ และวันเปิดเรียนก็คือวันที่สิบแปดเดือนสี่
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้เห็นเหตุการณ์สำคัญ ในใจของเธอรู้สึกมั่นคงยิ่งนัก และช่วงนี้เธอก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมของให้เสวี่ยหยวนจิ้ง เธอนำผ้าสีขาวพระจันทร์และสีขาวท้องปลาที่ซื้อไว้ ไปขอให้ป้าเฝิงตัดชุดใหม่ให้เด็กหนุ่มสองชุด
ก่อนหน้านี้ป้าเฝิงเห็นหัวหน้าสำนักศึกษาไท่ชูมาเชิญเสวี่ยหยวนจิ้งไปเข้าเรียนที่สำนักศึกษาของเขาด้วยตัวเอง ในใจของนางจึงยิ่งมองเด็กหนุ่มสูงส่งขึ้น อีกทั้งในยามปกติเสวี่ยเจียเยว่ก็ดูแลเสี่ยวฉานกับหูจื่อเป็นอย่างดี นางจึงตอบตกลงด้วยความยินดี เมื่อได้รับผ้าแล้วนางก็ถามเสวี่ยเจียเยว่ว่าอยากตัดชุดแบบไหน เป็นชุดคลุมยาว หรือแบบแยกชิ้น
ครั้งก่อนเสวี่ยเจียเยว่รบกวนป้าเฝิงตัดชุดคลุมยาวให้เสวี่ยหยวนจิ้งไปแล้ว ตอนนี้ก็มารบกวนนางอีกครั้ง เธอจึงรู้สึกเกรงใจไม่น้อย
หลายวันมานี้เธอคิดว่าควรจะเรียนรู้เรื่องงานฝีมือเอาไว้ ในภายภาคหน้าจะได้ไม่อดตาย และเธอไตร่ตรองมาแล้วว่าจะเรียนรู้เรื่องการเย็บปักถักร้อยรวมทั้งวิธีตัดชุดจากป้าเฝิง
เธอพูดในสิ่งที่ตนคิดให้ป้าเฝิงฟัง ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบรับทันที ทั้งยังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“งานในร้านตัดชุดที่ข้าทำอยู่ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงที่ยุ่งมาก หากเจ้าเรียนเป็นแล้ว ข้าก็สามารถไปพูดกับเถ้าแก่เนี้ยให้รับเจ้าเข้าไปช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ที่ร้านได้ จะได้หาเงินมาใช้จ่ายในแต่ละเดือน ดีกว่านั่งว่างๆ อยู่ที่เรือน”
เสวี่ยเจียเยว่ซาบซึ้งใจยิ่ง แม้ว่าสิ่งที่เธอเรียนมาในภพที่แล้วจะเป็นวิชาบัญชี แต่ก็เป็นคนที่รักในชุดฮั่นฝู[1] พอมีเวลาว่างจากการเรียน นอกจากจะศึกษาประวัติชุดฮั่นฝูแล้ว เธอยังเรียนรู้ในด้านการออกแบบชุด และวาดชุดฮั่นฝูเล่นๆ ด้วย จากนั้นเธอมอบภาพแบบชุดที่วาดเสร็จให้เพื่อนร่วมห้องนำไปตัดเย็บชุดจริง ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมานั้นดีเกินคาด
เมื่อได้ยินป้าเฝิงเอ่ยเช่นนั้น เสวี่ยเจียเยว่ก็คิดว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้ไม่น้อย และบอกตัวเองว่าตั้งแต่นี้ไปเธอจะเรียนรู้การเย็บปักถักร้อยและการตัดเย็บเสื้อผ้าจากป้าเฝิงอย่างตั้งใจ
หลังจากเรียนมาได้ระยะหนึ่ง ป้าเฝิงก็เอ่ยชมว่าเสวี่ยเจียเยว่เป็นคนฉลาด แม้ว่าจะยังไม่ชำนาญ แต่งานที่ทำออกมาก็ดีไม่น้อย จากนั้นนางเอ่ยขอเจ้าของร้านให้รับแม่นางน้อยเข้าไปช่วยงาน เมื่อเจ้าของร้านอนุญาต นางก็รีบเรียกเสวี่ยเจียเยว่ไปช่วยงานที่ร้านทันที แต่ค่าตอบแทนนั้นต่ำยิ่งนัก
ทว่าสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเสวี่ยเจียเยว่ไม่ใช่เงิน กลับเป็นประสบการณ์ เพราะตอนนี้เธอมีเงินอยู่กับตัวราวร้อยกว่าตำลึง และเมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเข้าเรียนในสำนักศึกษาไท่ชู ไม่เพียงไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียน แต่ยังได้รับเงินสองตำลึงในทุกเดือนอีกด้วย ซึ่งเงินสองตำลึงนี้ก็เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของพวกเขา พอคิดได้ดังนั้น เสวี่ยเจียเยว่จึงตอบตกลงทันที
ตอนที่เสวี่ยหยวนจิ้งเลิกเรียนกลับมาถึงเรือน เสวี่ยเจียเยว่พูดเรื่องนี้กับเขาด้วยความละมุนละม่อม ในตอนแรกเด็กหนุ่มยังไม่เห็นด้วย เขาบอกว่าตนดูแลเธอได้แล้ว ไม่อยากให้เธอออกไปทำงานลำบากตรากตรำทุกวัน ทั้งยังบอกว่าหากเงินที่มีอยู่ไม่พอใช้ เขาสามารถออกไปรับจ้างคัดลอกตำราที่ร้านขายตำราได้ หรือไม่ก็รับเขียนจดหมายและบทความ ไม่จำเป็นต้องให้เธอออกไปทำงานในร้านตัดชุด
แต่เสวี่ยเจียเยว่อธิบายว่า ที่เธอไปทำงานในร้านตัดชุดนั้นไม่ใช่เพราะเงิน ทว่าตอนกลางวันเสวี่ยหยวนจิ้งไปเรียน ก็เหลือเธออยู่ในเรือนคนเดียว ทำให้รู้สึกว่าวันหนึ่งๆ ยาวนานและน่าเบื่อ การไปทำงานในร้านตัดชุดกับป้าเฝิง เวลาหนึ่งวันก็จะผ่านไปอย่างรวดเร็ว และเธอไม่ต้องนั่งคิดฟุ้งซ่านอยู่ในเรือนทั้งวัน
เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นแม่นางน้อยยืนกรานหนักแน่น ทั้งยังได้ยินว่าเจ้าของร้านนั้นเป็นสตรี คนเย็บผ้าและคนตัดผ้าก็ล้วนเป็นสตรี ในที่สุดเขาจึงยอมเห็นด้วย
เสวี่ยเจียเยว่รีบกอดแขนเสวี่ยหยวนจิ้งแล้วเขย่าพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ ท่านใจดีจริงๆ เจ้าค่ะ”
เมื่อเธอยิ้มแย้มก็ทำให้คนมองรู้สึกว่าช่างดูสดใสและงดงามเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับแสงอาทิตย์ที่ส่องลอดผ่านหมู่เมฆก็ไม่ปาน มองแล้วรู้สึกดีขึ้นมาทันที นอกจากนี้น้ำเสียงของเธอยังอ่อนหวานและใสกังวาน
เด็กสาวสดใสน่ารักเช่นนี้ จะไม่ทำให้เสวี่ยหยวนจิ้งใจอ่อนได้อย่างไร
เขาคลี่ยิ้มบางทันใด ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิกแก้มขาวเนียนนุ่มนิ่มของเสวี่ยเจียเยว่พลางเอ่ย “ปากเจ้าช่างหวานนัก แม้แต่นกบนต้นไม้ เจ้าก็คงเกลี้ยกล่อมมันลงมาได้กระมัง ท่าทางน่ารักเช่นนี้เจ้าทำต่อหน้าข้าได้เท่านั้น ห้ามทำตัวน่ารักเช่นนี้กับใคร โดยเฉพาะต่อหน้าบุรุษอื่น”
“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ” เสวี่ยเจียเยว่ยังคงยิ้มแย้มสดใส พลางคิดในใจว่า เป็นเพราะเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นเธอเป็นน้องสาวแท้ๆ เขาจึงให้ความสำคัญแก่เธอ
การทำตัวน่ารักสดใสเหมือนเด็กต่อหน้าเขามีประโยชน์ไม่น้อย ส่วนกับคนอื่นนั้น เธอขี้เกียจที่จะทำตัวน่ารักเช่นนี้
[1] ชุดฮั่นฝู หรือ ชุดจีนโบราณ เป็นชุดประจำชนชาติฮั่น ชาวจีนแต่งกายด้วยชุดฮั่นฝูตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงสมัยราชวงศ์หมิงล่มสลาย