ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 76 ไหว้อาจารย์ร่ำเรียนงานฝีมือ
เจ็ดสิบหก
กราบไหว้อาจารย์รํ่าเรียนงานฝีมือ
แสงสว่างนั้นสลัดคนทิ้งได้อย่างง่ายดาย[1] ดอกไม้บานและร่วงโรยไป ไม่นาน ใบไม้ที่แห้งเหี่ยวก็กลับมาเขียวชอุ่ม ต้นการบูรในลานเรือนผลิดอกสีขาวอมเหลืองเต็มต้น กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วลาน
เสวี่ยเจียเยว่วางผ้าที่วาดลายเสร็จแล้วลงไปในตะกร้า คิดจะเอาไปปักในลานเรือน
ขณะที่เธอหิ้วตะกร้าและยกเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กออกมาจากเรือน ก็เห็นว่าประตูเรือนหลักเปิดกว้าง และป้าโจวกำลังนั่งรับแดดอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่หน้าประตู
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น
เสวี่ยหยวนจิ้งเรียนอยู่ในสำนักศึกษาไท่ชู เขาสอบได้อันดับหนึ่งทุกปี ได้รับคำชมจากอาจารย์มากที่สุด และนับวันพวกเขายิ่งใส่ใจในการสั่งสอนบทเรียนให้เขา ส่วนเสวี่ยเจียเยว่ก็ทำงานในร้านตัดชุดกับป้าเฝิง จนสามารถฝึกการปักผ้าและตัดชุดได้ชำนาญแล้ว
แต่งานในร้านตัดชุดเป็นเพียงงานชั่วคราวเท่านั้น มีเพียงช่วงที่งานยุ่งเจ้าของร้านถึงจะเรียกเธอเข้าไปช่วย และจ่ายค่าตอบแทนให้เพียงเล็กน้อย หากงานไม่ยุ่งเธอก็ไม่จำเป็นต้องไปที่ร้าน จึงได้แต่อยู่ว่างๆ ในเรือนเท่านั้น
โชคดีที่มีเงินใช้จ่ายในเรือนมากพอ เสวี่ยเจียเยว่จึงสนใจเพียงการปักผ้าและตัดชุด เธอมักจะออกแบบลายปักผ้าใหม่ๆ หรือไม่ก็รับงานส่วนตัวเล็กน้อย แบ่งให้ป้าเฝิงทำส่วนหนึ่ง ให้นางมีเงินใช้จ่ายในเรือนเพิ่มขึ้น
เธอนำผ้าที่เพิ่งวาดลายเสร็จมาใส่เข้ากับสะดึง ยิ่งมองเท่าไรก็ยิ่งพอใจ และวางแผนไว้ว่าวันนี้ต้องรีบปักให้เสร็จ แต่พอนึกได้ว่าป้าโจวอยู่หน้าเรือน เธอก็เดินไปทักทาย
แม้ว่าสองปีมานี้ป้าโจวจะยังพูดคุยกับคนอื่นน้อยครั้ง แต่ก็ดีกว่าตอนที่นางเพิ่งเข้ามาอยู่ในช่วงแรกๆ ตอนอากาศดีประตูหน้าต่างเรือนของนางจะเปิดออก บางครั้งนางก็ออกมาเดินเล่นดูเสี่ยวฉานกับหูจื่อเล่นกันในลาน และสีหน้าของนางจะอ่อนโยนเป็นอย่างมาก
ไม่ว่าอย่างไร มนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ชอบอยู่อย่างโดดเดี่ยว
พอเห็นเสวี่ยเจียเยว่เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับเอ่ยเรียกด้วยรอยยิ้ม ป้าโจวก็ไม่ได้เอ่ยตอบอันใด เพียงพยักหน้าเท่านั้น แสงแดดสาดกระทบใบหน้าของนางทำให้ไม่ขาวซีดเหมือนตอนที่พบเสวี่ยเจียเยว่ครั้งแรก และความเย็นชาบนใบหน้าของนางก็จางลงไปไม่น้อย
ต้นการบูรอยู่ในลานเรือนมานานหลายปี กิ่งก้านและใบของมันเปรียบเหมือนหลังคากำบังแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาในช่วงต้นฤดูร้อน มีเพียงบางส่วนที่ส่องลอดผ่านช่องว่างระหว่างใบการบูรไปที่หน้าประตูเรือนหลัก
เสี่ยวฉานและหูจื่อเพิ่งไปเล่นที่บ้านป้าหยาง ตอนนี้ในลานมีเพียงเสวี่ยเจียเยว่กับป้าโจว เสวี่ยเจียเยว่จึงถือโอกาสยกเก้าอี้ไม้ไผ่ไปตั้งไว้ที่หน้าประตูเรือนหลัก และคิดจะนั่งปักผ้าพร้อมพูดคุยกับป้าโจวไปด้วย
ป้าโจวตอบกลับเป็นบางครั้ง ทว่านางก็ไม่มีทีท่าว่าจะลุกหนีไปไหน เพียงฟังสิ่งที่เสวี่ยเจียเยว่พูด และสายตาของนางก็จับจ้องไปที่สะดึง
เมื่อมองได้สักพัก ป้าโจวจึงเอ่ยออกมาในที่สุด “ลวดลายเช่นนี้เจ้าไปเอามาจากไหนหรือ”
“ไม่ได้เอามาจากไหนหรอกเจ้าค่ะ” เสวี่ยเจียเยว่เงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เป็นลวดลายที่ข้านึกได้ตอนนั่งว่างๆ เมื่อวานนี้เจ้าค่ะ จากนั้นข้าวาดมันขึ้นมา แล้วก็อยากปักตอนนี้เลย ข้าอยากรู้ว่ามันจะงดงามหรือไม่เจ้าค่ะ”
ป้าโจวได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ดวงตานางฉายแววราวกับไม่เชื่อว่าเสวี่ยเจียเยว่จะคิดลายเช่นนี้ออกมาได้
แต่ไม่นานนักนางก็มองผ้าสีเขียวต้นหอมที่ปักเสร็จแล้ว และมองผ้าสีเหลืองต้นหลิวที่เสวี่ยเจียเยว่กำลังปักอยู่ จากนั้นนางพยักหน้าพลางเอ่ย “ลวดลายไม่ธรรมดา สีสันก็ดูหรูหรา เจ้าดูมีพรสวรรค์ไม่น้อย”
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินนางเอ่ยเช่นนั้น ก็คิดในใจว่าป้าโจวคงมีความรู้ด้านนี้ไม่น้อย จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าเธอเคยเห็นฉากผ้าปักลายดอกไม้สี่ฤดูวางอยู่บนโต๊ะในห้องโถงเรือนป้าโจว ลายปักนั้นงดงามและเสมือนจริงเป็นอย่างมาก ในใจของเธอจึงยิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้น
หลังจากไตร่ตรองดูแล้ว เธอก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ป้าโจวเจ้าคะ ท่าน… ท่านปักผ้าเป็นใช่หรือไม่”
ป้าโจวเหลือบมองคนถาม ทว่าไม่ได้ตอบอันใด
เสวี่ยเจียเยว่เห็นท่าทีของนาง ก็รู้สึกราวกับอีกฝ่ายคือยอดฝีมือที่ได้ยินคำถามจากผู้น้อยที่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไรนัก จึงเลือกที่จะไม่ตอบอย่างไรอย่างนั้น และนั่นยิ่งทำให้เธอมั่นใจว่าป้าโจวปักผ้าเป็น
เกรงว่าป้าโจวคงไม่เพียงปักผ้าเป็นเท่านั้น แต่ยังชำนาญอีกด้วย เพราะสองปีที่ผ่านมานี้เสวี่ยเจียเยว่ติดตามป้าเฝิงไปดูการปักผ้าของสตรีหลายคน แต่ก็ไม่มีลายใดเทียบได้กับลายดอกไม้สี่ฤดูบนฉากในห้องโถงเรือนของป้าโจวสักนิด
แม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะเรียนปักผ้ากับป้าเฝิงมาสองปี แต่ความสามารถด้านนี้ของป้าเฝิงก็มีไม่มากนัก ขณะที่เสวี่ยเจียเยว่มีพรสวรรค์ไม่น้อย ป้าเฝิงจึงไม่มีอะไรจะสอนเธอไปมากกว่านี้แล้ว ได้แต่ให้เธอเรียนรู้ด้วยตัวเอง
เสวี่ยเจียเยว่อยากพัฒนาความสามารถของตนมากยิ่งขึ้น เมื่อจู่ๆ ได้ยินป้าโจวเอ่ยถามถึงลายผ้าที่เธอปัก หัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้นมาทันที
สุดท้ายเธอก็ข่มใจเอาไว้ไม่ได้ จึงเอ่ยถามหยั่งเชิงไป “ป้าโจว หากท่านปักผ้าได้ ท่านสอนข้าได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าอยากเรียนปักผ้ามากจริงๆ เจ้าค่ะ”
ป้าโจวไม่ตอบ เพียงเหลือบมองคนร่างเล็กเท่านั้น
ในช่วงสองปีที่ผ่านมาใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่งดงามยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยก็คือความไร้เดียงสาและรอยยิ้มบนใบหน้า
ป้าโจวยังจำตอนที่เสวี่ยเจียเยว่มาเคาะประตูเรือนของนางเมื่อสองปีก่อนได้ เสวี่ยเจียเยว่ยิ้มให้นาง และวันที่นางป่วย แม่นางผู้นี้ก็ยังมีน้ำใจทำกับข้าวไม่ซ้ำอย่างมาให้นางทุกวัน ต่อให้ในตอนนั้นท่าทางของนางไม่ดีนัก แต่เสวี่ยเจียเยว่ก็ยังไม่ยอมแพ้ สองปีมานี้ หากมีเรื่องอะไรดีๆ เสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่เคยลืมนาง พอมีเวลาว่างก็เข้ามาพูดคุยด้วย ไม่เช่นนั้นนางคงไม่มีทางเดินออกมารับแดดอย่างในตอนนี้ คงจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวในเรือนของตัวเองทั้งวัน
และขณะนี้เสวี่ยเจียเยว่ก็มีความสนใจในด้านการปักผ้า ช่างเหมือนกับนางจริงๆ
เมื่อคิดถึงตอนที่ตนยังอายุน้อยกว่าในยามนี้ ป้าโจวอดยิ้มออกมาไม่ได้ แต่ไม่นานรอยยิ้มนั้นก็จางหายไป
นางมองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเจ้าอยากเรียนการปักผ้ากับข้าจริงๆ เช่นนั้นก็ไหว้ข้าเป็นอาจารย์”
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินดังนั้นก็ดีใจยิ่งนัก จึงพยักหน้ารับทันที “ได้เจ้าค่ะ เช่นนั้นต่อไปท่านคืออาจารย์ของข้าแล้ว”
ใบหน้าของป้าโจวมีรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่ จากนั้นก็สั่งเสวี่ยเจียเยว่ “พรุ่งนี้ตอนรุ่งสางมาที่เรือนข้า และไหว้ข้าอย่างเป็นทางการในฐานะอาจารย์ของเจ้า”
เสวี่ยเจียเยว่ไม่คิดว่าจะราบรื่นเช่นนี้ แต่ก็รีบตอบรับทันที
เรื่องนี้ทำให้เธออารมณ์ดีทั้งวัน เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเลิกเรียนกลับมา ก็เห็นเสวี่ยเจียเยว่ทำกับข้าวไปด้วยร้องเพลงไปด้วย ซึ่งเป็นเพลงที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
เขาเดินเข้าไปเอ่ยถาม “มีเรื่องอันใด เหตุใดเจ้าถึงดูอารมณ์ดีเช่นนี้”
ขณะนี้เสวี่ยหยวนจิ้งมีอายุครบสิบเจ็ดปีแล้ว เสียงของเขาจึงเปลี่ยนไป ซึ่งทุ้มต่ำกว่าตอนที่เพิ่งมาอยู่ที่นี่ในช่วงแรกๆ ช่างมีเสน่ห์ยิ่งนัก
เสวี่ยเจียเยว่หันไปมองเขา ใบหน้าเธอยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มเช่นเคย แต่ไม่ได้บอกเหตุผลที่ตนอารมณ์ดีเช่นนี้ เพียงเอ่ยอย่างมีเลศนัย “อีกประเดี๋ยวข้าค่อยบอกท่าน ท่านพี่ไปล้างมือมากินข้าวก่อนเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งเอื้อมมือไปหยิกแก้มขาวเนียนของอีกฝ่ายพลางหัวเราะ ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในเรือน เขานำตำราไปวางไว้บนโต๊ะและออกมาล้างไม้ล้างมือที่ลานเรือน
เมื่อล้างมือเสร็จแล้ว เขามาช่วยเสวี่ยเจียเยว่ยกกับข้าวเข้าไปวางไว้บนโต๊ะในเรือน จากนั้นทั้งสองคนก็นั่งลงตรงข้ามกัน
ขณะที่กินข้าวอยู่นั้น เสวี่ยเจียเยว่บอกเรื่องที่ป้าโจวจะรับเธอเป็นลูกศิษย์ และจะสอนการปักผ้าให้เธอ “ตอนนั้นข้าคิดไม่ถึงเลยว่านางจะสอนข้า ตอนนี้ข้ามีความสุขจริงๆ เจ้าค่ะ”
เธอกล่าวอย่างตื่นเต้นอีก “ท่านพี่ ท่านอยากเห็นฉากผ้าปักบนโต๊ะในห้องโถงเรือนของนางหรือไม่ ลายดอกไม้สี่ฤดูนั้นงดงามมากเจ้าค่ะ ข้ากล้าพนันเลยว่าข้าจะต้องชำนาญด้านการปักผ้าอย่างแน่นอน”
เพียงแค่คิดว่าตนจะสามารถปักลายดอกไม้ที่สวยงามได้เช่นฉากผ้าบนโต๊ะตัวนั้น เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่พูดอะไร เพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ป้าโจวผู้นี้มีความลับมากมายเกินไป ความจริงแล้วเขาไม่ได้หวังให้เสวี่ยเจียเยว่ไปใกล้ชิดกับนางมากนัก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องไหว้นางเป็นอาจารย์เลย
ทว่าป้าโจวอยู่ที่นี่มามากกว่าห้าปีแล้ว ที่ผ่านมาไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลย หากมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับนางก่อนหน้านี้ แต่ก็ผ่านมาตั้งหลายปี ยังจะมีอะไรให้ต้องกังวล อีกอย่าง… ปีหน้าเขาก็จะเรียนจบแล้ว และสามารถเข้าร่วมการสอบซิ่วฉายได้ ต่อไปก็จะเข้าร่วมการสอบระดับเซียงซื่อ[2] และระดับฮุ่ยซื่อ[3] เมื่อเขาสอบผ่านการคัดเลือกขุนนางในลำดับต่อไป เขาก็จะปกป้องเสวี่ยเจียเยว่ได้อย่างแน่นอน
หลังจากคิดครู่หนึ่งเขาก็พยักหน้า “เจ้าเรียนปักผ้ากับนางก็ดีเช่นกัน ต่อไปเมื่อเจ้าอยู่ในเรือนว่างๆ จะได้มีอะไรทำ ข้าอยู่ในสำนักศึกษาก็ไม่ต้องกังวลว่าเจ้าจะเบื่อตอนอยู่คนเดียว แต่ขออย่างเดียว เรื่องที่เจ้าไหว้ป้าโจวเป็นอาจารย์อย่าได้เอ่ยกับใคร แม้แต่ป้าเฝิงเจ้าก็ห้ามบอก ป้าโจวเป็นคนเงียบๆ ไม่ชอบไปมาหาสู่กับใคร ข้าว่านางคงไม่อยากให้ใครรู้”
ตราบใดที่ไม่มีใครรู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่ไหว้ป้าโจวเป็นอาจารย์ หากในวันหน้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับสตรีผู้นั้น เขาก็สามารถแยกเสวี่ยเจียเยว่ออกมาได้ ถือว่าไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดต่อกัน
เสวี่ยเจียเยว่ไม่รู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังคิดเช่นนี้ เมื่อได้ยินเขาเอ่ยออกมา ก็คิดว่าที่เขาพูดมานั้นถูกต้องแล้ว เธอจึงพยักหน้า “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งยิ้มด้วยความพอใจ ตอนนี้รูปร่างเขาสูงขึ้น น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นชายหนุ่มซึ่งต่างจากสองปีที่ผ่านมา และมักจะมีสีหน้าเย็นชายามอยู่ต่อหน้าคนอื่น แต่ตอนนี้ใบหน้าของเขาประดับไปด้วยรอยยิ้ม ก็ราวกับหิมะละลายในฤดูหนาว ชั่วขณะนั้นคนที่ได้มองรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาทันที แม้แต่แววตาที่นับวันยิ่งยากจะคาดเดา ก็ยังเป็นประกายระยิบระยับเหมือนผิวน้ำที่อยู่ภายใต้แสงตะวัน
เสวี่ยเจียเยว่อดตะลึงงันไปชั่วครู่มิได้
จากนั้นเธอก็เบนสายตามองไปทางอื่นด้วยท่าทางเลิ่กลั่ก คิดในใจว่าเสวี่ยหยวนจิ้งที่เป็นเช่นนี้ช่างสั่นไหวหัวใจผู้คนได้ง่ายดายจริงๆ มิน่าล่ะ บทบาทเดิมของเขาถึงได้แบกรับหนี้ดอกท้อ[4] จำนวนมากเช่นนั้น
แต่จะว่าไปก็แปลก นอกจากหลี่หานเซี่ยวกับโจวหลัน สองปีมานี้เธอยังไม่เห็นนางเอกสิบคนที่เหลือเลย ไม่รู้ว่ายังไม่ถึงเวลาที่พวกนางจะปรากฏตัว หรือเป็นเพราะทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก พวกนางถึงไม่ปรากฏตัวออกมาตลอดกาล
[1] หมายถึง เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนก็แก่ชราไปตามกาลเวลา
[2] หมายถึง ระดับมณฑล
[3] หมายถึง ระดับเมืองหลวง
[4] หมายถึง บุรุษที่มีเสน่ห์ดึงดูดสตรีมากมายให้เข้าหา