ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 77 สัญญาณแรก
เจ็ดสิบเจ็ด
สัญญาณแรก
เช้าวันต่อมาเสวี่ยเจียเยว่จะต้องไปไหว้ป้าโจวเป็นอาจารย์ที่เรือนของนาง
หลังจากเธอยกมือเคาะประตูครู่หนึ่ง ป้าโจวก็เดินมาเปิดให้ ก่อนจะเชิญเธอเข้าไปในเรือน
อยู่ที่นี่มาสองปีแล้ว แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่เสวี่ยเจียเยว่ได้เข้ามาในเรือนของป้าโจว เมื่อก่อนอย่างมากก็เพียงยืนมองอยู่หน้าประตู พอจะรู้เพียงคร่าวๆ ว่าด้านในเรือนเป็นอย่างไร
เสวี่ยเจียเยว่เข้ามาข้างในแล้ว สายตาของเธอก็สอดส่ายไปทั่วเรือน เห็นว่ามีของใช้ไม่มากนัก แต่ทุกซอกทุกมุมสะอาดสะอ้าน อีกทั้งยังไม่มีสิ่งของใดเกินความจำเป็น มองแล้วรู้สึกสบายตายิ่งนัก
ป้าโจวปิดประตูเรือน ก่อนจะเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ข้างโต๊ะในห้องโถง จากนั้นนางชี้ไปที่สิ่งของบนโต๊ะและเอ่ยกับเสวี่ยเจียเยว่
“เจ้าก้มศีรษะคารวะสิ่งนั้นสามครั้ง และต้องทำอย่างจริงใจ”
เสวี่ยเจียเยว่มองตามก็พบว่าของสิ่งนั้นถูกคลุมด้วยผ้าสีแดง น่าจะเป็นแผ่นป้ายบางอย่าง
อาจเป็นแผ่นป้ายวิญญาณของอาจารย์ป้าโจว ตอนที่รับลูกศิษย์นั้นทุกคนล้วนมีกฎของตัวเอง ดังนั้นเสวี่ยเจียเยว่จึงไม่คิดสงสัยอันใด และคุกเข่าลงบนเบาะรองตรงหน้าโต๊ะ ก่อนก้มศีรษะคำนับสามครั้งอย่างนอบน้อม
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าของป้าโจว
จากนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก้มศีรษะคำนับป้าโจวสามครั้ง และเมื่อเหลือบเห็นกาน้ำชากับจอกใบเล็กวางอยู่บนโต๊ะ เธอก็ลุกขึ้นแล้วรินน้ำชาอย่างรู้งาน ก่อนจะคุกเข่าลงบนเบาะรองอีกครั้ง และยกจอกน้ำชาด้วยสองมือพลางเอ่ยอย่างนอบน้อม
“ท่านอาจารย์ โปรดรับน้ำชาจากศิษย์ด้วยเจ้าค่ะ”
ป้าโจวยื่นมือไปรับจอกน้ำชาขึ้นมาจิบ จากนั้นนางก็วางจอกลงบนโต๊ะ กำชับเสวี่ยเจียเยว่ครู่หนึ่ง ล้วนเป็นเรื่องของกฎเกณฑ์ สุดท้ายนางก็เน้นย้ำเป็นพิเศษ
“แม้ว่าตอนนี้ข้าจะรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ แต่เรื่องนี้เจ้าห้ามเอ่ยกับใครเด็ดขาด แม้แต่ป้าเฝิงกับลูกๆ ของนางก็ห้ามพูด เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น เจ้าก็อย่าเรียกข้าว่าอาจารย์ ให้เจ้าเรียกข้าเหมือนที่เคยเรียกตามปกติ”
เป็นเหมือนที่เสวี่ยหยวนจิ้งกล่าวเมื่อคืนจริงๆ เสวี่ยเจียเยว่จึงยิ่งเชื่อใจชายหนุ่มมากขึ้น
เธอเอ่ยกับป้าโจวอย่างนอบน้อม “คำพูดของท่าน ข้าจดจำไว้ในใจแล้วเจ้าค่ะ”
ป้าโจวพยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นก็พยุงเสวี่ยเจียเยว่ให้ลุกขึ้น “เด็กดี ลุกขึ้นเถอะ”
หลังจากตัดสินใจรับเสวี่ยเจียเยว่เป็นศิษย์แล้ว ป้าโจวก็ไม่มีท่าทีเย็นชาเหมือนที่ผ่านมา แต่ปฏิบัติกับลูกศิษย์ด้วยความจริงใจ นางพาอีกฝ่ายเดินไปที่ห้องทางทิศตะวันออก
ภายในห้องนี้มีสะดึงขนาดน้อยใหญ่ เส้นไหมหลากสี รวมถึงเครื่องมือสำหรับเย็บปักอื่นๆ วางอยู่ในตะกร้า
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นดังนั้น หัวใจของเธอสั่นสะท้านทันที และขณะที่เธอกำลังตกตะลึงอยู่นั้น ป้าโจวก็เอ่ยขึ้น
“บรรพบุรุษของข้าชำนาญการปักผ้าแบบซูซิ่ว[1] แต่มารดาของข้าเกิดที่เมืองเซียงฉู่ จึงชำนาญการปักผ้าแบบเซียงซิ่ว[2] มากที่สุด ดังนั้นข้าจึงไม่เพียงเรียนวิธีปักผ้าแบบซูซิ่วเท่านั้น แต่ยังเรียนการปักผ้าแบบเซียงซิ่วด้วย แม้ว่าการปักผ้าสองแบบนี้จะแตกต่างกัน แต่สิ่งสำคัญก็คือการศึกษาให้เข้าใจอย่างรอบด้านและรับประโยชน์จากมัน ด้วยวิธีนี้ลวดลายที่เจ้าปักออกมานั้นก็จะแตกต่างจากคนอื่น”
ขณะที่เอ่ยนั้น นางก็หยิบสะดึงหนึ่งอันมาส่งให้เสวี่ยเจียเยว่
เสวี่ยเจียเยว่รับสะดึงมาและก้มหน้ามอง สิ่งที่เห็นนั้นทำให้เธอประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะลวดลายบนผ้าที่อยู่กับสะดึงนี้เหมือนลายที่เธอวาดใหม่และปักเมื่อวาน มิน่าล่ะ ตอนที่ป้าโจวเห็นจึงเอ่ยถามเธอ
“แม้ว่าสองปีที่ผ่านมานี้เจ้าดูแลข้าเป็นอย่างดี และข้าก็ซาบซึ้งในบุญคุณของเจ้ายิ่งนัก แต่ที่ข้ารับเจ้าเป็นศิษย์ไม่ใช่เพราะบุญคุณที่เจ้ามีต่อข้า ข้าเป็นคนหนึ่งที่หลงใหลการปักผ้ามาตั้งแต่เด็ก และอยากจะหาคนมาสืบทอดวิชาปักผ้าของข้า สองปีมานี้ก็เห็นเจ้าร่ำเรียนการปักผ้าตัดชุดกับแม่นางเฝิง เจ้ามีพรสวรรค์ในด้านนี้ไม่น้อย อีกทั้งเมื่อวานนี้ข้าได้เห็นลวดลายที่เจ้าวาดออกมา ในใจของข้าก็ตัดสินแล้วว่าจะรับเจ้าเป็นศิษย์ เจ้าต้องรู้ว่า… ไม่ว่าจะเรียนอะไร หากยึดติดกับคนโบราณก็ไร้ประโยชน์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องมีวิธีคิดเป็นของตัวเอง สามารถสร้างสิ่งที่คนรุ่นก่อนไม่สามารถคิดขึ้นมาได้ และเจ้าก็ทำได้ดีมาก”
เมื่อจู่ๆ ก็ได้รับคำชม อีกทั้งยังมาจากป้าโจวที่เย็นชาต่อผู้อื่นในยามปกติ เสวี่ยเจียเยว่จึงรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก แต่แน่นอนว่าเธอดีใจจนตัวแทบลอยได้ก็ไม่ปาน
จากนั้นป้าโจวให้เสวี่ยเจียเยว่เลือกเส้นไหมมาให้ตน และให้ลองพิจารณาว่าจะสามารถจับคู่สีที่ไม่เหมือนกันได้กี่สี ทั้งยังบอกอีกว่าลวดลายที่ปักด้วยสีไม่เหมือนกันจะแตกต่างกันอย่างไร ก่อนตัดสินว่าเหมาะจะใช้ในโอกาสไหนและสถานที่แบบใด
เสวี่ยเจียเยว่เรียนกับป้าเฝิงมาสองปี การปักผ้าขั้นพื้นฐานนั้นเธอสามารถทำได้แล้ว ดังนั้นตอนนี้ป้าโจวจึงแนะนำเพิ่มเติม เมื่อแน่ใจว่าเธอเข้าใจแล้ว นางจึงเริ่มสอนวิธีการปักผ้าที่มีความซับซ้อนมากขึ้น
++++++++++
เมื่อคนคนหนึ่งหลงใหลในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คนผู้นั้นมักจะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วนัก เสวี่ยเจียเยว่ก็เป็นเช่นนี้
เดิมทีเธอเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบฤดูร้อน แต่เมื่อได้เรียนปักผ้ากับป้าโจว เธอรู้สึกเพลิดเพลินจนลืมวันลืมคืน จนกระทั่งในวันนี้ เมื่อเงยหน้ามองออกไปด้านนอกหน้าต่าง ก็พบว่าต้นหอมหมื่นลี้ที่อยู่ในมุมหนึ่งของลานเรือน เต็มไปด้วยดอกสีเหลืองซึ่งไม่รู้ว่าผลิบานเมื่อใด
ฤดูร้อนที่น่ารำคาญผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้ก็ถึงเดือนแปดซึ่งเป็นช่วงที่ดอกไม้กำลังผลิบาน
ก้อนเมฆบนท้องฟ้าดูเบาบาง และแสงแดดก็อบอุ่น สำหรับเสวี่ยเจียเยว่แล้ว เธอรู้สึกว่าฤดูนี้เป็นฤดูที่ดีที่สุด
เธอวางสะดึงลงแล้วยืนขึ้นตรงหน้าประตู มองเสี่ยวฉานกับหูจื่อกำลังเก็บดอกหอมหมื่นลี้เล่นกัน เด็กชายนำดอกไม้เข้าปากพลางหัวเราะ
เสวี่ยเจียเยว่นึกถึงเรื่องราวในภพที่จากมา ตอนที่ดอกหอมหมื่นลี้ผลิบาน ยายพาเธอไปเก็บทุกปี เมื่อกลับมาที่บ้านก็นำมาแช่น้ำเกลือแล้วล้างทำความสะอาด จากนั้นนำไปตากลมให้แห้ง และนำดอกหอมหมื่นลี้ใส่ลงไปในขวดโหลแห้ง โรยน้ำตาลทรายลงไปให้ทั่ว นำดอกหอมหมื่นลี้วางทับลงไปบนน้ำตาลทราย แล้วโรยน้ำตาลทรายลงไปอีกครั้ง ทำแบบนี้อีกหลายชั้นจนเกือบเต็มขวดโหล หลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ น้ำตาลทรายจะละลายเป็นน้ำเชื่อม ลักษณะคล้ายกับดอกหอมหมื่นลี้อยู่ในน้ำผึ้ง
ยายชอบนำดอกหอมหมื่นลี้มาทำเป็นไส้ขนมทังหยวน[3] เมื่อคิดขึ้นมา ปลายลิ้นของเธอก็คล้ายจะเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้นั้น
เธอหาผ้าสะอาดมาหนึ่งผืน และเดินออกไปเก็บดอกหอมหมื่นลี้ เมื่อเสี่ยวฉานกับหูจื่อเห็นเช่นนั้น พวกเขาก็รีบมาช่วยเก็บด้วยความกระตือรือร้น
ในที่สุดพวกเขาก็เก็บดอกหอมหมื่นลี้ได้ห่อใหญ่ จากนั้นเสวี่ยเจียเยว่สัญญากับเสี่ยวฉานและหูจื่อว่าเมื่อทำดอกหอมหมื่นลี้เชื่อมน้ำตาลเสร็จแล้ว จะเชิญพวกเขาไปกินขนมทังหยวนไส้ดอกหอมหมื่นลี้เชื่อมน้ำตาลด้วย เด็กทั้งสองชอบใจยิ่งนัก จึงวิ่งกลับเรือนพลางตะโกนบอกมารดาอย่างมีความสุข
เสวี่ยเจียเยว่ถือห่อผ้าใส่ดอกหอมหมื่นลี้กลับเรือนของตน จากนั้นก็ยกเก้าอี้ไม้ไผ่มานั่งที่หน้าประตู ก้มหน้าก้มตาเลือกดอกหอมหมื่นลี้ที่ดีที่สุดออกมา เมื่อเลือกเสร็จแล้วจึงนำไปแช่น้ำเกลือ
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเลิกเรียนกลับมา ก็เห็นเสวี่ยเจียเยว่กำลังนั่งยองๆ ซาวดอกไม้ขึ้นมาจากถังไม้ ก่อนจะนำมาวางตากอย่างระมัดระวัง
“เจ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่” ชายหนุ่มวางตำราลงพลางเอ่ยถาม “เหตุใดวันนี้เจ้าไม่ได้ปักผ้า”
เสวี่ยเจียเยว่เงยหน้าขึ้นมองเขา และกวักมือเรียกด้วยรอยยิ้มเป็นเชิงบอกให้เข้ามา “ข้าจะทำขนมทังหยวนไส้ดอกหอมหมื่นลี้เชื่อมน้ำตาลเจ้าค่ะ ท่านพี่รีบเข้ามาเร็ว”
พอเสวี่ยหยวนจิ้งเดินไป เสวี่ยเจียเยว่ก็ตากดอกไม้เสร็จพอดี และกำลังลุกขึ้น
แต่เป็นเพราะเธอนั่งนานเกินไปเท้าขวาจึงชา เมื่อลุกขึ้นอย่างกะทันหัน เธอก็เสียหลักทรุดลง
โชคดีที่เสวี่ยหยวนจิ้งเอื้อมมือไปรับได้ทัน ก่อนจะเอ่ยตำหนิ “เจ้าก็โตขนาดนี้แล้ว เหตุใดถึงไม่ระวัง หากข้าไม่อยู่ตรงนี้ เจ้าไม่ล้มลงไปกองกับพื้นแล้วหรือ”
เสวี่ยเจียเยว่เกาะแขนเขาเอาไว้ และเงยหน้าขึ้นพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์ “หากท่านพี่ไม่อยู่ข้างๆ ไม่ว่าทำสิ่งใดข้าย่อมระวังแน่นอนเจ้าค่ะ แต่ถ้าท่านอยู่ข้างๆ ต่อให้ข้าไม่ระมัดระวัง ก็ไม่เป็นอันใดไม่ใช่หรือเจ้าคะ เพราะข้ารู้ว่าท่านจะต้องปกป้องข้าได้อย่างแน่นอน ใช่หรือไม่ท่านพี่”
เสวี่ยหยวนจิ้งก้มหน้ามองเสวี่ยเจียเยว่ รอยยิ้มของอีกฝ่ายช่างสดใสยิ่งนัก อีกทั้งมือนุ่มยังมีกลิ่นหอมของดอกไม้ กลิ่นนี้ติดอยู่ที่ปลายจมูกของเขา กระทั่งตราตรึงอยู่ในหัวใจแล้วก็ไม่ปาน เขารู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ภายใต้อำนาจของรอยยิ้มและกลิ่นหอมของดอกไม้ หัวใจเขาก็พลันรู้สึกชาเล็กน้อย
ความจริงแล้วตั้งแต่เสวี่ยเจียเยว่ไหว้ป้าโจวเป็นอาจารย์ ก็ตั้งใจเรียนการปักผ้าจนไม่มีเวลาพูดคุยกับเขา เขาไม่ได้เห็นอีกฝ่ายทำตัวเหมือนเด็กแบบนี้มานานแล้ว
“ช่วงนี้ข้าเห็นว่าใจเจ้ามีแต่อาจารย์ของเจ้าและการปักผ้า” เสวี่ยหยวนจิ้งทอดสายตามองเสวี่ยเจียเยว่ ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงน้อยใจและแผ่วเบา “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะรู้ว่าพี่ชายอย่างข้ายังอยู่ข้างเจ้าเสมอ”
เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าช่วงนี้ตนหมกมุ่นอยู่กับการปักผ้าจนไม่ได้สนใจเสวี่ยหยวนจิ้ง เมื่อได้ยินเขาเอ่ยมาเช่นนี้ เธอก็หัวเราะคิกคักและกอดแขนเขาเขย่าไปมา
“ข้าไม่ดีเอง ข้าจะทำขนมทังหยวนไส้ดอกหอมหมื่นลี้ให้ท่านกิน ดีหรือไม่ ท่านพี่ ท่านอย่าโกรธข้าเลย ได้หรือไม่เจ้าคะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งอยากโกรธนัก แต่เมื่อได้ยินน้ำเสียงออดอ้อนบวกกับได้เห็นรอยยิ้มสดใส เขาจะโกรธลงได้อย่างไร ทำได้เพียงเอื้อมมือไปหยิกแก้มนุ่มอย่างระอาใจพลางเอ่ย “ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะรอกินขนมของเจ้าก็แล้วกัน”
เสวี่ยเจียเยว่รีบพยักหน้าทันที และเพื่อเป็นการแสดงความจริงใจ หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ เธอก็ไม่คิดลวดลายใหม่หรือปักผ้าต่อแต่อย่างใด แต่นั่งพูดคุยกับเสวี่ยหยวนจิ้งในห้องโถง
วันนี้พระจันทร์งดงามยิ่งนัก แสงจันทร์สาดส่องกระทบกระดาษหน้าต่าง บางครั้งลมยามค่ำคืนก็พัดพากลิ่นหอมของดอกหอมหมื่นลี้มาด้วย
เสวี่ยหยวนจิ้งนึกถึงตอนที่เขากลับมาเมื่อบ่ายวันนี้ ขณะนั้นเสวี่ยเจียเยว่เกาะแขนเขาและมีกลิ่นดอกไม้ชนิดนี้โชยออกมาจากร่างของอีกฝ่าย ในที่สุดเขาก็หันไปมองเสวี่ยเจียเยว่อย่างอดไม่ได้
อีกฝ่ายกำลังหรี่ตาอ่านตำราที่เขาคัดลอกเมื่อวาน ท่าทางดูจริงจังไม่น้อย
เชิงเทียนลายครามรูปดอกบัวสีขาวที่วางอยู่บนโต๊ะนั้น เสวี่ยเจียเยว่เป็นคนไปหาซื้อมาเพื่อให้เขาได้อ่านตำราในยามค่ำคืน ตอนนี้บนเชิงเทียนมีเทียนสีแดงอยู่หนึ่งเล่ม แสงจากเปลวเทียนส่องกระทบใบหน้าของเธอดูงดงามดั่งหยกล้ำค่าและไข่มุกที่ส่องประกาย มีเสน่ห์จนหาสิ่งใดมาเปรียบมิได้
ในยามปกติทั้งสองต่างยุ่งทั้งวัน และเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้มองหน้าเสวี่ยเจียเยว่อย่างละเอียดมานานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้พินิจมอง เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อเด็กน้อยที่อยู่ในหมู่บ้านซิ่วเฟิงเติบโตกลายเป็นเด็กสาว
เด็กสาววัยสิบสองปี ใบหน้างดงามโดดเด่น หากผ่านไปอีกสองสามปี ใบหน้านี้คงจะงดงามจนสั่นไหวจิตใจผู้คนได้ เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะเป็นคนพิจารณาผู้ที่จะมาเป็นสามีของเสวี่ยเจียเยว่เอง
เมื่อคิดเรื่องเลือกสามี จู่ๆ ชายหนุ่มก็นึกถึงตอนที่สหายในสำนักศึกษาถามอย่างเขินอายเมื่อไม่กี่วันก่อน ว่าเสวี่ยเจียเยว่มีคู่หมายแล้วหรือยัง
[1] การปักผ้าลายเสือ
[2] การปักผ้าลายนกยูง
[3] ขนมดั้งเดิมชนิดหนึ่งของชาวจีน ทำจากแป้งข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อนกลมใส่ไส้ หน้าตาคล้ายขนมหัวล้านของไทย แต่ขนาดใหญ่กว่า