ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 79 หาทางตันให้ตัวเอง
เจ็ดสิบเก้า
หาทางตันให้ตัวเอง
ปีนี้เสวี่ยหยวนจิ้งเข้าร่วมการแข่งขันจีจวี เสวี่ยเจียเยว่จึงอยากจะเข้าชมการแข่งขัน แต่อีกใจเธอก็รู้สึกเสียดายเงินค่าตั๋ว เพราะการแข่งขันไม่ได้มีเพียงรอบเดียว เว้นแต่สำนักศึกษาไท่ชูจะแพ้ให้แก่สำนักศึกษาซุยไถในการแข่งขันรอบแรก ถ้าเป็นเช่นนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็ไม่ต้องเข้าร่วมการแข่งขันรอบต่อไป
กระนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็ยังคงเชื่อมั่นในตัวเสวี่ยหยวนจิ้ง เธอรู้สึกว่าตราบใดที่มีเขาอยู่ วันนี้สำนักศึกษาไท่ชูจะต้องชนะแน่นอน
นั่นหมายความว่าเธอคงไม่ได้ซื้อตั๋วเพียงใบเดียว หากเป็นเช่นนั้นค่าตั๋วทั้งหมดจะเป็นเท่าไร ถ้าสำนักศึกษาไท่ชูเข้ารอบชิงชนะเลิศ ค่าตั๋วในรอบนั้นก็ยิ่งแพงหูฉี่
แต่เมื่อข่งซิวผิงเสนอเช่นนี้ เสวี่ยเจียเยว่จึงสนใจไม่น้อย
เท่ากับว่าเธอต้องทำงานให้สำนักศึกษาไท่ชู เพื่อแลกกับตั๋วทั้งหมดที่จะต้องซื้อ เหตุใดเธอจะไม่ตกลงเล่า
ขณะที่เธอกำลังจะตอบนั้น ก็ได้ยินเสียงเคร่งขรึมของเสวี่ยหยวนจิ้งดังขึ้น
“ขอบคุณความหวังดีของพี่ข่ง แต่น้องสาวข้ามีงานต้องทำ นางจึงไม่มีเวลาว่างมาดูพวกเราแข่งขันทุกครั้ง คงไม่ใช่เรื่องดีนักหากทำให้สหายคนอื่นๆ เสียเวลาไปด้วย พี่ข่งให้คนอื่นมาทำจะดีกว่าขอรับ”
นี่ถือได้ว่าเป็นการปฏิเสธ
แม้เสวี่ยเจียเยว่จะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเสวี่ยหยวนจิ้งถึงได้ปฏิเสธเรื่องที่เธอมองว่าเป็นประโยชน์มาก แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ต่อหน้าคนอื่น เธอจะไม่คัดค้านใดๆ หากมีข้อโต้แย้งในใจ เธอจะเอ่ยถามเมื่ออยู่กันตามลำพังเท่านั้น
เมื่อคนอื่นๆ เห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่เอ่ยปากออกมา ก็คิดว่าเด็กสาวเห็นด้วยกับคำตอบของเสวี่ยหยวนจิ้ง
ข่งซิวผิงเหลือบมองเสวี่ยเจียเยว่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะโดยไม่ได้กล่าวอันใด
หลังจากพวกเขาพูดคุยกันอีกเล็กน้อย อาจารย์ที่รับผิดชอบการแข่งขันก็เดินเข้ามาแจ้งว่าคนของสำนักศึกษาซุยไถมาครบแล้ว และการแข่งขันใกล้จะเริ่มขึ้นในอีกไม่นาน ให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม
เสวี่ยหยวนจิ้งกำชับเสวี่ยเจียเยว่ว่าอย่าเดินไปไหนสุ่มสี่สุ่มห้า รอให้เขาแข่งขันจบก่อนค่อยกลับพร้อมกัน จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอกกับสหายคนอื่นๆ
ม้าสี่ตัวมีเชือกผูกติดไว้กับเสาพร้อมแล้ว โดยผู้แข่งขันทุกคนจะมีม้าที่ใช้ฝึกเป็นประจำของตน และตอนนี้ในมือของทุกคนมีไม้ตีลูกหนังพร้อมแล้ว เมื่อได้เวลาพวกเขาก็จูงม้าเดินไปยังจุดที่กำหนดเอาไว้
สนามของตระกูลตันแห่งนี้ไม่เพียงกว้างขวางเท่านั้น แต่ด้านในยังมีศาลาและระเบียงทางเดินยาว ซึ่งขณะนี้มีสตรีน้อยใหญ่หลายคนกำลังยืนชมอยู่ในศาลาราวกับเป็นห้องหับส่วนตัว แน่นอนว่าราคาตั๋วตามตำแหน่งนั้นย่อมแตกต่างกัน ส่วนบุรุษก็ยืนชมดูติดขอบสนาม
เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้ไปไหนไกลตามคำสั่งของเสวี่ยหยวนจิ้ง เพียงยืนอยู่หน้าประตูห้องพักของผู้เข้าแข่งขันและมองไปเบื้องหน้า แต่เพราะมีคนยืนรายล้อมสนามบดบังผู้เข้าแข่งขัน เธอจึงยกเก้าอี้ในห้องออกมาวางด้านนอก แล้วขึ้นไปยืนบนนั้นเพื่อให้มองเห็นได้ชัดขึ้น
สายตาของเธอย่อมจับจ้องไปที่ร่างของเสวี่ยหยวนจิ้ง
เสวี่ยหยวนจิ้งกำลังนั่งอยู่บนหลังม้าราวต้นสนตั้งตรงเป็นสง่า เมื่อได้รับสัญญาณให้เริ่มการแข่งขัน ม้าของเขาก็ห้อตะบึงออกไปในชั่วพริบตา มันวิ่งไปทางซ้ายทีขวาที ในที่สุดก็แซงผู้แข่งขันหลายคนได้ ไม้ตีลูกหนังในมือของเสวี่ยหยวนจิ้งแกว่งไปมา ลูกหนังที่ทุกคนกำลังแย่งชิงกลิ้งอยู่บนพื้นไม่นานก็ถูกตีเข้าประตูของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างแม่นยำ
วันนี้คือการแข่งขันรอบแรก ลูกหนังจึงยังสวยงามอยู่
จากนั้นเสียงปรบมือก็ดังลั่นขึ้นมาจากรอบด้าน เสวี่ยเจียเยว่เองก็ดีใจมากเช่นกัน เธอปรบมือพลางร้องตะโกน
“ยอดเยี่ยม!”
แม้ว่าคนในยุคนี้จะนิยมเล่นจีจวี ทว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้สนใจสักเท่าไร วันนี้ได้มาเห็นเป็นครั้งแรกกลับรู้สึกว่าการละเล่นประเภทนี้ก็ไม่เลวนัก เธอตื่นเต้นขณะชมการแข่งขัน และรู้สึกว่าหัวใจที่เต้นรัวเชื่อมโยงไปถึงลูกหนังขนาดเล็กนั้น
ขณะที่เธอกำลังจดจ่ออยู่กับการแข่งขันนั้น จู่ๆ ก็มีเด็กสาวแต่งตัวคล้ายสาวใช้เดินมาจากระเบียงทางเดินยาวที่อยู่ด้านข้าง ก่อนจะยืนอยู่ข้างเธอแล้วเงยหน้าขึ้นเอ่ย
“แม่นางเสวี่ย”
แต่เป็นเพราะเสียงของคนรอบด้านดังเกินไป และเสวี่ยเจียเยว่กำลังจดจ่ออยู่กับการมองตามร่างเสวี่ยหยวนจิ้งซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้า เธอจึงไม่ได้ยินเสียงเรียกแม้แต่น้อย
สาวใช้ผู้นั้นเรียกเธออีกครั้ง และตะโกนครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้ยินเสียงของนางเลย สุดท้ายก็ไม่มีทางเลือกอื่น จึงเขย่งเท้าและเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อของเสวี่ยเจียเยว่ พร้อมกับตะโกนเสียงดัง “แม่นางเสวี่ย!”
ครั้งนี้เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินแล้ว เธอจึงรีบก้มลงมอง
เธอพิจารณาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว และคิดว่าตนไม่เคยพบคนผู้นี้มาก่อน แม้นางจะแต่งตัวเป็นสาวใช้ แต่ก็สวมเสื้อปี๋เจี่ย[1] ยาวทำจากผ้าเนื้อดี อีกทั้งสาบเสื้อยังปักเป็นลายดอกไม้ นางคงเป็นสาวใช้ของตระกูลใหญ่
ตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่ยืนอยู่บนเก้าอี้ แน่นอนว่าเธอต้องสูงกว่าสาวใช้ผู้นี้ หากตอนนี้เอ่ยปากก็คงจะดูเหมือนเธอกำลังข่มเหงผู้น้อย
คิดได้ดังนั้นเสวี่ยเจียเยวจึงกระโดดลงมาจากเก้าอี้ แล้วเอ่ยถามอย่างสุภาพ “พี่สาว เมื่อครู่ท่านเรียกข้าหรือเจ้าคะ ไม่ทราบว่าท่านมีเรื่องอันใดหรือ”
สาวใช้ผู้นั้นคำนับก่อนจะยืดตัวตรงพร้อมกับเอ่ยตอบ “เรียนแม่นางเสวี่ย เมื่อครู่ข้าน้อยเรียกท่านเองเจ้าค่ะ”
นางหันกลับและชี้ไปที่ศาลาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้นัก “เจ้านายของข้าน้อยใช้ให้มาที่นี่ เพื่อเชิญแม่นางเสวี่ยไปนั่งชมการแข่งขันกับเขาที่ชั้นบนของศาลาเจ้าค่ะ เขาบอกว่าเห็นการแข่งขันได้ชัดเจนเมื่ออยู่บนนั้น ท่านไม่จำเป็นต้องยืนอยู่บนเก้าอี้เช่นนี้ เพราะกลัวว่าท่านอาจตกลงมาได้ หากเป็นเช่นนั้นคงไม่ใช่เรื่องดีนัก”
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้น เธอก็หันไปมองตามทันที
เธอเห็นศาลาสามชั้นหน้ากว้างหกห้อง บนระเบียงชั้นหนึ่งกับชั้นสองและระเบียงด้านข้างของชั้นสามมีคนยืนดูการแข่งขันอยู่ ส่วนระเบียงด้านหน้าของชั้นสามที่เห็นทิวทัศน์ได้ดีที่สุด กลับมีคนยืนอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียว
เสวี่ยเจียเยว่เพียงมองครู่เดียวแล้วเก็บสายตากลับมา ก่อนจะเอ่ยถามสาวใช้ผู้นั้น “เจ้านายของพี่สาวแซ่ตันใช่หรือไม่”
ไม่ต้องคิดอะไรให้มากเธอก็รู้ว่าคนผู้นั้นคือตันหงอี้แน่นอน เพราะทั้งเมืองผิงหยางมีอยู่ไม่กี่คนที่สามารถจ่ายเงินก้อนโตเพื่อจองตำแหน่งที่ชมการแข่งขันได้ชัดเจนที่สุดบนศาลาหลังนั้น อีกทั้งคนอื่นๆ เธอก็ไม่รู้จัก นอกจากคนที่เช่าเรือนของป้าหยางและข่งซิวผิง ก็มีเพียงตันหงอี้เท่านั้นที่เธอคุ้นหน้า เพราะเรื่องการเดิมพันเมื่อสองปีก่อนทำให้พวกเขาบังเอิญพบกันอยู่หลายครั้ง ทุกครั้ง ‘เจ้าเด็กนั่น’ ก็มองจิกเธอราวกับตานกตาไก่ ทั้งยังเอ่ยถากถางอย่างเย็นชา เหตุใดตอนนี้เขาถึงเรียกเธอขึ้นไปชมการแข่งขันบนศาลานั้นด้วยเล่า
เสวี่ยเจียเยว่ไม่มีทางเชื่อว่าตันหงอี้จะมีเจตนาดี คงเป็นเพราะเห็นเธอยืนดูการแข่งขันอยู่บนเก้าอี้ ส่วนเขาได้ดูในตำแหน่งที่ดีที่สุด จึงจงใจให้สาวใช้มาพูดกับเธอเพื่อเยาะเย้ย
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เสวี่ยเจียเยว่ก็พูดกับสาวใช้ของตันหงอี้ด้วยความจริงใจ “รบกวนพี่สาวไปบอกเจ้านายของท่านด้วย ว่าข้ายืนอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้ก็มองเห็นการแข่งขันดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เขามาหวังดีกับข้า ให้ตัวเขาเองตั้งใจชมการแข่งขันก็พอแล้ว ไม่ต้องมากังวลเรื่องของข้า”
ขณะที่เอ่ยนั้น เธอก็ขึ้นไปยืนดูการแข่งขันบนเก้าอี้เช่นเคย
เสวี่ยเจียเยว่พูดคุยกับสาวใช้ผู้นั้นเพียงครู่เดียว สำนักศึกษาไท่ชูก็ตีลูกหนังเข้าประตูฝ่ายตรงข้ามได้อีกลูกแล้ว ผู้ที่ทำคะแนนได้ยังคงเป็นเสวี่ยหยวนจิ้ง และตอนนี้เขาก็กำลังมองมาที่เธอด้วย
เมื่อชายหนุ่มทำคะแนนได้ เขาก็มักจะมองเสวี่ยเจียเยว่เสมอ
เสวี่ยเจียเยว่รีบโบกมือให้เขาด้วยรอยยิ้มสดใส เมื่อเธอก้มหน้าลงอีกครั้ง ก็เห็นสาวใช้ของตันหงอี้เดินจากไปแล้ว
ไปแล้วก็ดี จะได้ไม่รบกวนตอนที่เธอดูการแข่งขัน
แต่ดูได้ไม่นาน จู่ๆ ก็รู้สึกว่าแขนเสื้อถูกคนดึงอีกครั้ง
เธอนึกว่าเป็นสาวใช้ของตันหงอี้ที่มาเมื่อครู่นี้จึงรำคาญขึ้นมาทันที และเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “พี่สาว เมื่อครู่นี้สิ่งที่ควรพูดข้าก็พูดไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ ตอนนี้เจ้านายของท่านส่งท่านมาพูดอะไรกับข้าอีกเล่า”
ขณะที่เธอก้มหน้าลงมองนั้น กลับเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ไม่ใช่สาวใช้ แต่เป็นตันหงอี้
ตันหงอี้อายุเท่าเสวี่ยหยวนจิ้ง ตอนนี้ชายหนุ่มสวมชุดคลุมยาวคอกลมสีฟ้าและเข็มขัดหยก ใบหน้าอันหล่อเหลานั้นบ่งบอกว่าอารมณ์ไม่ดีเท่าไรนัก
ตั้งแต่เล็กจนโตเขายังไม่เคยลิ้มลองรสชาติของการถูกคนปฏิเสธและมองข้าม กลับถูกเสวี่ยเจียเยว่กระทำเช่นนี้หลายครั้ง เมื่อครู่นี้ถูกอีกฝ่ายเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสาวใช้ หากเขาอารมณ์ดีก็คงจะแปลก สายตาที่มองเสวี่ยเจียเยว่นั้นเต็มไปด้วยความดุดัน
ทว่าเสวี่ยเจียเยว่คร้านจะสนใจเขา เพียงเหลือบมองแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อ้อ คุณชายตันเองหรือ”
จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นมองการแข่งขันในสนามต่อ
เมื่อครู่นี้มีผู้แข่งขันคนหนึ่งของสำนักศึกษาซุยไถได้ลูกหนังไปครอบครอง แต่ในช่วงเวลาอันคับขันลู่ลี่เซวียนพลันพุ่งออกมาจากตำแหน่งของตน ในที่สุดก็สามารถป้องกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามตีเข้าประตูฝ่ายตนได้
เสวี่ยเจียเยว่ปรบมือให้ลู่ลี่เซวียนพลางตะโกนบอกว่าเยี่ยมมาก จากนั้นเธอก็รู้สึกว่าแขนเสื้อถูกดึงอีกครั้ง แต่ต่างจากเมื่อครู่ เพราะครั้งนี้รุนแรงกว่าอย่างเห็นได้ชัด
เธอรู้สึกรำคาญเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังพยายามข่มความโกรธเอาไว้ แล้วก้มหน้าลงมองตันหงอี้ พยายามพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณชายตัน ไม่ทราบว่าท่านมีธุระอันใดหรือ”
แม้ว่าตันหงอี้จะสูงกว่าเธอ แต่ตอนนี้เธอยืนอยู่บนเก้าอี้ ด้วยตำแหน่งเช่นนี้ทำให้เสวี่ยเจียเยว่ดูมีอำนาจเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน
ตันหงอี้ไม่ชินกับการพูดคุยเช่นนี้ เขาจึงสั่งเสียงห้วน “ลงมา”
เสวี่ยเจียเยว่แค่นเสียงขึ้นจมูกเบาๆ
เหตุใดเธอต้องฟังคำสั่งเขาด้วยเล่า ในโลกนี้นอกจากคำสั่งของเสวี่ยหยวนจิ้งแล้ว เธอคร้านจะเชื่อฟังคนอื่น
เธอไม่มีทีท่าว่าจะลงจากเก้าอี้แม้แต่น้อย ทั้งยังเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “ข้าชอบแบบนี้ คุณชายตันมีธุระอันใดก็ยืนพูดอยู่ตรงนั้นเถอะ ไม่อย่างนั้นก็เชิญกลับไป ข้าจะดูการแข่งขันต่อ”
ตันหงอี้โกรธจนแทบกระอักเลือด แต่ก็ไม่มีวิธีจัดการกับเสวี่ยเจียเยว่
เขาไม่อาจเอื้อมมือไปดึงตัวเด็กสาวลงมาได้ เพราะยังมีคนดูการแข่งขันอยู่เบื้องหน้า หากอีกฝ่ายตะโกนออกมา ต่อไปก็คงไม่มีใครในเมืองผิงหยางเคารพเขาอีกแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาจึงทำได้เพียงสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์ “เมื่อครู่นี้ข้าส่งคนมาเรียกเจ้า เหตุใดเจ้าไม่ขึ้นไป”
เขาหมายถึงเรื่องที่เขาส่งสาวใช้มาเรียกเสวี่ยเจียเยว่ขึ้นไปชมการแข่งขันบนศาลา
เมื่อครู่นี้เสวี่ยเจียเยว่เจียดเวลามาคุยกับเขาเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้ามองการแข่งขันในสนาม แต่เมื่อเธอได้ยินดังนั้นก็ก้มหน้ามองตันหงอี้อีกครั้งพลางเอ่ย “ข้าให้เหตุผลแก่สาวใช้ของท่านแล้ว นางไม่ได้บอกท่านหรือ”
เพียงประโยคเดียวก็ทำให้ตันหงอี้พูดอะไรไม่ออก ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขามืดทะมึนลงทันที
[1] เสื้อกั๊กตัวยาวไม่มีแขนและไม่มีคอเสื้อ สาบเสื้อตรง ยาวถึงเข่า ซึ่งกลายมาเป็นเสื้อนอกที่ใส่ประจำวันของบรรดาสาวแรกรุ่น