ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 81 จุดเริ่มต้นของกิจการ
แปดสิบเอ็ด
จุดเริ่มต้นของกิจการ
ราวกับมีเสียงฟ้าผ่าลงข้างหู ชั่วขณะนั้นเสวี่ยเจียเยว่พลันตะลึงงันทันที
หมายความว่าอย่างไร ตันอวี้เหอ ตันอวี้ฉา อย่างนั้นหรือ ชื่อของพวกนางมาจากชื่อดอกเหอฮวา[1] และดอกฉาฮวา เป็นไปได้ว่าพวกนางจะเป็นนางเอกในนิยาย และเห็นได้ชัดว่าสองพี่น้องคู่นี้เป็นน้องสาวของตันหงอี้…
เสวี่ยเจียเยว่เหลือบมองเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยสายตาทะเล้น
เสวี่ยหยวนจิ้งจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าในใจของอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขาไม่ได้เอ่ยปรามออกมา กลับนึกถึงคำพูดของตันอวี้ฉาเมื่อครู่นี้ เมื่อรู้ว่าพวกนางสองคนเป็นน้องสาวของตันหงอี้ ท่าทีของเขาก็ยิ่งเย็นชามากขึ้น
การทักทายนับว่าเป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว จากนั้นเขาก็เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ข้ายังมีธุระอื่น ขอตัวก่อน”
ครั้นกล่าวจบ เขาก็ดึงเสวี่ยเจียเยว่ไปข้างหน้า
ขณะเดินไปนั้นเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเสียงของตันอวี้ฉาดังตามหลังมา
“นี่ เหตุใดเจ้ารีบไปเช่นนี้เล่า เจ้าจะไปที่ใด ครั้งหน้าข้าไปเยี่ยมเยียนเจ้าได้หรือไม่”
แต่ไม่มีเสียงตอบรับอันใดอีกเลย
เสวี่ยเจียเยว่หันกลับไปมอง ก็เห็นตันอวี้เหอที่สวมเสื้อปี๋เจี่ยตัวยาวสีเขียวอ่อนกำลังคุยกับตันอวี้ฉา ผู้เป็นน้องสาวก้มหน้าลงด้วยท่าทางน้อยใจ คงจะถูกพี่สาวตำหนิที่นางเอ่ยกับชายแปลกหน้าเช่นนี้
เสวี่ยเจียเยว่ถูกลากออกมาได้ระยะหนึ่ง จนกระทั่งเลี้ยวไปอีกเส้นทาง ก็ไม่เห็นสองพี่น้องตระกูลตันอีกแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งถึงได้ปล่อยมือแล้วเอ่ยถาม
“เจ้าดูสนใจสตรีสองนางเมื่อครู่นี้ยิ่งนัก เพราะพวกนางเป็นน้องสาวของตันหงอี้หรือ” ในน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความหึงหวงโดยไม่รู้ตัว
ตอนแข่งจีจวี เขาเห็นตันหงอี้เดินไปหาเสวี่ยเจียเยว่ แม้ว่าเรื่องที่อีกฝ่ายเอ่ยนั้นล้วนเกี่ยวกับเขา ทว่าเหตุใดจึงไม่มาพูดกับเขาโดยตรง กลับไปพูดกับเสวี่ยเจียเยว่ ตันหงอี้คิดอะไรอยู่
ตราบใดที่มีบุรุษเข้าใกล้เสวี่ยเจียเยว่ เสวี่ยหยวนจิ้งก็มักจะครุ่นคิดโดยไม่รู้ตัวว่าบุรุษพวกนั้นคิดอย่างไรกับเด็กสาว
แต่สิ่งที่เสวี่ยเจียเยว่คิดในตอนนี้ก็คือ… ที่เธอสนใจไม่ใช่เพียงเพราะว่าพวกนางเป็นน้องสาวของตันหงอี้เท่านั้น ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ พวกนางเป็นนางเอกของนิยายเรื่องนี้ มาทีเดียวพร้อมกันถึงสองคน เธอจึงตกใจไม่น้อย และไม่รู้ว่าหลังจากนี้สองพี่น้องคู่นั้นจะทำให้เสวี่ยหยวนจิ้งเปลี่ยนแปลงอันใดหรือไม่ เมื่อคิดว่าตันหงอี้รู้เรื่องนี้ จะเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขนาดไหน
พอคิดถึงใบหน้ามืดทะมึนของตันหงอี้ เสวี่ยเจียเยว่ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ก่อนจะรีบโบกมือปฏิเสธ “ไหนเลยจะมีเรื่องเช่นนั้น ข้าเพียงเห็นใบหน้าของแม่นางตันทั้งสองโดดเด่น จึงมองพวกนางให้เต็มตาก็เท่านั้น”
จากนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ ท่านว่าแม่นางตันสองนางนั้น คนพี่หรือคนน้องที่มีใบหน้างดงามมากกว่าเจ้าคะ”
ความงามของตันอวี้เหอกับตันอวี้ฉานั้นโดดเด่นเกินใครจริงๆ นางหนึ่งมีไหวพริบและงดงามเหมือนดอกเหอฮวาก็ไม่ปาน อีกนางก็น่ารักสดใสเหมือนกับดอกฉาฮวาอย่างไรอย่างนั้น หากเสวี่ยหยวนจิ้งเดินไปตามเค้าโครงเรื่องที่วางไว้แต่แรก เช่นนั้นเขาก็เป็นคนที่โชคดีมากคนหนึ่ง
เสวี่ยเจียเยว่อดมองชายหนุ่มด้วยสายตาหยอกเย้าไม่ได้
แต่เสวี่ยหยวนจิ้งกลับเฉยชากับสายตาของอีกฝ่าย “เมื่อครู่ข้าไม่ได้มองชัดเจนนัก และไม่รู้ว่าหน้าตาของสองพี่น้องนั้นเป็นเช่นไร แต่ถึงแม้ว่าใบหน้าของพวกนางจะงดงามปานเทพธิดา ในสายตาของข้าก็ไม่นับว่างดงามอันใด”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ เขาก็หันไปมองเสวี่ยเจียเยว่ “ข้าเห็นเจ้าทุกวัน พอไปมองสตรีอื่นในใต้หล้านี้ ต่อให้พวกนางงดงามสักปานใด สำหรับข้าแล้วมันก็เป็นเพียงใบหน้าธรรมดาๆ”
เสวี่ยเจียเยว่ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง เมื่อได้สติเธอก็ไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี
ยังไม่เคยเห็นใครเอ่ยชมคนอื่นเกินจริงเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งเวลาชมยังมีสีหน้าเฉยชาราวกับเป็นเรื่องปกติ นี่เขากำลังชมเธออยู่จริงๆ หรือ
กระนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็ดีใจไม่น้อยเมื่อมีคนชม และยิ่งคนคนนั้นเป็นเสวี่ยหยวนจิ้ง เธอย่อมดีใจเป็นอย่างมาก ใบหน้าของเธอจึงเปล่งประกายไปด้วยรอยยิ้มสดใส ราวกับดอกกุหลาบที่บานสะพรั่งท่ามกลางแสงแดดอันอบอุ่น ช่างมีเสน่ห์ดึงดูดใจคนมองยิ่งนัก
“วันนี้ข้าอารมณ์ดี จะทำอาหารให้ท่านกินสองอย่าง” เธอเอื้อมมือไปกอดแขนเสวี่ยหยวนจิ้ง และยิ้มจนตาหยีพลางเอ่ย “ไก่ป่าผัดเกาลัด กับต้มรากบัวใส่ดอกหอมหมื่นลี้เชื่อมเป็นอย่างไรเจ้าคะ”
ในช่วงเดือนแปดตามปฏิทินจันทรคติ เป็นช่วงที่มีเกาลัดกับรากบัวมากมายในตลาด ซึ่งราคาไม่แพงและมีประโยชน์ต่อร่างกาย ส่วนดอกหอมหมื่นลี้เชื่อมนั้นก็มีพร้อมแล้ว ซื้อไก่หนึ่งตัวก็จ่ายเพียงห้าสิบอีแปะเท่านั้น โชคดีที่สำนักศึกษาไท่ชูมอบเงินให้เสวี่ยหยวนจิ้งทุกเดือน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ต้องประหยัดกินประหยัดใช้ในทุกวันจนเกินไป และแน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางประหยัด
เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งทุ่มเทอ่านตำราทุกวัน ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้งก็คิดว่าเสวี่ยเจียเยว่เติบโตขึ้นทุกวัน ดังนั้นพวกเขาจึงอยากให้อีกฝ่ายได้กินของดีๆ บางครั้งก็ซื้ออาหารดีๆ กลับมาโดยไม่ต้องปรึกษากัน อาหารในแต่ละวันจึงเป็นของที่ช่วยบำรุงร่างกายได้เป็นอย่างดี
เสวี่ยหยวนจิ้งพยักหน้ารับทันที จากนั้นทั้งสองก็เดินพูดคุยกันและมุ่งหน้าไปทางตลาด
…
เสวี่ยเจียเยว่ทำจีตั้นทัง[2] อีกชามในมื้อเย็น และเสวี่ยหยวนจิ้งก็ดื่มไปสองถ้วยใหญ่
การแข่งขันจีจวีต้องใช้เรี่ยวแรงไปไม่น้อย ชายหนุ่มจึงเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด แต่เป็นเรื่องดีที่วันนี้สำนักศึกษาไท่ชูได้เข้ารอบ จึงไม่ต้องแข่งขันชั่วคราว รอจนกว่าจะมีสำนักศึกษาแห่งอื่นๆ เข้ารอบครบแล้ว พวกเขาก็จะจับสลากว่าจะได้แข่งกับสำนักศึกษาใด
หลังจากเสวี่ยหยวนจิ้งล้างหน้าบ้วนปากเสร็จแล้วก็เข้าไปพักผ่อน เสวี่ยเจียเยว่วาดภาพชุดฮั่นฝูต่อจากที่ค้างเอาไว้เมื่อไม่กี่วันก่อนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขึ้นเตียงนอนพักผ่อน
อีกไม่นานก็จะเข้าสู่ฤดูหนาว ผู้คนจึงอยากทำเสื้อบุนวมเอาไว้สวมในช่วงที่อากาศหนาวเย็น หากเป็นปีก่อนๆ ร้านตัดชุดที่ป้าเฝิงทำงานอยู่จะต้องยุ่งมาก แต่สองปีมานี้รายได้ของร้านลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตั้งแต่ต้นปีนี้ที่สถานการณ์เริ่มแย่ลง กระทั่งยามนี้ช่วงเวลาที่ควรจะยุ่งวุ่นวายกลับไม่มีอะไรทำ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะเรียกเสวี่ยเจียเยว่เข้าไปช่วยงาน แม้แต่ป้าเฝิงเองก็ยังอยู่ว่างๆ ที่เรือนบ่อยๆ
หลังจากเสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งกินข้าวเช้าเสร็จ ชายหนุ่มก็ออกจากเรือนไป ส่วนเสวี่ยเจียเยว่พับแขนเสื้อขึ้นและเริ่มล้างถ้วยชาม ก่อนจะนำผ้ามาซัก
ขณะที่เธอกำลังตากผ้าอยู่ในลานเรือนนั้น ก็เห็นป้าเฝิงยกถังเสื้อผ้าออกมาซักที่ข้างบ่อน้ำ
เสวี่ยเจียเยว่ทักทายนางด้วยรอยยิ้ม “ป้าเฝิง อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ”
ป้าเฝิงเคยตัดชุดให้เสวี่ยหยวนจิ้ง ทั้งยังสอนการปักผ้าและตัดชุดให้เธอ เสวี่ยเจียเยว่จึงเคารพนางมาก ป้าเฝิงก็ชื่นชมเสวี่ยหยวนจิ้งที่เป็นคนมีความรู้ ส่วนเสวี่ยเจียเยว่เป็นคนร่าเริงอัธยาศัยดี ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายจึงดีไม่น้อย
“เจียเยว่เองหรือ” ป้าเฝิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เสื้อผ้าของเจ้าซักเสร็จแล้วหรือ”
เมื่อเห็นรอยยิ้มขมขื่นและคิ้วที่ขมวดแน่นบนใบหน้าของป้าเฝิง เสวี่ยเจียเยว่ก็เอ่ยถามนางด้วยความเป็นห่วง “ป้าเฝิงเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ เหตุใดถึงได้ดูกลัดกลุ้มเช่นนั้น เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่”
ป้าเฝิงถอนหายใจอย่างเป็นทุกข์ “เจียเยว่ ข้ากลัวว่าร้านตัดชุดที่ข้าทำงานอยู่ จะอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว หากร้านปิดตัวลง ข้าจะไปทำงานที่ไหนเล่า แม้แต่เรือนหลังนี้ก็ยังต้องใช้เงินจ่ายค่าเช่า ยังมีค่าใช้จ่ายเลี้ยงปากเลี้ยงท้องในทุกวันอีก เสี่ยวฉานกับหูจื่อก็ยังเล็ก หวังพึ่งได้เพียงข้าคนเดียวเท่านั้น หากเวลานั้นมาถึงข้าควรจะทำอย่างไรดี ข้าอดกังวลไม่ได้จริงๆ”
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจเป็นอย่างมาก “เหตุใดร้านถึงได้ปิดตัวเร็วเช่นนี้เจ้าคะ”
ป้าเฝิงพูดต่อ “หลายวันก่อนข้าได้ยินเถ้าแก่เนี้ยคุยกับน้องสาวของนาง เจ้าเองก็รู้ว่าน้องสาวของนางเป็นคนทำบัญชี นางถามว่าตอนนี้มีเงินเหลืออยู่เท่าไร ผ้าในร้านยังเหลืออยู่กี่มากน้อย ชุดที่ตัดเสร็จแล้วมีอยู่เท่าไร นางบอกให้ขายพวกนั้นออกไปให้หมด และดูว่ามีเงินเหลืออยู่เท่าไร ข้ายังได้ยินเถ้าแก่เนี้ยหารือกับน้องสาวนางว่าต่อไปจะทำการค้าขายอะไร ความหมายของนางมิใช่จะปิดกิจการร้านตัดชุดแล้วหรือ”
เสวี่ยเจียเยว่ไม่เอ่ยคำใด เธอเคยทำงานในร้านนั้นมาก่อน และสังเกตการณ์อยู่พักใหญ่ เถ้าแก่เนี้ยไม่ใช่คนตรงไปตรงมา นางขี้เหนียวมาก เสียดายเงินซื้อผ้าใหม่ยังไม่พอ ชุดที่ตัดก็มีแต่แบบเดิมๆ อีกทั้งไม่มีส่วนลดให้ลูกค้าแม้แต่อีแปะเดียว การทำเช่นนี้ไม่ใช่หลักของการค้าขาย ไม่ช้าก็เร็วร้านจะต้องปิดตัวลง แต่คิดไม่ถึงว่าจะเร็วเช่นนี้
พอเห็นสีหน้าของป้าเฝิงกลัดกลุ้ม เสวี่ยเจียเยว่ก็วางทุกอย่างในมือลง และเดินไปกล่าวปลอบใจนาง… สวรรค์ย่อมมีทางออกให้คนเราเสมอ
ป้าเฝิงซักผ้าเสร็จแล้วก็กลับเข้าเรือน เสวี่ยเจียเยว่จึงถือถังไม้กลับเข้าเรือนเช่นกัน
จากนั้นเธอก็ไปหาป้าโจว อาจารย์กับลูกศิษย์ปักผ้าและพูดคุยกัน เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นสีหน้าของป้าโจวดูเหนื่อยล้า เธอก็ขอตัวกลับเรือน
สภาพอากาศช่วงนี้มีแดดและฝนตกเป็นช่วงๆ สุขภาพของป้าโจวเดิมทีก็ไม่ค่อยจะดีนัก หากสัมผัสกับอากาศเย็น นางก็จะไอไม่หยุด ก่อนหน้านี้เสวี่ยเจียเยว่ต้มชวนเป้ยเสวี่ยหลี[3] ให้นางอยู่หลายวัน สองวันมานี้อาการของนางดีขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ยังต้องพักผ่อนให้มากๆ
เมื่อกลับถึงเรือน เสวี่ยเจียเยว่เข้าไปเก็บกวาดห้องของเสวี่ยหยวนจิ้ง ก่อนจะนำกระดาษสองแผ่นกลับมาที่ห้องของตน
ไม่กี่วันก่อนเธอหยิบเสื้อบุนวมออกมาจากถุงผ้า คิดจะนำไปตากแดดตอนที่อากาศดีๆ เมื่ออากาศหนาวจะได้สวม แต่คิดไม่ถึงว่าสองปีมานี้ร่างกายของตนจะโตเร็วขนาดนี้ เสื้อบุนวมที่รู้สึกว่าตัวใหญ่เมื่อสองปีที่แล้ว และรู้สึกว่าพอดีเมื่อปีที่ผ่านมา พอมาถึงปีนี้กลับเล็กเกินไป จะนำกลับมาสวมอีกครั้งก็คงไม่ได้
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกเบื่อแบบเสื้อบุนวมที่เป็นที่นิยมกันในยุคนี้ แล้วจู่ๆ เธอก็นึกถึงแบบเสื้อบุนวมที่ตนวาดขึ้นมาเอง
…
ในยามนี้เธอนั่งมองแบบชุดบุนวมที่เพิ่งวาดเสร็จเมื่อวาน ซึ่งเธอพอใจเป็นอย่างมาก เพราะเป็นแบบที่ไม่เหมือนคนอื่น และอยากจะออกแบบชุดให้เสวี่ยหยวนจิ้งสักชุด
จากนั้นเธอก็ฟุบลงบนโต๊ะพลางคิดถึงแบบชุดฮั่นฝูในประวัติศาสตร์ที่เคยเห็นมา ทันใดนั้นก็เกิดความคิดบางอย่าง
ตอนนี้เธอมีเงินมากขึ้น ตัวเธอเองก็สามารถตัดชุดและเย็บปักถักร้อยได้ ทั้งยังคุ้นเคยกับแบบชุดฮั่นฝูในราชวงศ์ที่ผ่านมาเป็นอย่างดี เธอวาดแบบใหม่ๆ ได้ ส่วนป้าเฝิงก็มีประสบการณ์ด้านตัดเย็บชุดมาหลายปี เหตุใดเธอไม่เปิดร้านตัดชุดเองเลยเล่า
และเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะร้านตัดชุดที่ป้าเฝิงไปทำงานกำลังจะปิดตัวลง ถ้าอย่างนั้นเธอก็คว้าโอกาสเสียตั้งแต่ตอนนี้ ซื้อร้านนั้นมาในราคาต่ำไม่ดีหรือ
[1] ดอกบัวหลวง
[2] ซุปไข่น้ำ
[3] ซุปสาลี่ผสมลูกเดือย