ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 92 ความคิดที่เป็นความลับ
เก้าสิบสอง
ความคิดที่เป็นความลับ
ก่อนหน้านี้เสวี่ยเจียเยว่ขอให้ป้าหยางช่วยหาคณะเชิดสิงโตให้ เพื่อมาสร้างความครึกครื้นในวันเปิดร้าน ทันทีที่ได้ยินเสียงฆ้องและกลองด้านนอก เธอก็รู้ว่าคณะเชิดสิงโตคงมากันแล้ว
เธอหันไปคว้ามือเสวี่ยหยวนจิ้ง ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ พวกเราออกไปดูเขาเชิดสิงโตกันเถอะเจ้าค่ะ”
เมื่อได้สัมผัสมือที่อบอุ่น หัวใจของเสวี่ยหยวนจิ้งก็เต้นแรงขึ้น ขณะที่เขาอยากจะเอ่ยบางอย่าง กลับถูกเสวี่ยเจียเยว่ที่กำลังตื่นเต้นลากออกไปด้านนอก
พวกเขาพบสิงโตสองตัวกำลังเดินมาทางนี้พร้อมกับเสียงฆ้องเสียงกลอง สิงโตตัวหนึ่งสีแดง อีกตัวมีสีเหลืองทอง ด้านหน้ายังมีคนสวมหน้ากากรูปคนและแต่งตัวคล้ายพระ ในมือถือพัดรูปทานตะวัน
ตอนนี้ไม่ใช่วันปีใหม่หรือเฉลิมฉลองงานมงคล การเชิดสิงโตจึงถือว่าหาชมได้ยากยิ่ง เมื่อได้ยินเสียงฆ้องเสียงกลอง ชาวบ้านในละแวกนั้นก็พากันออกมาดู และมีเด็กหลายคนกระโดดอยู่ข้างๆ สิงโตสองตัวนั้นด้วย
นี่คือสิ่งที่เสวี่ยเจียเยว่ต้องการ เพราะเมื่อคนมาดูมากก็เท่ากับเป็นการประกาศให้รู้ว่าร้านตัดชุดร้านนี้ได้เปลี่ยนเจ้าของใหม่แล้ว และย่อมน่าสนใจกว่าเดิมแน่นอน ต่อไปหากใครอยากจะตัดชุด พวกเขาก็จะนึกถึงร้านที่เปิดใหม่เป็นอันดับแรก โดยที่ไม่รู้ว่าฝีมือจะเป็นเช่นไร ดังนั้นความเอิกเกริกจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น
เมื่อครู่เสวี่ยเจียเยว่ให้คนแขวนประทัดไว้หน้าประตูร้านแล้ว เมื่อเห็นคณะเชิดสิงโตเข้ามา เธอจึงนำตะบันไฟออกมาจุด
แต่จู่ๆ เธอก็คิดบางอย่างได้จึงชักมือกลับ และหันไปยิ้มให้เสวี่ยหยวนจิ้ง “ท่านพี่ มาเร็วเจ้าค่ะ พวกเรามาจุดประทัดด้วยกัน”
ขณะที่เอ่ยนั้น เธอเอื้อมมือไปจับมือเขาโดยไม่มีคำอธิบายอันใด
เสวี่ยหยวนจิ้งตะลึงงันในคราแรก แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มและดวงตาเป็นประกายของเสวี่ยเจียเยว่ เขาก็กระชับมืออีกฝ่าย จากนั้นทั้งสองคนก็ยื่นตะบันไฟไปจ่อที่ด้านล่างของประทัดด้วยกัน
หลังจากชนวนถูกเผาไหม้จนหมด ก็ได้ยินเสียงประทัดดังขึ้น
เสวี่ยเจียเยว่รีบกระโดดไปยืนด้านข้างทันที ในมือเธอยังถือตะบันไฟ ขณะเดียวกันก็ยิ้มแย้มและยกมือขึ้นปิดหู เสวี่ยหยวนจิ้งที่มองอยู่ข้างๆ ลังเลชั่วครู่ สุดท้ายก็คว้าตัวเสวี่ยเจียเยว่เข้ามาในอ้อมกอด และยกมือขึ้นปิดหูให้
ในสายตาของคนอื่นนั้นคิดเพียงว่าเขาเป็นพี่ชายที่เห็นน้องสาวหวาดกลัวเสียงประทัด จึงคว้าตัวนางเข้าไปกอดและปิดหูให้ ในใจก็ชื่นชมที่พี่ชายเช่นเขาคิดเพื่อน้องสาวของตนขนาดนี้ แต่เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ดีว่าความจริงหาใช่เช่นนั้นไม่
แม้จะมีเสียงประทัดที่ดังอึกทึก แต่เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกว่าจิตใจของเขาสงบสุขราวกับว่าเสียงจากภายนอกและเสียงประทัดอยู่ห่างไกลจากเขา มีเพียงร่างนุ่มนิ่มในอ้อมกอดของเขาเท่านั้นที่เป็นสัมผัสเดียวอย่างแท้จริง
อยากจะกอดเสวี่ยเจียเยว่ไว้เช่นนี้ตลอดกาล…
ชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีกำลังสูญเสียความเป็นตัวเองไป เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดเช่นนี้กับเสวี่ยเจียเยว่มาก่อน ทว่าตอนนี้…
เขารู้สึกว่าร่างของตนกำลังจะขาดออกเป็นสองท่อน ครึ่งหนึ่งเกิดความโลภทุกครั้งเมื่อได้สัมผัสเสวี่ยเจียเยว่ กระทั่งใช้ประโยชน์จากโอกาสต่างๆ เพื่อสัมผัสอีกฝ่าย อย่างเช่นตอนนี้แม้รู้ดีว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้กลัวประทัด แต่เขาก็ยังหาข้ออ้างคว้าตัวอีกฝ่ายเข้ามากอด ส่วนอีกครึ่งก็เอาแต่โทษตัวเองไม่หยุด เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ ตนถึงได้กลายเป็นเช่นนี้
ความจริงแล้วเสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกถึงความผิดปกติของตนที่มีต่อเสวี่ยเจียเยว่ แต่เขาไม่กล้าที่จะยอมรับ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพี่ชาย และควรจะเป็นตลอดชีวิต จะมีสิทธิ์คิดเป็นอื่นได้อย่างไร ที่สำคัญ… ชายหนุ่มรู้ว่าในใจของเสวี่ยเจียเยว่ก็คิดว่าเขาเป็นพี่ชายของตนจริงๆ หากอีกฝ่ายรู้ว่าในใจเขาคิดเป็นอื่นแล้วจะมองเขาอย่างไร จะรังเกียจเขาหรือไม่ หรือคิดว่าเขาเป็นเหมือนกับบิดาอย่างเสวี่ยเหล่าซาน จากนั้นก็จะหนีเขาไป และไม่อยู่ข้างกายเขาอีกเลย
เขาห้ามความต้องการที่จะจับมือและกอดเสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความรู้สึกที่เหมือนร่างจะแยกออกเป็นสองส่วน ก็ไม่แสดงความผิดปกติต่อหน้าอีกฝ่าย ยังคงพยายามที่จะปฏิบัติเช่นเดิมต่อไป
หลังจากจุดประทัดเสร็จแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็จับมือเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยรอยยิ้ม และต้องการจะดึงผ้าสีแดงที่คลุมแผ่นโลหะหน้าร้านออกพร้อมกับเขา คำว่า ‘ซู่ยวี่เซวียน’ บนแผ่นโลหะนั้นเขาเป็นคนเขียนเองกับมือ ยังจำได้ว่าเสวี่ยเจียเยว่ยกแผ่นโลหะนี้ขึ้นมาด้วยรอยยิ้มซุกซน และบอกว่าอักษรสามตัวนี้คืออักษรของเขา ในภายภาคหน้าหากเขาได้เป็นขุนนางแล้ว อักษรเหล่านี้จะมีค่าไม่น้อย
ตอนนั้นเขายังหัวเราะเพราะเสวี่ยเจียเยว่เพ้อฝันเกินไป ทั้งยังบอกว่ามีค่าอันใดกัน หากต่อไปตัวอักษรของเขามีค่าจนทุกคนต้องมาแย่งชิง เขาจะเขียนอักษรทั้งวันแล้วมอบเงินให้เสวี่ยเจียเยว่เก็บไว้แน่นอน
จากนั้นเขาก็นึกถึงเรื่องในอดีต สีหน้าที่เย็นชามาโดยตลอดผ่อนคลายลง มุมปากยกยิ้มบาง
เสวี่ยเจียเยว่ยังคงยุ่งตลอดเวลา วันแรกที่เปิดร้านมีคนอยากรู้อยากเห็นเดินเข้ามาชมเป็นจำนวนมาก และดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่ที่เข้ามาในร้านจะเป็นหญิงสาว เธอเห็นหญิงสาวคนหนึ่งหน้าแดงระเรื่อ ก่อนจะหันไปกระซิบบางอย่างกับสหายที่มาด้วยกัน จากนั้นหญิงสาวอีกคนก็ยิ้มแย้มพลางยกแขนเสื้อขึ้นปิดบังใบหน้า สายตาของนางเหลือบมองไปอีกด้านอย่างเขินอาย
เสวี่ยเจียเยว่มองตามสายตาของพวกนาง ก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่าง แสงแดดสีทองจางๆ ลอดผ่านใบผีผาด้านนอกหน้าต่างกระทบลงบนร่างของเขา ไม่รู้เขาคิดสิ่งใดอยู่สีหน้าถึงได้ดูอ่อนโยนยิ่ง และยากจะทำให้ผู้คนละสายตาไปจากเขา
เสวี่ยเจียเยว่ยกยิ้มมุมปากบางๆ
ในที่สุดเธอก็รู้แล้วว่าเหตุใดจึงมีหญิงสาวมากมายเดินเข้ามาในร้าน
เมื่อคิดเช่นนั้น รอยยิ้มของเสวี่ยเจียเยว่ก็ค่อยๆ หุบลง
กระนั้นก็ต้องขอบคุณเสวี่ยหยวนจิ้ง แม้จะเปิดร้านเป็นวันแรก แต่มีหญิงสาวเดินเข้ามาในร้านหลายคน เมื่อเสวี่ยเจียเยว่พูดหว่านล้อมพวกนาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่บอกว่าพี่ชายของตนเคยเอ่ยชมว่าเนื้อผ้าที่ใช้ตัดชุดนั้นดูดีมาก ก็คิดไม่ถึงว่าเธอจะได้รับงานตัดชุดถึงสามชุด
ยามนี้เสวี่ยเจียเยว่ดีใจจนยิ้มไม่หุบ แม้แต่ตอนเรียกเสวี่ยหยวนจิ้งเสียงยังหวานปานน้ำผึ้ง เสวี่ยหยวนจิ้งอดสะท้านในใจมิได้ สายตาที่มองเสวี่ยเจียเยว่ก็ยิ่งลึกล้ำทุกขณะ
ตอนเช้าเสวี่ยเจียเยว่ยุ่งอยู่กับการเปิดร้าน เมื่อถึงยามบ่ายก็ว่าง เธอมอบหมายงานให้ลูกจ้างในร้านตัดชุดกระโปรงตามที่ลูกค้าสั่งให้ดีที่สุด จากนั้นก็นำแบบชุดออกมา และเรียกป้าเฝิงกับลูกจ้างอีกสองคนที่มีฝีมือดีเข้ามา ก่อนอธิบายเรื่องการทำชุดกระโปรงเหล่านี้ให้พวกนางฟังอย่างละเอียด
สตรีเหล่านั้นไม่เคยเห็นแบบชุดเช่นนี้มาก่อน จึงรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ยิ่ง แต่พวกนางเป็นช่างตัดชุดมาหลายปี หลังจากเสวี่ยเจียเยว่อธิบาย พวกนางก็เข้าใจวิธีทำตามแบบร่างได้อย่างรวดเร็ว
เสวี่ยเจียเยว่ยังกำชับพวกนาง “ชุดกระโปรงเหล่านี้สำคัญมาก ไม่แน่อาจจะมีผลต่อความอยู่รอดของร้านเรา พวกท่านทั้งสามจะต้องใส่ใจทำให้มากและต้องเร็ว ก่อนเดือนเก้าชุดเหล่านี้จะต้องเสร็จเรียบร้อย”
วันที่เก้าเดือนเก้าเป็นเทศกาลฉงหยางแล้ว ป้าหยางจะใช้เวลาสองสามวันในการนำชุดเหล่านี้ไปให้เหล่าฮูหยินและคุณหนู หากทำเสร็จเร็วเท่าไรก็จะยิ่งดีมากเท่านั้น
ก่อนหน้านี้กิจการของร้านอยู่ในช่วงซบเซา ป้าเฝิงและสตรีสองคนนั้นถูกเจ้าของร้านเดิมสั่งให้กลับเรือนไป เพราะคิดว่าจะไม่มีงานให้ทำอีกแล้ว ขณะที่กำลังกลัดกลุ้มกับชีวิตต่อจากนี้ ก็คิดไม่ถึงว่าเสวี่ยเจียเยว่จะรับช่วงต่อร้านนี้อย่างกะทันหัน ทั้งยังเรียกลูกจ้างทั้งหมดกลับมา กระทั่งสัญญาว่าหากภายภาคหน้ากิจการไปได้ดีจะเพิ่มค่าแรงให้พวกนางอย่างแน่นอน พวกนางจะไม่สนใจได้อย่างไร
เสวี่ยเจียเยว่เริ่มวางใจได้ ก่อนจะมองไปที่ผ้าในร้านอีกครั้ง
เจ้าของร้านคนก่อนขายผ้าเหล่านี้ให้ แต่เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าเนื้อผ้าอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อสองสามวันก่อนเธอจึงไปซื้อผ้าคุณภาพดีที่ร้านขายผ้า ซึ่งมีปริมาณเพียงพอสำหรับตอนนี้ ทว่าต่อไปต้องไม่พอแน่นอน เธอต้องออกไปซื้ออีกครั้ง
หลังจากยุ่งวุ่นวายมาทั้งวัน เมื่อคนอื่นๆ กลับไปหมด ขณะที่เสวี่ยเจียเยว่กำลังจะปิดประตูร้าน เธอก็พบว่าด้านนอกมืดแล้ว บนถนนไร้ผู้คนเดินสัญจร ยังดีที่เสวี่ยหยวนจิ้งอยู่กับเธอ และไม่เคยอยู่ห่างจากเธอแม้แต่ก้าวเดียว
เสวี่ยเจียเยว่คล้องโซ่บนประตูร้านเสร็จแล้ว เธอก็หันไปเรียกเสวี่ยหยวนจิ้ง “ท่านพี่ กลับกันเถอะเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งมองรอยยิ้มสดใสของเสวี่ยเจียเยว่ท่ามกลางแสงสลัว สายตาของเขาก็อ่อนโยนขึ้นมาทันที
ทั้งสองคนเดินไปพลางพูดคุยกันตลอดทาง สองข้างทางมีแมลงส่งเสียงร้องไม่ให้บรรยากาศเงียบเหงา และท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยดวงดาวและแสงจันทร์ที่สว่างไสว
วันแรกของการเปิดร้านมีลูกค้ามาสั่งตัดชุดหลายคน ทำให้เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกภาคภูมิใจยิ่งนัก เธอหันไปมองเสวี่ยหยวนจิ้งและเอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ท่านพี่ ต่อไปข้าจะต้องขยายกิจการให้ใหญ่ขึ้น ข้าจะขยายสาขาไปทั่วสองเมืองหลวง สิบสามมณฑล[1] เมื่อถึงตอนนั้น หากท่านอยากเป็นขุนนางก็เป็น หากท่านไม่อยากเป็นขุนนางก็ไม่ต้องเป็น ทำในสิ่งที่ท่านชอบก็พอแล้ว เพราะถึงอย่างไรท่านก็ยังมีข้าคอยเลี้ยงดู หากกิจการของข้าเติบโตขึ้น ข้าจะต้องส่งคนไปตามหาน้องสาวแท้ๆ ของท่านทั่วสารทิศ เมื่อนางกลับมาแล้ว พวกเราก็จะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ท่านว่าเช่นนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ”
ความจริงแล้วเสวี่ยหยวนจิ้งไม่เชื่อว่าเสวี่ยเจียเยว่จะสามารถขยายกิจการได้ใหญ่โตเช่นนั้น เพราะสตรีที่ทำการค้านั้นมีน้อย แล้วจะมีสักกี่คนที่ร่ำรวยอย่างที่อีกฝ่ายกล่าวมา แต่เมื่อเห็นเด็กสาวมีความสุข เขาก็อดทำตามความปรารถนาของหัวใจตนไม่ได้ จึงพยักหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ได้สิ เช่นนั้นข้าก็จะรอเจ้าเลี้ยงดูข้าแล้วกัน”
เสวี่ยเจียเยว่มองเสวี่ยหยวนจิ้งที่อยู่ท่ามกลางแสงดาวและแสงจันทร์ เมื่อนึกถึงตอนที่หญิงสาวเหล่านั้นมองเขาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ และกระซิบกระซาบกันอยู่ด้านหลังว่าเขาคือเสวี่ยหยวนจิ้งจากสำนักศึกษาไท่ชูผู้นั้น เธอก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
เธอเกรงว่าหากเสวี่ยหยวนจิ้งเต็มใจให้สตรีบนโลกนี้เลี้ยงดู กระทั่งทำเพื่อเขาทุกอย่าง แล้วนางเอกทั้งสิบสองคนนั้นจะเป็นอย่างไร คิดไม่ถึงว่าในตอนนี้เขาจะอ่อนโยนกับเธอ ช่างแตกต่างจากเสือที่อันตรายอย่างสิ้นเชิง กลับเหมือนแมวที่ขี้อ้อนและเชื่อฟัง เขาไม่มีทีท่าว่าจะโกรธเมื่อเธอบอกว่าอยากเลี้ยงดู กลับกันยังบอกว่าจะรอให้เธอเลี้ยงดูอีก
เสวี่ยเจียเยว่สัมผัสได้ถึงความสำเร็จชั่วขณะ อยากจะเรียกนางเอกทั้งสิบสองคนมายืนอยู่ข้างๆ เธอ เพื่อให้เห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งที่เย็นชาและโหดเหี้ยมต่อพวกนาง กลับอ่อนโยนและเชื่อฟังมากเพียงใดเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่รู้ว่าเหตุใดเสวี่ยเจียเยว่จึงหัวเราะเช่นนั้น ในที่สุดเขาก็อดถามไม่ได้
แน่นอนว่าเสวี่ยเจียเยว่บอกตามที่ตนคิดไม่ได้ เธอได้แต่กลั้นหัวเราะและกอดแขนเขาพร้อมกับเงยหน้าขึ้นกล่าว
“ข้าแค่กำลังคิดว่า หน้าตาของพี่ชายข้าดูดียิ่งนัก หล่อเหลาไม่เหมือนใครในใต้หล้านี้ และคงไม่มีผู้ใดเทียบเท่าท่านได้”
[1] สองเมืองหลวง หมายถึง ปักกิ่งและหนานจิง ส่วนสิบสามมณฑล ได้แก่ ซานตง เจ้อเจียง ฝูเจี้ยน กวางตุ้ง ชานซี เหอหนาน หูก่วง เจียงซี ก่วงซี หยุนหนาน กุ้ยโจว ซื่อโจว และส่านซี