ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 93 เข้าใจความคิด
เก้าสิบสาม
เข้าใจความคิด
เสวี่ยเจียเยว่ไม่อยากให้เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ว่าเธอคิดอะไรจึงกล่าวออกมาเช่นนั้น ซึ่งความจริงแล้วเธอไม่ได้หลอกเขา เพราะในสายตาของเธอ หน้าตาของเสวี่ยหยวนจิ้งนั้นหล่อเหลาไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเทียบได้ ไม่อย่างนั้นวันนี้คงไม่มีลูกค้ามาตัดชุดหลายคน จะว่าไปทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะเขา
ด้วยเหตุนี้เสวี่ยเจียเยว่จึงคิดจะตัดชุดให้เขาสักชุด เดิมทีเขาเป็นคนหน้าตาหล่อเหลา รูปร่างดี ไหล่กว้าง เอวแคบ หากเขาได้สวมชุดที่เธอทำเองกับมือและเดินออกไปข้างนอก ก็ไม่เท่ากับเป็นการประกาศฝีมือของเธออีกทางหรือ ผลลัพธ์จะต้องดีแน่ๆ
เมื่อคิดเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็กว้างขึ้น และกอดแขนเสวี่ยหยวนจิ้งแน่น คิดว่าเขาคือเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งของเธอ ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ปล่อยเขาไปไม่ได้
เสวี่ยหยวนจิ้งไหนเลยจะล่วงรู้ความคิดของอีกฝ่าย แต่ที่รู้แน่ชัดคือเสวี่ยเจียเยว่ชมใบหน้าของเขาจริงๆ
ตั้งแต่เขามาที่เมืองผิงหยาง และเข้าเรียนในสำนักศึกษาไท่ชูมาสองปี ก็ใช่ว่าจะไม่เคยพบคนที่เอ่ยชมเรื่องหน้าตาของเขา แต่บุรุษจะมีความสุขมากเมื่อได้ยินคนชมเรื่องวิชาความรู้ของตน หรือไม่ก็บุคลิกที่สง่างาม และด้านอื่นๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้นแม้สีหน้าของเขาจะดูถ่อมตน แต่ในใจก็มีความสุขมาก
เขาเคยพบกับน้องสาวของสหายร่วมห้องเรียนคนหนึ่ง นางหน้าแดงและกล่าวชื่นชมว่าเขาหน้าตาหล่อเหลา แม้ตอนนั้นเขาจะไม่โกรธ แต่ก็จะเดินจากไปด้วยสีหน้าเย็นชา ทำให้สตรีผู้นั้นอึดอัดจนน้ำตาคลอเบ้า
แต่เมื่อได้ยินเสวี่ยเจียเยว่เอ่ยชื่นชมว่าเขาหน้าตาหล่อเหลาเช่นนี้ ในใจกลับมีความสุขไม่น้อย
กระนั้นสีหน้าของเขายังคงเรียบเฉย เพียงเอ่ยถามกลับไป “ใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดเทียบข้าได้จริงๆ หรือ”
ดีกว่าตันหงอี้และคนเหล่านั้นหรือไม่
เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้าแรงๆ “ใช่เจ้าค่ะ ในใจของข้านั้น ไม่มีผู้ใดหล่อเหลาเท่าท่านพี่เลย”
ในเมื่อเป็นพระเอก หน้าตาจะไม่โดดเด่นไปกว่าตัวละครชายอื่นได้อย่างไร แล้วนางเอกทั้งสิบสองคนนั้นจะกลายเป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟได้หรือ
เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็มีความสุขยิ่งนัก ทว่าสีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยเช่นเดิม ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิกแก้มเสวี่ยเจียเยว่เบาๆ แล้วยื่นใบหน้าอันหล่อเหลาเข้าไปใกล้อีกฝ่าย “ปากเจ้าช่างหวานขึ้นเรื่อยๆ”
จากนั้นเขาก็เอ่ยต่อ “เจ้าพูดแบบนี้กับข้าคนเดียวก็พอแล้ว อย่าได้ไปพูดเล่นเช่นนี้กับชายอื่น เข้าใจหรือไม่”
เพราะเขารู้ว่าหากเสวี่ยเจียเยว่พูดเช่นนี้จะทำให้ชายอื่นมีความสุข…
แววตาของเสวี่ยหยวนจิ้งค่อยๆ ทะมึนลง เขากำมือทั้งสองข้างแน่น จนปลายนิ้วเริ่มเปลี่ยนเป็นขาวซีด
ชายหนุ่มคิดในใจว่า เขาไม่มีทางทนมองภาพนั้นได้
แต่เสวี่ยเจียเยว่ไม่มีทางกล่าวเช่นนี้กับคนอื่นเด็ดขาด แม้ว่าเธอจะเป็นคนพูดเก่ง หรือหากมีความสุขก็จะชอบหยอกล้อผู้อื่นเสมอ ทว่าเธอไม่เคยเอ่ยเช่นนี้กับชายอื่นเลย มีเพียงตอนอยู่ต่อหน้าเสวี่ยหยวนจิ้งเท่านั้นที่เธอจะพูดคำเหล่านี้
เธอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ ข้าจะพูดคำเช่นนี้ต่อหน้าชายอื่นได้เยี่ยงไร ข้าต้องพูดกับท่านพี่คนเดียวอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้น ในใจก็รู้สึกดีขึ้นมาก ทว่าริมฝีปากกลับกลายเป็นเส้นตรง
ช่วงที่ผ่านมานี้ เขารู้สึกว่าตนสนใจในตัวเสวี่ยเจียเยว่มากขึ้น และอยากจะใกล้ชิดอีกฝ่ายอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเห็นแม่นางน้อยพูดคุยกับชายอื่น ในใจของเขาก็โกรธจนแทบลุกเป็นไฟ ต้องรีบเดินไปขัดขวางทันที และยิ่งเดือดดาลตอนที่เจี่ยจื้อเจ๋อเอ่ยปากสู่ขอเสวี่ยเจียเยว่ต่อหน้าเขา…
เขาหันไปมองใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่ พบว่าใบหน้าของอีกฝ่ายงดงามขึ้น พอยิ้มก็มักจะทำให้ผู้อื่นตกตะลึงจนไม่อยากละสายตาไปที่อื่น
หากเสวี่ยเจียเยว่โตขึ้นกว่านี้ จะมีคนกี่มากน้อยเข้ามาสู่ขอถึงหน้าประตู เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะทำเช่นไร
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ แววตาของเสวี่ยหยวนจิ้งก็ยิ่งดุดัน มือที่เพิ่งคลายออกเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นกำแน่นอีกครั้ง
เสวี่ยเจียเยว่พลันมองเห็นร้านขายเกี๊ยวข้างทาง จึงรีบดึงแขนเสวี่ยหยวนจิ้งเข้าไปนั่งพร้อมกับเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ ข้าเลี้ยงเกี๊ยวนะเจ้าคะ”
เธอคิดว่าตอนนี้ค่ำแล้ว แต่ทั้งคู่ยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย หากกลับไปทำกับข้าวตอนนี้เกรงว่าจะเป็นเรื่องยุ่งยาก และวันนี้เสวี่ยหยวนจิ้งทำให้ร้านมีงานเข้ามาเป็นที่น่าพอใจ เธอจึงควรจะเลี้ยงอาหารเพื่อขอบคุณเขา
เสวี่ยหยวนจิ้งถูกลากไปนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง เห็นเสวี่ยเจียเยว่ยิ้มแย้มปานดอกไม้ผลิขณะสั่งเกี๊ยวสองชามกับเจ้าของร้าน หนึ่งชามใส่ต้นหอม อีกชามไม่ใส่
เสวี่ยเจียเยว่จำได้ว่าเขาไม่ชอบกินต้นหอม ความจริงแล้วอีกฝ่ายจำสิ่งที่เขาไม่ชอบได้ทั้งหมด
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกว่าทะเลสาบในหัวใจของเขาค่อยๆ กระเพื่อมขึ้นทีละน้อย และก่อตัวเป็นระลอกคลื่นใหญ่…
ทว่าเสวี่ยเจียเยว่กลับไม่รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร เมื่อเจ้าของร้านนำเกี๊ยวสองชามมาให้ เธอก็ผลักชามที่ไม่ใส่ต้นหอมไปตรงหน้าเสวี่ยหยวนจิ้ง และเอ่ยอย่างรวดเร็ว
“ท่านพี่ รีบกินเจ้าค่ะ”
เกี๊ยวที่เพิ่งออกจากหม้อยังคงร้อน ไอน้ำลอยขึ้นมาราวกับผ้าโปร่งที่กั้นกลางระหว่างพวกเขาทั้งสอง เมื่อมองเสวี่ยเจียเยว่ผ่านชั้นไอน้ำนี้ เสวี่ยหยวนจิ้งก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตนอยู่จริง สามารถจากไปได้ตลอดเวลา…
หัวใจของเขาเต้นระรัวขึ้นมาอย่างฉับพลัน ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้ามือเสวี่ยเจียเยว่อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันมีเสียงตะโกนขึ้นในใจเขาว่า แม่นางตรงหน้าไม่อาจไปจากเขาได้ และไม่ว่าบุรุษคนใดก็ไม่เหมาะสม แล้วเหตุใดถึงไม่ให้แม่นางผู้นี้อยู่เคียงข้างเขาตลอดไปเล่า ตราบใดที่เสวี่ยเจียเยว่อยู่ข้างๆ เขาก็สบายใจ
ความคิดนี้คล้ายกับคลื่นขนาดใหญ่ทำลายกำแพงที่เขาตั้งไว้ในใจตัวเองทันที
พวกเขาไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆ เมื่อก่อนมีชาวบ้านบอกว่าเอ้อร์ยาถูกเลี้ยงให้เป็นภรรยาของเขาอยู่แล้ว เมื่อนางโตขึ้นก็ต้องแต่งงานกับเขา
เมื่อนึกได้เช่นนั้น ในใจเขาก็เริ่มปั่นป่วน จับมือเสวี่ยเจียเยว่แน่นขึ้น และมือเขาก็สั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่
เสวี่ยเจียเยว่กำลังหยิบช้อนจะตักเกี๊ยว กลับถูกเสวี่ยหยวนจิ้งจับมือเอาไว้แน่นอย่างกะทันหัน จึงตกใจจนทำช้อนหลุดจากมือ
เธอสงสัยว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้น จึงรีบเงยหน้ามองเสวี่ยหยวนจิ้งและเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “ท่านพี่ เป็นอันใดไปเจ้าคะ”
ไอน้ำค่อยๆ จางหายไป เธอเห็นใบหน้าหล่อเหลาของเสวี่ยหยวนจิ้งแปลกไป คล้ายเขากำลังโล่งใจ ดีใจ และแน่วแน่กับอะไรบางอย่าง ราวกับว่าก่อนหน้านี้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆครึ้ม แล้วจู่ๆ ลมก็พัดพาเมฆดำเหล่านั้นหายไป เผยให้เห็นท้องฟ้าสดใสไร้เมฆมาบดบัง
ดวงตาของเขาเป็นประกายอย่างประหลาดจนเสวี่ยเจียเยว่อดตกใจไม่ได้ รู้สึกเหมือนเธอคือเหยื่อ และเขาเป็นเสือดาวที่ดุร้าย ตะปบเธอให้อยู่ใต้กรงเล็บอันแหลมคมจนไม่สามารถหนีไปที่ใดได้อีก
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกกระอักกระอ่วน เสียงที่เปล่งออกมาก็สั่นเครือ “ท่าน… ท่านพี่ ท่าน… ท่านเป็นอันใดเจ้าคะ”
หลังจากคลื่นขนาดใหญ่ผ่านไปแล้ว หัวใจของเสวี่ยหยวนจิ้งก็ค่อยๆ สงบลง ราวกับเหลือเพียงผิวทะเลสาบที่เปล่งประกายระยิบระยับ และมีเพียงระลอกคลื่นเล็กๆ ท่ามกลางสายลมใต้ดวงจันทร์เท่านั้น
เมื่อปัญหาที่รบกวนจิตใจติดต่อกันหลายวันได้รับการแก้ไข เขาก็รู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย รอยยิ้มบนใบหน้าเป็นธรรมชาติมากขึ้น
“ไม่มีอันใด” เขาปล่อยมือเสวี่ยเจียเยว่ แววตาเปลี่ยนเป็นอบอุ่นทันที “แค่อยากเตือนเจ้าว่าเกี๊ยวนี้ร้อนมาก รอให้เย็นก่อนค่อยกิน”
เสวี่ยเจียเยว่มองเขาด้วยความสงสัย เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เชื่อคำตอบของเขา แต่ยังไม่ได้เอ่ยถามอะไร ก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งโน้มตัวมาหาพร้อมกับหยิกแก้มเธอเบาๆ
“แล้วเจ้าคิดว่าเรื่องอันใดเล่า”
จากนั้นก็บอกอีก “เกี๊ยวไม่ร้อนแล้ว รีบกินเถอะ”
เสวี่ยเจียเยว่มองเขาครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบรับแล้วก้มหน้าก้มตากินเกี๊ยวของตน
แต่เธอยังรู้สึกแปลกๆ ในใจ เพราะท่าทางของเสวี่ยหยวนจิ้งเมื่อครู่นี้มีบางอย่างที่ต่างออกไป…
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้กินเกี๊ยวทันที แต่เขากลับเอาแต่จ้องมองเสวี่ยเจียเยว่ เห็นได้ชัดว่าในใจของอีกฝ่ายมองเขาเป็นเพียงพี่ชายเท่านั้น เขาจึงไม่อยากจะพูดเรื่องที่ตนคิด แต่นั่นก็ไม่สำคัญอันใด เพราะเขาจะคอยอยู่ข้างๆ เสวี่ยเจียเยว่ตลอดเวลา เมื่อถึงเวลาอีกฝ่ายจะรู้เรื่องนี้เอง
เมื่อนึกได้เช่นนั้น แววตาที่จ้องมองเสวี่ยเจียเยว่ก็เริ่มอ่อนโยนขึ้น
หลังจากกินเกี๊ยวเสร็จ ทั้งสองก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปตามทางที่จะกลับเรือน พวกเขามีท่าทีสนิทสนมกันเหมือนเดิม แต่ความจริงมีบางอย่างกำลังเปลี่ยนแปลงไป เพียงแต่เสวี่ยเจียเยว่ยังไม่รู้เท่านั้น อีกทั้งตอนนี้เธอก็ยุ่งเกินกว่าจะมาใส่ใจ
ก่อนหน้านี้เสวี่ยเจียเยว่รู้ดีว่าการเปิดร้านนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก เธอจึงเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าเมื่อถึงเวลาจริงๆ กลับพบว่าเป็นงานที่เหนื่อยทั้งกายและใจ เรื่องที่ต้องไตร่ตรองมีมากกว่าที่เธอคิดตอนเตรียมใจในครั้งแรกเสียอีก
เพราะมีเงินอยู่อย่างจำกัด เธอจึงยังไม่จ้างนายบัญชี แต่ทำหน้าที่นี้ด้วยตัวเอง ต้องรับผิดชอบเรื่องรับเงินจากลูกค้า จดบัญชี และดูแลเรื่องของในร้าน หากมีเวลาว่างเธอก็จะคิดแบบชุดใหม่ๆ ของสตรีและบุรุษ แล้วรีบวาดออกมา ก่อนจะให้คนนำภาพแบบชุดเหล่านั้นไปรวมกันเพื่อให้ดูได้สะดวกขึ้น ให้ลูกค้าได้ดูและตัดสินใจว่าจะทำเป็นชุดคลุมยาวหรือชุดกระโปรง
แบบชุดที่เธอวาดนี้แตกต่างจากชุดที่ผู้คนสวมกันทั่วไป การจับคู่สีก็ดูโดดเด่นกว่า อีกทั้งลายปักยังมีเอกลักษณ์ ทำให้ลูกค้าบอกต่อกันไปและมีลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาสั่งตัดชุดในร้านของเธอ ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้งจะเข้ามาช่วยในตำแหน่งนายบัญชี ทุกครั้งที่เขายืนอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน เมื่อมีสตรีเดินผ่านหน้าร้านก็ไม่อาจทนแรงดึงดูดของความหล่อเหลาได้ จนต้องพากันเดินเข้ามาในร้าน อันที่จริงพวกนางอยากจะมองเสวี่ยหยวนจิ้งให้ชัดเท่านั้น และเสวี่ยเจียเยว่จะใช้ให้เขานำภาพแบบชุดไปให้สตรีเหล่านั้นเลือก ส่วนตนก็ยืนเอ่ยชื่นชมความงามอยู่ข้างๆ
เมื่อมีเสวี่ยหยวนจิ้งผู้หล่อเหลาอยู่ตรงหน้า และแบบชุดเหล่านี้ดูแปลกใหม่แบบที่ไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อน ส่วนปากของเสวี่ยเจียเยว่เวลายกยอผู้คนก็หวานปานน้ำผึ้ง จึงมีสตรีจำนวนไม่น้อยที่หลงกล เมื่อเลือกเนื้อผ้าเสร็จแล้วก็จ่ายเงินมัดจำ ก่อนจะให้คนในร้านวัดตัว รออีกสองสามวันก็เข้ามารับชุดได้
ทุกวันผ่านไปโดยที่เสวี่ยหยวนจิ้งไม่พบสิ่งใดผิดปกติ จนกระทั่งวันหนึ่งเสวี่ยเจียเยว่ให้เขานำภาพแบบชุดไปให้สตรีนางหนึ่งดู นางหน้าแดงเรื่อและก้มศีรษะขยับสายคาดเอวของตนไปมาตลอดเวลา จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองเขาพลางเอ่ยเบาๆ ด้วยความเขินอาย ส่วนเสวี่ยเจียเยว่ยืนยิ้มจนตาหยีอยู่ข้างๆ โดยไม่เอ่ยคำใด ราวกับว่ามีความสุขมากเมื่อได้เห็นภาพนี้
ทันใดนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็เข้าใจแล้วว่าเกิดอันใดขึ้น ในใจเขาโมโหเป็นอย่างมาก แต่สีหน้ายังไม่เปลี่ยนไป จนกว่าแม่นางผู้นั้นจะเลือกแบบชุด เลือกเนื้อผ้า และจ่ายเงินมัดจำเรียบร้อย
หลังจากป้าเฝิงส่งนางออกจากร้าน เขาก็ดึงมือเสวี่ยเจียเยว่เข้าไปในห้องข้างในแล้วปิดประตู ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความไม่พอใจ
“เมื่อครู่นี้เจ้าเห็นข้าเป็นอะไรกันแน่”