ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 94 ความรู้สึกอันซาบซึ้ง
เก้าสิบสี่
ความรู้สึกอันซาบซึ้ง
เสวี่ยเจียเยว่ยังคงถือเงินมัดจำที่สตรีผู้นั้นให้มาเมื่อครู่ ในขณะที่เธอมีความสุข กลับคิดไม่ถึงเลยว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะเดือดดาลถึงเพียงนี้
ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้งเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งว่า เสวี่ยเจียเยว่ใช้ประโยชน์จากความหล่อเหลาของเขาทำให้ได้ลูกค้ามากขึ้น มิน่าล่ะ หลายวันก่อนอีกฝ่ายเอ่ยชมว่าเขามีหน้าตาหล่อเหลาไม่เหมือนใคร ไม่มีบุรุษใดเทียบได้ ที่แท้ก็คิดจะนำเรื่องนี้มาใช้ประโยชน์ในกิจการของตัวเอง
เสวี่ยเจียเยว่ผลักให้เขาไปอยู่ข้างกายสตรีอื่นได้อย่างไร ทั้งที่ตอนชายอื่นเข้าใกล้แม่นางน้อยในระยะหนึ่งจั้ง[1] เขาจะเดินไปขวางตรงหน้าทันที แต่นี่…
เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้คิดสนใจเขาแม้แต่น้อย เพราะหากสนใจเขาสักนิด อีกฝ่ายจะทำเช่นนั้นหรือ
อกของเสวี่ยหยวนจิ้งกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด สายตาที่มองเสวี่ยเจียเยว่นั้นราวกับซ่อนใบมีดอันคมกริบเอาไว้ก็ไม่ปาน
เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าชายหนุ่มเป็นคนฉลาด แน่นอนว่าเธอเองก็ไม่ได้โง่เขลา ดูท่าทางเสวี่ยหยวนจิ้งโกรธจนหน้าเป็นปลาปักเป้า บวกกับประโยคที่เขาเอ่ยถามมาเมื่อครู่ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายมองเจตนาของเธอออกแล้ว ถึงได้โกรธมากเช่นนี้ เขาคงอายมากกระมัง
แต่เธอมีวิธีมากมายที่จะจัดการกับความโกรธของเสวี่ยหยวนจิ้ง จึงไม่รู้สึกกังวลหรือร้อนใจ ก่อนจะรีบกอดแขนเขาและเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
“ท่านพี่ ท่านโกรธข้าหรือเจ้าคะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่เอ่ยคำใด สีหน้าของเขาบ่งบอกว่าโกรธจริงๆ และโกรธมากด้วย
ทว่าในความโกรธนั้นยังมีความไม่สบายใจและหงุดหงิดปนอยู่ เพราะเสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้สนใจเขาสักนิด…
เสวี่ยเจียเยว่หัวเราะก่อนจะเอ่ย “ท่านพี่ ท่านอย่าโกรธข้าเลย ข้าก็แค่… ก็แค่ให้ท่านนำภาพแบบชุดเหล่านั้นไปให้พวกนางดู ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะว่าท่านมีใบหน้าหล่อเหลา เมื่อพวกนางเห็นท่านก็หน้าแดงทุกครั้ง จนตกลงสั่งตัดชุดกับเราทันที มันไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเสียหน่อย”
ดังนั้นเรื่องนี้ต้องโทษเขาใช่หรือไม่
เสวี่ยหยวนจิ้งอยากจะหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ แต่เขาเลือกที่จะยิ้มอย่างเย็นชา “ครั้งหน้าหากมีลูกค้าเข้ามาในร้าน ข้าจะไม่นำภาพแบบชุดไปให้พวกนางดูแล้ว”
เรื่องนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ หากไม่มีเสวี่ยหยวนจิ้งคอยถือภาพแบบชุดเหล่านั้นให้พวกนางดู ที่ร้านจะมีงานมากมายเหมือนหลายวันที่ผ่านมาได้อย่างไร แต่ตอนนี้ชายหนุ่มกำลังโกรธเหมือนลูกแมวตัวน้อยขนฟู แน่นอนว่าจะขัดใจเขาไม่ได้ ได้แต่ตามใจเขาเท่านั้น เสวี่ยเจียเยว่จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ได้เจ้าค่ะ เช่นนั้นต่อไปหากมีลูกค้าเข้ามา ข้าจะนำภาพแบบชุดไปให้พวกเขาดูเอง ดีหรือไม่เจ้าคะ”
ขณะที่เสวี่ยหยวนจิ้งกำลังจะเห็นด้วย เขาก็นึกขึ้นได้ว่าหลายวันมานี้มีบุรุษเข้ามาในร้านอยู่หลายคน หากให้เสวี่ยเจียเยว่นำภาพแบบชุดไปให้พวกเขาดู…
เขาจึงรีบพูดขึ้นอีก “ต่อไปหากเป็นสตรีเจ้าก็นำภาพแบบชุดไปให้พวกนางดู แต่ถ้าเป็นบุรุษ ข้าจะนำไปให้พวกเขาดูเอง”
เสวี่ยเจียเยว่ไหนเลยจะคิดว่าเขามีความคิดเป็นอื่น แต่เธอก็ยังคงพยักหน้าตามน้ำไป ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าค่ะท่านพี่ ข้าเชื่อฟังท่านนะเจ้าคะ”
จากนั้นก็เขย่าแขนเขาแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเช่นเคย “ท่านพี่ ไม่ว่าท่านจะพูดอะไรข้าล้วนเชื่อฟัง ท่านหายโกรธข้าหรือยังเจ้าคะ”
แม้ว่าในห้องจะมีเพียงแสงสลัว แต่ชายหนุ่มก็มองเห็นรอยยิ้มที่สดใสของแม่นางน้อยได้ ไม่ว่าก่อนหน้านี้เสวี่ยหยวนจิ้งจะโกรธมากแค่ไหน ทว่าตอนนี้ความโกรธนั้นหายไปด้วยรอยยิ้มของเสวี่ยเจียเยว่
ขณะเดียวกัน… ท่าทางออดอ้อนของเสวี่ยเจียเยว่ก็ทำให้จิตใจของเขาไม่อาจสงบได้อีกต่อไป ใบหน้าหล่อเหลายังคงบึ้งตึง ก่อนจะถามเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จะหายโกรธได้อย่างไร เรื่องนี้จะปล่อยผ่านไปง่ายๆ ไม่ได้ ข้ายังโกรธเจ้าอยู่”
เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าชายหนุ่มยังโกรธจริงๆ เพราะการใช้เขาเป็นเหยื่อล่อสตรีเหล่านั้นเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนทะนงตัวสูงมาก ถ้าเขาโกรธเธอตลอดไปจะทำอย่างไร ในร้านยังต้องพึ่งพาเขาในการชักชวนสตรีเหล่านั้น
เธอไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขอร้อง “ท่านพี่ ข้ารู้ว่าข้าผิดจริงๆ ท่านอย่าโกรธข้าเลยนะเจ้าคะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกว่าเสียงของเสวี่ยเจียเยว่น่ารักและนุ่มนวล เสียงนั้นผ่านหูของเขาและพุ่งตรงเข้ามาในหัวใจ ราวกับมีแมวข่วนหัวใจของเขาเบาๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้รู้สึกคันยุบยิบ และร่างกายเขาก็แทบจะอ่อนยวบลง
เขาอดที่จะก้มหน้าลงมองอีกฝ่ายไม่ได้ และเห็นเสวี่ยเจียเยว่กำลังเงยหน้าขึ้น ใบหน้างดงามที่เต็มไปด้วยความน้อยใจและขอร้องนั้น ราวกับลูกแมวทำผิดก็ไม่ปาน ดูท่าทางน่าสงสารเช่นนี้ เขาจะโกรธลงได้อย่างไร
เสวี่ยหยวนจิ้งเอื้อมมือไปหยิกแก้มขาวนวลเบาๆ ก่อนจะกระซิบเสียงต่ำ “อือ ข้าไม่โกรธเจ้าแล้ว”
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจยิ่งนัก ชั่วขณะนั้นรอยยิ้มของเธอสดใสราวกับดอกไม้ผลิบาน และมีลักยิ้มที่แก้มทั้งสองข้าง
“ข้ารู้ว่าท่านพี่ใจดีที่สุด”
ทั้งที่น้ำเสียงของเธอไร้เดียงสา ทว่าใบหน้ากลับมีเสน่ห์ไม่น้อย เมื่อยิ้มแย้มก็สามารถดึงดูดคนมองให้หลงใหลได้ เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกเหมือนหัวใจของเขาถูกปัดด้วยขนนก จากนั้นก็อ่อนยวบลง จะให้เขาสงบจิตสงบใจได้เช่นไร
เขาอยากบรรจงจูบดวงตาที่เป็นประกายราวกับมีรอยยิ้มอยู่ภายในนั้น แก้มขาวผ่องและเนียนนุ่มทั้งสองข้าง รวมทั้งริมฝีปากที่โค้งขึ้นเล็กน้อย…
เสวี่ยหยวนจิ้งค่อยๆ ลดศีรษะลง จนกระทั่งใบหน้าอยู่ห่างกันเพียงคืบเดียว ลมหายใจของเขาก็เริ่มไม่คงที่ และหัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ราวกับว่าอีกไม่กี่อึดใจมันจะทะลุออกมาจากอกอย่างไรอย่างนั้น แต่ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจความผิดปกติของตัวเองเลย ต่อให้ต้องตายเขาก็อยากจะจูบเสวี่ยเจียเยว่ให้ได้
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง พร้อมกับป้าเฝิงเอ่ยถามเสียงดัง “ใครอยู่ในห้อง เหตุใดถึงลงกลอนประตู”
เสวี่ยหยวนจิ้งได้สติกลับมาอย่างรวดเร็วแล้วยืดตัวตรงทันที หัวใจก็เต้นรัวมากขึ้น อีกทั้งแผ่นหลังยังมีเหงื่อผุดซึมออกมา
เมื่อครู่เขาเกือบควบคุมตัวเองไม่ได้ หากจูบจริงๆ เกรงว่าเสวี่ยเจียเยว่อาจจะคิดว่าเขาเป็นเหมือนเสวี่ยหย่งฝูและเสวี่ยเหล่าซาน จนพานไม่เข้าใกล้เขาแล้วหนีไป
ชายหนุ่มโทษตัวเองอย่างรู้สึกผิด ก่อนจะมองหน้าเสวี่ยเจียเยว่ พอเห็นว่าอีกฝ่ายดูเหมือนไม่ได้สังเกตอาการผิดปกติของเขา ก็รู้สึกโล่งใจไม่น้อย
แต่อีกใจก็โมโหป้าเฝิง!
หากนางไม่เคาะประตู เขาคงได้จูบเสวี่ยเจียเยว่ไปแล้ว…
เสวี่ยเจียเยว่เดินไปเปิดประตู เมื่อป้าเฝิงเห็นว่าเป็นเธอกับเสวี่ยหยวนจิ้ง น้ำเสียงก็อ่อนลงทันที
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในกำแพงเรือนเดียวกัน แต่ตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งคือเจ้านายของนาง เปรียบเสมือนพ่อแม่ที่มอบเสื้อผ้าและอาหารให้ นางจะกล้าพูดคุยกับพวกเขาเช่นที่ผ่านมาได้อย่างไร
นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้ก็พวกเจ้านี่เอง เมื่อครู่ข้ากำลังตัดชุดที่เจ้าบอกให้ทำเมื่อหลายวันก่อน เห็นว่าไม่มีไหมสีฟ้า ข้าก็เลยจะเข้ามาดูในห้องนี้ว่ามีหรือไม่ หากไม่มีคงต้องออกไปซื้อที่ร้านขายไหมข้างนอก”
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยขึ้น “ข้ากับท่านพี่กำลังตรวจสอบจำนวนของในห้องนี้ ไหมสีฟ้าที่ท่านพูดมาเมื่อครู่นี้เหมือนข้าจะเห็นอยู่แถวนี้ น่าจะมีอยู่บ้าง ประเดี๋ยวข้าจะหยิบไปให้นะเจ้าคะ”
เธอกล่าวจบก็เดินไปค้นในตะกร้าหวาย หยิบไหมสีฟ้าออกมาสองสามม้วน ก่อนจะเอ่ยถามป้าเฝิง “ท่านว่าสีใดเหมาะเจ้าคะ”
ป้าเฝิงเลือกหยิบไหมสีฟ้าอ่อนแล้วเดินจากไป เสวี่ยเจียเยว่จึงนำส่วนที่เหลือกลับไปเก็บไว้ที่เดิม แล้วเรียกเสวี่ยหยวนจิ้ง “ท่านพี่ มานี่เจ้าค่ะ”
ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่พูดคุยกับป้าเฝิง เสวี่ยหยวนจิ้งก็พยายามข่มอารมณ์ที่วุ่นวายและซับซ้อนในหัวใจของเขาลงไป ยามนี้ชายหนุ่มกลับมาเป็นผู้เรียนที่มีหน้าตาหล่อเหลาของสำนักศึกษาไท่ชูอีกครั้ง
เขาขานรับก่อนจะเดินออกจากห้องอย่างช้าๆ และนั่งอยู่หลังโต๊ะคิดเงินกับเสวี่ยเจียเยว่
ตอนที่ไม่มีลูกค้าเข้ามาในร้าน เสวี่ยหยวนจิ้งจะนั่งอ่านตำรา เมื่อมีลูกค้าเข้ามา หากเป็นสตรีเสวี่ยเจียเยว่จะนำภาพแบบชุดไปให้นางได้เลือกดู และถามว่าอยากจะได้เนื้อผ้าแบบใด ถ้าเป็นบุรุษเสวี่ยหยวนจิ้งจะไปต้อนรับเอง แต่ชายหนุ่มไม่ถนัดทำเรื่องเช่นนี้ เขาเป็นคนพูดน้อย ใบหน้าก็เย็นชา แน่นอนว่าลูกค้าที่เข้ามาในร้านย่อมหวังว่าจะมีคนต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่น และพูดคุยเรื่องการตัดชุดอย่างมีความสุข แต่กลับพบชายหนุ่มที่เป็นเหมือนภูเขาน้ำแข็งรูปคนเดินได้ แล้วใครจะอยากตัดชุดที่นี่เล่า
เสวี่ยเจียเยว่ยืนมองด้วยความกังวล แต่เมื่อเธอคิดจะเข้าไปช่วย เสวี่ยหยวนจิ้งกลับห้ามเอาไว้ เพียงให้เธอรออยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินก็พอ ลูกค้าที่เป็นบุรุษสองคนสุดท้ายในวันนี้จึงผิดหวังไม่น้อยเพราะไม่ได้ตัดชุดที่นี่ พวกเขาเข้ามาดูแล้วเอ่ยถามสองสามประโยค จากนั้นก็เดินออกไป
เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าจะต้องจ้างคนมาชักชวนลูกค้าเข้าร้านโดยเฉพาะ เพราะถ้ามีงานในร้านมาก เธอก็จะยุ่งจนไม่สามารถปลีกตัวออกไปไหนได้ แต่เรื่องบัญชีเธอยังต้องควบคุมด้วยตัวเอง
เมื่อคิดเช่นนั้น เธอก็นึกถึงป้าหยาง
ป้าหยางเป็นคนที่พูดเก่งและรู้จักผู้คนเป็นอย่างดี มองปราดเดียวก็สามารถบอกความชอบของคนผู้นั้นได้ คงไม่มีใครเหมาะจะทำหน้าที่นี้มากไปกว่านางแล้ว อีกอย่าง… นางก็เป็นคนที่เธอรู้จักและไว้ใจ
เมื่อเธอนำความคิดนี้ไปปรึกษากับเสวี่ยหยวนจิ้ง เขาก็ตอบตกลงอย่างง่ายดาย
เดิมทีเขาเบื่อหน่ายการต้อนรับลูกค้า แต่ไม่อยากให้เสวี่ยเจียเยว่สนทนากับบุรุษใดทั้งสิ้น การมอบหน้าที่นี้ให้ป้าหยางจึงเป็นเรื่องดีที่สุด ทั้งสองคนปรึกษากันว่าจะกลับไปเจรจาเรื่องนี้กับป้าหยาง จากนั้นก็พูดถึงการแข่งขันจีจวีรอบชิงชนะเลิศ
เป็นไปตามที่เสวี่ยเจียเยว่คาดเอาไว้ หลายวันมานี้สำนักศึกษาไท่ชูผ่านเข้ารอบมาแล้วห้ารอบ ตอนนี้ได้เข้ารอบชิงชนะเลิศแล้ว สำนักศึกษาอีกแห่งที่ได้เข้ารอบก็คือสำนักศึกษาถัวเยว่
ตันหงอี้จำฝังใจเรื่องการสอบเข้าสำนักศึกษาเมื่อสองปีก่อน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาจึงอยากแข่งขันกับเสวี่ยหยวนจิ้งมาโดยตลอด และการแข่งขันจีจวีรอบชิงชนะเลิศก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการเช่นกัน
วันแข่งขันคือวันที่เก้าเดือนเก้าซึ่งตรงกับเทศกาลฉงหยาง ในสนามกว้างจึงเต็มไปด้วยดอกเบญจมาศ โดยผู้คนจะได้ชมการแข่งขันจีจวีรอบชิงชนะเลิศพร้อมกับชมดอกเบญจมาศ ตั๋วรอบนี้ขายหมดภายในเวลาไม่นาน และตั๋วของเสวี่ยเจียเยว่ก็ได้มาจากการที่เสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยขอกับอาจารย์ของเขาล่วงหน้า ในที่สุดก็แย่งชิงมาได้หนึ่งใบด้วยความยากลำบาก
เสวี่ยเจียเยว่เก็บตั๋วไว้ในถุงผ้าที่พกติดตัว เธอจับถุงผ้าเบาๆ แล้วเอ่ยกับเสวี่ยหยวนจิ้ง “ท่านพี่ ข้าเชื่อว่าสำนักศึกษาไท่ชูของท่านจะต้องชนะอย่างแน่นอน”
สำนักศึกษาไท่ชูจะชนะหรือไม่นั้น เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย แต่เมื่อเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่เชื่อมั่นในตัวเขาถึงเพียงนี้ ก็อดเม้มริมฝีปากไม่ได้ ในหัวใจเขาเต็มไปด้วยความสุข
++++++++++
พวกเขาทำงานอยู่ในร้านต่อ จนกระทั่งช่วงบ่ายป้าเฝิงก็มีธุระจึงขอกลับก่อน ก่อนที่นางจะออกไปก็มอบห่อผ้าให้เสวี่ยเจียเยว่
“นี่คือชุดกระโปรงที่เจ้าต้องการ”
เสวี่ยเจียเยว่รับมาด้วยสองมือ และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ลำบากป้าเฝิงแล้วเจ้าค่ะ”
ป้าเฝิงโบกไม้โบกมือ “ลำบากอันใดกัน ลายดอกไม้บนกระโปรงนั่นเจ้าเป็นคนปักเองทั้งหมด ข้าก็แค่ตัดชุดตามแบบที่เจ้าให้มาเท่านั้น”
จากนั้นก็เอ่ยอีกสองสามประโยคแล้วเดินออกจากร้านไป
เสวี่ยหยวนจิ้งมองห่อผ้านั้น ในใจก็อดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ จึงเอ่ยถามเสวี่ยเจียเยว่
“ในนี้เป็นชุดแบบใดหรือ”
เสวี่ยเจียเยว่เม้มริมฝีปากแล้วยิ้ม ก่อนจะกอดห่อผ้าเอาไว้และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เมื่อถึงเวลาท่านพี่ก็จะรู้เองเจ้าค่ะ”
[1] หน่วยวัดความยาวของจีน โดยที่ 1 จั้ง ยาวประมาณ 3.33 เมตร