ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 112 จัดอันดับอัจฉริยะแห่งแคว้นจื่อเยี่ย
วันนี้จินอู๋ถางกำลังจะจัดการประลองอีกครั้ง นั่นก็คือการประลองเพื่อจัดอันดับผู้เป็นอัจฉริยะใหม่แห่งแคว้นจื่อเยี่ย
ผู้ที่สามารถเข้าร่วมแข่งขันการประลองนี้ได้ จะต้องมีอายุไม่เกินสามสิบปี ไม่ว่าจะเป็นสามัญชนคนธรรมดา ตระกูลขุนนาง หรือเชื้อพระวงศ์ก็สามารถเข้าร่วมการประลองนี้ได้
เวลานี้ ผู้ที่ทุกคนพูดถึงมากที่สุดคงไม่พ้นท่านผู้นำตระกูลมู่ มู่เฉียนซี ทุกคนคาดเดากันไปต่าง ๆ นานาว่าครั้งนี้ หากไม่มีอะไรผิดพลาด ตำแหน่งผู้เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งแคว้นจื่อเยี่ยต้องตกเป็นของมู่เฉียนซีแน่นอน
ก่อนที่การประลองจะเริ่มขึ้น จินอู๋ถางจัดเตรียมสถานที่ประลองเรียบร้อยแล้ว ทันใดนั้น มีแขกคนพิเศษมาขอเข้าพบกับหัวหน้าของจินอู๋ถาง “ท่านหัวหน้า ข้าต้องการให้ท่านจัดการประลองให้ข้าได้ประลองกับมู่เฉียนซี เช่นนั้นมีความเป็นไปได้หรือไม่ ?”
“ว่าอย่างไรนะ ?! ท่านจะประลองกับผู้นำตระกูลมู่รึ ?”
ท่านหัวหน้ารู้สึกว่าสตรีผู้นี้ต้องบ้าไปแล้วเป็นแน่ที่กล้าเสนอตัวประลองกับท่านผู้นำตระกูลมู่ มู่เฉียนซี เยี่ยงนี้
“รีบจัดการตามที่นางขอเถอะ” เสียงอันนิ่งสงบดังขึ้นทันใด
“ขอรับ!” ถูกกลิ่นอายความกดดันแผ่ปกคลุม จำเป็นต้องตกปากรับคำ
สายตาของสตรีผู้นี้เปล่งแสงเย็นวาบที่น่ากลัวขึ้น ในใจคิดพิโรธ ‘มู่เฉียนซี เจ้าเจอดีแน่!’
ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส สายลมพัดไสวเบา ๆ ผู้ที่อยู่ในสิบอับดับแรกไม่ต้องประลองรอบคัดเลือกแต่อย่างใด การประลองในรอบคัดเลือกนั้นเป็นไปอย่างดุเดือด คุณชายรองแห่งตระกูลเยวี่ยจัดเป็นอีกหนึ่งผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเข้ารอบต่อไปได้
“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ ข้าเข้ารอบแล้ว!” เยวี่ยซู่กล่าว ความตื่นเต้นฉายชัดไม่ปกปิด
เยวี่ยเจ๋อกล่าว ส่งรอยยิ้มอ่อนให้ผู้เป็นน้องชาย “ดี สู้ต่อไป”
และผู้ที่ผ่านเข้ารอบทั้งยี่สิบเก้าคน ก็ได้เข้าประลองกันในรอบสุดท้าย อัจฉริยะทั้งสิบและมู่เฉียนซีปรากฏตัวในลานประลอง มีการจับสลากเลือกคู่ประลองในงาน เมื่อการจับสลากเริ่มขึ้น ผู้โชคร้ายผู้หนึ่ง เมื่อได้เห็นชื่อคู่ประลองแทบอยากร่ำไห้ออกมา
“อ๊า! ท่านผู้นำตระกูลมู่ ม่ายยยย!”
ความแข็งแกร่งของเขานั้นสู้ไม่ได้เลย เขาเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับหก ขืนต่อสู้กับมู่เฉียนซีเท่ากับเป็นอาหารให้นาง เมื่อการประลองเริ่มขึ้น เขายกมือยอมรับความแพ้พ่ายมิคิดลองก่อนแม้เพียงเวลาหนึ่งเฟิน
คู่ประลองคนถัดไปของมู่เฉียนซีคือเยวี่ยซู่
เยวี่ยเจ๋อยิ้ม ตะโกนให้กำลังใจน้องชาย “ตั้งใจล่ะ!”
บนเวทีประลอง เยวี่ยซู่มองมู่เฉียนซีอย่างประหม่า ทำอะไรไม่ถูก มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เยวี่ยซู่ คราก่อนเจ้าต่อข้าก่อนสามกระบวนท่า ครานี้ข้าต่อให้เจ้าก่อนสามกระบวนท่าเป็นอย่างไร ?”
เยวี่ยซู่ประหลาดใจ “เจ้าแน่ใจรึ ? เจ้าอย่าประมาทคู่ต่อสู้ไป”
นางกล่าวอย่างเฉยเมย “ข้าแน่ใจ”
“เช่นนั้นข้าลงมือแล้วนะ!” เยวี่ยซู่เป็นฝ่ายเริ่มก่อนสามกระบวนท่าอย่างมั่นใจ เขาพร้อมที่จะใช้โอกาสนี้จู่โจมทันที
เยวี่ยซู่มิเห็นสายตาขอความเห็นใจจากพี่ชายตนเองเลย ความแข็งแกร่งห่างกันมากเพียงนี้ ต่อให้พี่ใหญ่จะต่อให้น้องชายตนก่อนสามกระบวนท่า ก็คงมิอาจสู้พี่ใหญ่ได้
“กระบวนท่าแรก” ร่างของเยวี่ยซู่ดุจดั่งเสือพุ่งเข้าหามู่เฉียนซี
— ตูม! —
เสียงดังขึ้น เยวี่ยซู่พลาดเป้า เขากล่าวไม่พอใจ “อีกครั้ง!”
— ตูม! —
ก็ยังพลาด…
“กระบวนท่าสุดท้ายแล้ว ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะโจมตีไม่โดนตัวเจ้า!” กระบวนท่าสุดท้ายนี้เยวี่ยซู่ระเบิดพลังทั้งหมดออกมา น่าเสียดายที่ความแข็งแกร่งระหว่างทั้งสองห่างชั้นกันเกินไป
ร่างสีม่วงของมู่เฉียนซีกะพริบ ในชั่วพริบตาเดียว นางเข้าไปประชิดร่างเยวี่ยซู่ กล่าวด้วยใบหน้ามีรอยยิ้มบาง “เยวี่ยซู่ สามกระบวนท่าของเจ้าหมดลงแล้ว การประลองสิ้นสุดลงแล้ว”
— ตูม! —
กล่าวจบร่างเยวี่ยซู่ลอยไปยังเวทีประลอง ผู้ชมดูเห็นภาพเหตุการณ์ ต่างพากันอ้าปากค้างตกตะลึง “แข็งแกร่งยิ่งนัก! ท่านผู้นำตระกูลมู่นับวันยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ”
“จอมภูตระดับหนึ่ง นางเป็นอัจฉริยะอายุน้อยที่สุดคนแรกแห่งแคว้นจื่อเยี่ยที่เป็นถึงจอมภูต”
“ดูเหมือนว่าตำแหน่งอัจฉริยะอันดับหนึ่งคงหนีไม่พ้นนาง”
มู่เฉียนซีกลับเข้าไปที่โต๊ะรับรอง กล่าวอย่างหน่ายใจ “ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก จินอู๋ถางปลิ้นปล้อนเกินไปแล้ว”
“ใครให้ทุกคนอยากประลองกับพี่ใหญ่เล่า ?” เยวี่ยเจ๋อกล่าวยิ้ม ๆ
หลังจากที่ผ่านการประลองไปสองรอบ ในที่สุดทั้งสิบคนก็ได้เข้าสู่การแข่งขันในรอบสุดท้าย เป็นเพราะการเข้าอันดับของมู่เฉียนซี อัจฉริยะคนที่สิบจึงต้องออกจากสนามไปโดยปริยาย ส่วนอัจฉริยะทั้งเก้าคนยังคงอยู่ รักษาสถานะเดิมเอาไว้ได้
การจัดอันดับอัจฉริยะในครั้งนี้ เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจในหมู่ผู้คน ในที่สุดผลการจับสลากก็ออกมา
“การประลองคู่แรกเป็นการประลองระหว่างมู่เฉียนซีกับโอวหยางเหว่ย”
โอวหยางเหว่ยเป็นคู่ประลองที่พ่ายแพ้แก่มู่เฉียนซีในคราก่อน เมื่อก่อนความแข็งแกร่งของมู่เฉียนซีมิอาจเทียบโอวหยางเหว่ยได้ ตอนนี้ความแข็งแกร่งของนางนั้นพัฒนาก้าวกระโดดจนน่าแปลกใจ
การประลองครั้งนี้เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก!
มู่เฉียนซีเหลือบมองโอวหยางเหว่ยในชุดแดงชุดใหม่ ก่อนจะกล่าวขึ้นเสียงเยียบเย็น “เจ้าจะลงไปเองหรือจะให้ข้าส่งเจ้าลงไป ?”
โอวหยางเหว่ยได้ยินวาจาเย่อหยิ่งพลันกรุ่นโกรธ “มู่เฉียนซี! เจ้าอย่าตัดสินเร็วเกินไป แน่ใจรึว่าครานี้จะชนะข้าได้ ?”
— ตูม! —
พลังวิญญาณของโอวหยางเหว่ยระเบิดออกมาในฉับพลัน ใบหน้าบูดบึ้งยับยู่ยี่แทบไม่เหลือความงาม ทุกคนมองภาพตรงหน้า หลายคนกล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจยิ่ง “ไม่น่าเชื่อ! เวลาเพียงไม่นานโอวหยางเหว่ยแข็งแกร่งขึ้นถึงเพียงนี้ได้”
เสียงโอวหยางเหว่ยลุกโชนขึ้นราวไฟที่กำลังโหมกระหน่ำ นางชักกระบี่ยาวออกมาเฉือนในอากาศ ท่าทางแข็งแกร่ง
“กระบี่พิฆาต!”
สำหรับมู่เฉียนซี ความแข็งแกร่งยังห่างชั้นกันมาก นางใช้พลังอันแข็งแกร่งของตน ทว่ามิได้เคลื่อนไหวมากมายนัก มือบางเคลื่อนไหวเบา ๆ เสียงอันมั่นใจตะโกนขึ้น
“โล่วิญญาณวารี!”
พลังกระบี่พิฆาตโดนคลื่นวารีอันอ่อนโยนนั้นสกัดกั้นไว้ได้
“นี่เป็นความแตกต่างระหว่างผู้บำเพ็ญภูตกับจอมภูต คุณหนูใหญ่โอวหยางมิอาจเอาชนะได้”
“จริงแท้! มิใช่ทุกคนที่จะเปลี่ยนไปมากเหมือนท่านผู้นำตระกูลมู่ผู้นี้ ความท้าทายอย่างก้าวกระโดดนี้ง่ายดายสำหรับนางนัก”
ความแข็งแกร่งนี้ของมู่เฉียนซีเกินความคาดหมายของโอวหยางเหว่ย โอวหยางเหว่ยกัดฟันแน่น ‘ไม่ได้! ไม่ได้เด็ดขาด ต่อให้ต้องตายข้าก็จะลากเจ้าลงนรกไปกับข้าด้วย!’
โอวหยางเหว่ยพุ่งเข้าหามู่เฉียนซีอีกครั้ง ขณะเดียวกันมู่เฉียนซีรวบรวมพลังวิญญาณวารีเข้าด้วยกันพลันพุ่งร่างไปที่โอวหยางเหว่ย
“ห่าฝนบุปผา!”
— ซ่า! —
เมื่อเผชิญกับการโจมตีของมู่เฉียนซี โอวหยางเหว่ยไม่หลบหลีก นางพุ่งไปหามู่เฉียนซีโดยตรง อึดใจต่อมาเสื้อผ้าอาภรณ์โอวหยางเหว่ยฉีกขาด เผยให้เห็นชุดเกราะสีทองอ่อนภายใน
“สวรรค์! นั่นมันเกราะวิญญาณ! คิดไม่ถึงเลยว่าคุณหนูใหญ่โอวหยางจะเตรียมสิ่งนี้มาด้วย”
“นางเผยเกราะวิญญาณประชิดตัวมู่เฉียนซีเช่นนี้ตั้งใจจะต่อสู้ระยะประชิดรึ ?”
ลมฝ่ามือที่รุนแรงของโอวหยางเหว่ยชิดร่างมู่เฉียนซีมากเสียจนมู่เฉียนซีต้องพัวพันอยู่กับการต่อสู้ระยะประชิดอย่างรวดเร็ว ฝีมือต่อสู้ระยะประชิดของโอวหยางเหว่ยนั้นยอดเยี่ยมยิ่งนัก
— ปัง! —
มีดจำนวนนับไม่ถ้วนของมู่เฉียนพุ่งไปอย่างน่าสังเวช ทำให้ร่างของโอวหยางเหว่ยล้มลงไปกับพื้นทันที จากนั้นไม่นาน นางลุกขึ้นมาอย่างยากลำบากก่อนจะกล่าวว่า… “ยัง! ข้ายังไม่แพ้!”
นางพุ่งเข้าหามู่เฉียนซีอีกครั้งอย่างบ้าคลั่งเพื่อต่อสู้กับมู่เฉียนซีในระยะประชิด นางบาดเจ็บไปทั่วทั้งร่างกายทว่ายังคงกัดฟันสู้เอาเป็นเอาตาย นางรู้ตัวเองดีว่าพลังวิญญาณของนางมิอาจสู้มู่เฉียนซีได้ จึงตัดสินใจต่อสู้ในระยะประชิดอย่างที่ตนถนัด
แสงสลัววาบผ่านดวงตาดำขลับของมู่เฉียนซี ทุกครั้งที่โอวหยางเหว่ยลงมือจู่โจมนาง ฝ่ามือนางรับรู้ได้ถึงพลังบางอย่างในขณะที่ทั้งสองกำลังต่อสู่กันอยู่ ทว่าคนอื่น ๆ มิสามารถรับรู้ได้ถึงพลังที่ลึกลับเช่นนี้
ในฐานะที่นางเป็นนักปรุงยา มู่เฉียนซีรับรู้ได้อย่างชัดเจน แม้กระทั่งผงยาที่ผสมอยู่ในพลังนั้น นางก็สามารถวิเคราะห์ได้เช่นกัน
โอวหยางเหว่ยต้องการปลิดชีพนางในเวทีการประลองนี้…
สตรีร่างแดงลอบกัดน่ารังเกียจนี่ รนหาที่ตายแล้ว!
.