ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1217 คู่หูแกร่งนัก
พวกเขาได้เข้าไปยังในมิติที่คุ้นเคยอีกครั้ง แต่ทันทีที่เข้าไป สิ่งที่พวกเขาเผชิญนั่นก็คือกลิ่นอายแห่งการฆ่าฟันที่น่าหวั่นพรึง
เคร้ง!
ด้วยพลังจิตอันเข้มแข็งพอนั้นทำให้มู่เฉียนซีมีการตอบสนองที่รวดเร็ว!
ปัง! หลังจากที่ป้องกันการโจมตีแล้ว มู่เฉียนซีกับกู้ไป๋อีก็ได้รีบถอยร่นไป
ที่เบื้องหน้านั้นก็เป็นคนสองคนเช่นกัน หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี รูปลักษณ์ของทั้งสองนั้นแทบจะเหมือนกันไม่ผิด จะแตกต่างกันก็แต่เพียงเพศเท่านั้น
“พี่ชาย! บุรุษรูปงามชุดขาวนั้นมอบให้ท่านจัดการแล้ว ข้าจะไปจัดการเด็กสาวผู้นั้น!”
ร่างกายของสตรีผู้นั้นพลิ้วไหวเป็นอย่างมาก นางพุ่งไปทางมู่เฉียนซีอย่างรวดเร็วประหนึ่งวิญญาณก็มิปาน
บึ้ม! บึ้ม! บึ้ม! ร่างของบุรุษผู้นั้นแข็งแรงกำยำมาก ทุกครั้งที่สะบัดฟาดกระบี่ลงไปล้วนแต่เกิดเสียงระเบิดอันน่าหวาดกลัว
กระบี่ของกู้ไป๋อีปะทะเข้ากับกระบี่ของเขาและระเบิดเป็นประกายไฟออกมา
ทั้งสองนั้นปะทะกันอย่างเรียบง่ายและหยาบกร้าน!
เมื่อเผชิญการโจมตีอย่างฉับพลัน มู่เฉียนซีก็ทำได้เพียงหลบหลีกไป
สตรีตรงหน้าเอามือกุมปากของตัวนางเองแล้วกล่าวขึ้น “ดูท่าจะพลาดเสียแล้ว สัมผัสพลังจิตของแม่นางนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก! นี่ก็ถูกเจ้าตรวจพบเข้าเสียแล้ว”
“เงาจันทราคู่!” มู่เฉียนซีสะบัดกระบี่ออกไปพลัน
สตรีในชุดสีดำทำราวกับเต้นระบำก็มิปานและหลบการโจมตีของเงาจันทราคู่ไปพร้อมทั้งโจมตีใส่มู่เฉียนซีอีกครั้ง
มู่เฉียนซีหลบหลีกไปอย่างร้อนรน
ซึบ! กระบี่ของสตรีผู้นั้นได้กรีดถากหน้าอกของมู่เฉียนซีบาง ๆ มีโลหิตซึมออกมาเป็นสายจากผิวที่ขาวประหนึ่งหิมะ
“น่าเสียดายไปหน่อย ถ้าหากว่าเจ้าช้าไปอีกสักนิดเจ้าก็จะถูกย้อมไปด้วยเลือดแดงฉานแล้ว!”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าจะไม่ให้โอกาสเจ้า!”
ความรวดเร็วของสตรีผู้นั้นเร็วกว่ามู่เฉียนซี ส่วนมู่เฉียนซีก็มีปฏิกิริยาตอบรับที่รวดไว ทั้งสองประมือกันอยู่หลายกระบวนท่า
สตรีในชุดสีดำยิ้มแล้วกล่าว “สัญชาตญาณของข้ามันบอกว่า ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดที่มีเลย! ดูแคลนข้ารึ?”
ในตอนนี้เสื้อผ้าส่วนมากของมู่เฉียนซีได้ถูกสตรีผู้นี้ฟันเสียจนกลายสภาพเป็นขาดวิ่น นางกล่าว “แน่นอนว่าข้าได้ใช้กำลังทั้งหมดแล้ว มิเช่นนั้นจะถูกเข้าโจมตีเสียจนน่าสมเพชเช่นนี้หรือ?”
ถ้าหากใช้กระบี่มังกรเพลิง พลังในการต่อสู้ของนางก็จะแข็งแกร่งกว่านี้อยู่บ้าง
แต่ทว่าไอ้ดาวซวยพิฆาตวิญญาณนั่นอยู่ในเมืองเหยียนแห่งนี้ นางจะไม่เปิดเผยตัวตนออกมาอย่างแน่นอน
ดวงตาของสตรีชุดดำผู้นั้นสาดแสงออกมา “รึว่าความรู้สึกของข้านั้นมีปัญหา? แต่ว่าเจ้ากับกระบี่ในมือของเจ้านั้นดูเหมือนจะมีความเข้ากันได้ไม่สูงนักนี่!”
พวกมันไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นทาสที่คอยปกปักษ์คุ้มครองกระบี่ มันจึงไวต่อความรู้สึกในความสัมพันธ์ระหว่างผู้เป็นนายและตัวกระบี่
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยเสียงทุ้ม “ดูเหมือนว่าเจ้าจะยุ่งย่ามมากเกินไปแล้ว”
“เงาเหมันต์จันทรา!”
ปัก ปัก ปัก!
“นำกระบี่ที่เจ้าใช้เป็นประจำออกมา บางทีอาจจะยังเป็นคู่ต่อสู้ของข้าอยู่บ้าง มิเช่นนั้นแล้ว…” สตรีชุดดำกล่าวอย่างดุร้าย
“ใช้กระบี่เล่มนี้ก็พอที่จะสามารถหยุดยื้อเจ้าเอาไว้ได้แล้ว!”
ใช่แล้ว สิ่งที่มู่เฉียนซีต้องทำคือถ่วงเวลาสตรีผู้นี้เอาไว้ เพราะว่า…
สตรีชุดดำร้องเรียกเสียงแหลมขึ้นมา “พี่ชาย…”
อีกด้านหนึ่ง กระบี่ของกู้ไป๋อีกำลังปะทะกับกระบี่ของบุรุษผู้นั้น
แกร๊ง! เสียงหนึ่งดังขึ้น กระบี่ของกู้ไป๋อีได้หักออก แต่ปลายกระบี่ที่แตกหักออกไปนั้นกลับเหมือนมีชีวิตก็มิปาน มันแทงทะลุขั้วหัวใจของบุรุษผู้นั้น!
ส่วนกระบี่ของฝ่ายตรงข้ามก็ได้ฟันผ่านข้างหูของกู้ไป๋อีและตัดเส้นผมของเขาไปอยู่หลายเส้น
มันดูเหมือนน่าหวาดเสียวแต่กู้ไป๋อีกลับไม่ได้รับบาดเจ็บเลย!
ในตอนที่สตรีชุดดำกำลังเหม่อลอยอยู่นี่เอง กระบี่ที่หักเป็นสองท่อนเล่มนั้นก็ได้ไปปรากฏอยู่ที่ด้านหลังของสตรีผู้นั้น เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไปอยู่เป็นเพื่อนเขาได้แล้ว!”
ฉึก!
หลังจากที่จัดการสองคนนั้นไปได้แล้ว กู้ไป๋อีก็หันไปมองยังมู่เฉียนซีแล้วกล่าว “เจ้าได้รับบาดเจ็บเสียแล้ว!”
มู่เฉียนซีกล่าว “แค่เพียงบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ไม่เป็นไร!”
“บาเจ็บเล็กน้อยก็คือบาดเจ็บ! รีบรักษาเร็วเข้า!”
เมื่อพวกเขาถูกส่งตัวไปยังชั้นที่สาม มู่เฉียนซีก็ได้รีบใส่โอสถให้ตนเองพร้อมทั้งเปลี่ยนไปใช้ชุดขอทานนั้นของนิรันดร์
เมื่อนางออกมาก็มองเห็นเสี่ยวไป๋ถือกระบี่ที่หักเล่มนั้นอย่างเหม่อลอย เขาเอ่ยขึ้น “การทดสอบในชั้นที่สามนี้แม้ว่าข้าจะชนะแล้ว แต่กลับทำกระบี่เฉียนหานที่ซีเอ๋อร์มอบให้ข้าหักเสียแล้ว”
“มันเป็นแค่เพียงอาวุธวิญญาณธรรมดาเล่มหนึ่งเท่านั้นเอง ชั้นที่สามนี้มีอาวุธวิญญาณอยู่ไม่น้อย เจ้าเลือกเอาได้ตามสบาย”
ทุก ๆ ชั้นล้วนแต่มีรางวัลให้ แน่นอนว่านางได้เก็บมันไปทั้งหมดอย่างไม่เกรงใจ อาวุธวิญญาณบนตัวที่นางมีในตอนนี้มากกว่ายาเม็ดเสียอีก ปรมาจารย์เหยียนผู้นั้นช่างเป็นปีศาจหลอมอาวุธที่บ้าคลั่งเสียจริง
กู้ไป๋อีกล่าว “เมื่อเทียบกับกระบี่ชั้นสูงแล้ว ข้าอยากได้กระบี่ที่เข้ากันได้กับข้าสักเล่มเสียมากกว่า กระบี่เฉียนหานนั้นเข้ากันกับข้าเป็นอย่างมาก”
มู่เฉียนซีเก็บกระบี่เฉียนหานขึ้นมาแล้วกล่าว “หอหมื่นกระบี่นี้คงจะยังมีทักษะลับในการหลอมอาวุธอยู่อีกบ้าง รอจนเสร็จสิ้นเรื่องในครั้งนี้ ข้าจะพัฒนาทักษะการหลอมอาวุธเสียหน่อย จะช่วยเจ้าหลอมกระบี่เฉียนหานขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง”
ดวงตาของกู้ไป๋อีที่เดิมทีกำลังซึมเศร้าอยู่นั้นได้ฉายประกายวาบออกมาพร้อมหยักหน้าแล้วกล่าว “ตกลง!”
“บอกกันไว้ก่อนเลยว่าทักษะการหลอมอาวุธของข้านั้นห่างไกลกับทักษะการปรุงยามากนัก ขั้นสูงสุดที่สามารถหลอมออกมาได้ในตอนนี้ก็คืออาวุธวิญญาณระดับเก้า ถ้าหากว่าหลอมออกมาแล้วปราณวิญญาณกระบี่เข้ากับเจ้าไม่ได้ เจ้าจงอย่าได้เห็นแก่หน้าข้าแล้วไม่ยอมเปลี่ยนกระบี่”
“ข้าเชื่อในกระบี่ที่ซีเอ๋อร์หลอมออกมา มันจะต้องเข้ากับข้าได้อย่างดีเป็นแน่!”
กู้ไป๋อีเพิ่งจะกล่าวจบเสียงอันคุ้นเคยเสียงนั้นก็ได้ลอยเข้ามา
“ตั้งแต่ชั้นที่สี่จนถึงชั้นที่หกเป็นการทดสอบหลอมอาวุธ พวกเจ้าจงเลือกผู้หนึ่งเพื่อเข้าร่วมการทดสอบ หรือไม่ก็ไปทั้งสองคน”
มู่เฉียนซีตะลึงค้าง “หลังจากทดสอบกระบี่เสร็จก็เป็นการทดสอบหลอมอาวุธเสียแล้ว เสี่ยวไป๋เจ้าไม่ใช่นักหลอมอาวุธ ข้าไปเพียงคนเดียวก็ได้แล้ว”
กู้ไป๋อีกล่าว “อื้ม!”
มู่เฉียนซีถามขึ้น “ถ้าหากตอนนี้ไปทดสอบเพียงคนเดียว เช่นนั้นแล้วเขาจะเป็นเช่นไร?”
“เจ้าเป็นนักหลอมอาวุธ เขาเป็นผู้คุ้มครองกระบี่ ขอแค่เพียงเจ้าผ่านการทดสอบในชั้นนั้นเขาเองก็จะถูกส่งตัวขึ้นไปด้วย”
“เช่นนั้นก็ดี ข้ายอมรับการทดสอบ!”
มู่เฉียนซีหันหัวกลับไปมองกู้ไป๋อีแล้วกล่าว “เสี่ยวไป๋ นี่เป็นการทดสอบหลอมอาวุธมิใช่การทดสอบปรุงยา เกรงว่าคงจะต้องใช้เวลาอยู่ไม่น้อย! ถ้าหากว่าระยะเวลาที่เจ้ารอคอยค่อนข้างนานก็ไม่ต้องเป็นห่วงข้า”
กู้ไป๋อีพยักหน้ากล่าว “อื้ม! ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ดีที่จะรับรู้เข้าใจในกระบี่ ในตอนที่ข้ารอเจ้าข้าจะทำความเข้าใจในเจตจำนงของกระบี่ ซึ่งข้าก็คงจะไม่ได้สนใจระยะเวลาว่าผ่านไปนานเท่าใดเช่นกัน”
“เช่นนั้นก็ดี!”
หลังมู่เฉียนซีถูกส่งตัวไปยังห้องหลอมอาวุธ เสียงนั้นก็กล่าวขึ้น “การทดสอบของพวกเราหอหมื่นกระบี่ยังคงมีความเป็นมนุษย์เป็นอย่างมาก เราจะไม่ให้เจ้าทำการทดสอบที่ไม่มีทางทำสำเร็จอย่างแน่นอน ทั้งหมดนั้นจะถูกจัดการชี้นำโดยอายุและพลังความสามารถ”
ดวงตาของมู่เฉียนซีส่องประกายออกมา “อายุและพลังความสามารถ ไม่ต้องทดสอบพลังจิตหรือ?”
“หลังทดสอบทั้งสองสิ่งนั้นเสร็จแล้วพลังจิตเองก็จะถูกประเมินอย่างแน่นอน จึงไม่จำเป็น!”
มุมปากของมู่เฉียนซียกขึ้นเบา ๆ ถ้าหากเป็นเช่นนี้ละก็ดูเหมือนจะไม่ได้ยากเย็นเหมือนดั่งที่คิดเอาไว้
อายุนี้ของนางในทั่วทั้งโลกสี่ทิศนี้ ด้วยพลังความสามารถของนักหลอมอาวุธนี้อย่างสูงที่สุดก็คงไม่ถึงอาวุธวิญญาณขั้นปฐพี
ถึงต่อให้ปรมาจารย์เหยียนท่านนี้มีมาตรฐานที่สูงเสียหน่อย คาดว่าก็คงจะไม่สูงจนเกินจริงไป
“ตอนนี้สามารถทดสอบได้หรือยัง?”
มู่เฉียนซีพยักหน้ารับ “ได้สิ!”
“อายุสิบเจ็ดปี!”
“พลังความสามารถ จักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เจ็ด!”
จากนั้นก็เกิดเสียงร้องแหลมลอยมา “เป็นไปได้อย่างไร? อายุเจ้าน้อยเช่นนี้อีกทั้งยังอ่อนแอเช่นนั้นจะผ่านการทดสอบทั้งสามด่านก่อนหน้ามาได้อย่างไร”
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “นั่นก็ช่วยไม่ได้ ใครให้คู่หูของข้าแข็งแกร่งเกินไปเล่า!”
ถ้าหากกู้ไป๋อีมิได้อยู่ด้วย ทั้งสามด่านก่อนหน้านั้นก็ไม่อาจที่จะผ่านมาได้เลย
“ก็ใช่ นักหลอมอาวุธที่ยิ่งใหญ่จะมีผู้คุ้มครองกระบี่ที่แข็งแกร่งผู้หนึ่งก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่ทว่าพรสวรรค์ในการหลอมอาวุธของเจ้าไม่แข็งแกร่งพอ คงถูกกำหนดไว้ให้ตกรอบแน่!”