ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1250 นายน้อยแห่งตำหนักเป่ยหาน
“มาฆ่าเจ้ายังไงล่ะ!” กระบี่เฉียนหานถูกชักออกมาจากฝัก กระบี่นี้เต็มไปด้วยจิตสังหารพลางชี้ไปที่ไป๋อู๋ห่าย
ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “กู้ไป๋อี ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสยังไม่หายดี เจ้าลงมือตอนนี้ มันจะไม่เป็นการฉวยโอกาสไปหน่อยเหรอ”
“เงาจันทราหนาวเหน็บ!” กู้ไป๋อีไม่ได้สนใจคำพูดไร้สาระของเขาและลงมือทันที
หากเป็นเมื่อก่อน เขาเพียงแค่ต่อสู้อย่างบริสุทธิ์เพื่อความแข็งแกร่งเท่านั้น ไม่มีทางลงมือกับคนที่บาดเจ็บเช่นนี้เด็ดขาด
ทว่า ตอนนี้เขาไม่ได้มาเพื่อต่อสู้ แต่มาเพื่อแก้แค้น!
ฉึก! กระบี่ฟันลงบนร่างของไป๋อู๋ห่าย และรอยเลือดก็ปรากฏขึ้น
ไป๋อู๋ห่ายในตอนนี้อารมณ์โกรธก็พลุ่งพล่านขึ้นแล้ว “กู้ไป๋อี นี่เจ้าทำเกินไปแล้ว!”
ตูม! เสียงสนั่นหวั่นไหวดังขึ้นกลางอากาศ และร่างของทั้งสองก็ต่อสู้กันอย่างยากที่จะแยกออกจากกันได้
และภายในตำหนักของเฟิงอวิ๋นซิว ในตอนนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศของความกระวนกระวายใจ เนื่องจากอาการนายน้อยของพวกเขายิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ
ซวนอีคุกเข่าข้างหนึ่งลงข้างเตียงเฟิงอวิ๋นซิวและกล่าวว่า “นายน้อย ให้ข้าน้อยไปตามแม่นางมู่เถอะขอรับ! นางต้องขอให้หมอปีศาจมาช่วยนายน้อยได้แน่นอน มิเช่นนั้น…”
“ไม่จำเป็น!” เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“หากเจ้ากล้าขัดคำสั่งข้า เจ้าก็ฆ่าตัวตายได้เลย!”
สีหน้าซวนอีเคร่งเครียดขึ้น!
พรวด! ขณะเดียวกันไป๋อู๋ห่ายก็กระอักเลือดออกมาอย่างต่อเนื่อง
อาการบาดเจ็บเดิมยังไม่ทันหายดี ตอนนี้ต้องมาบาดเจ็บซ้ำอีก!
พลังอันกดขี่ข่มเหงหนึ่งปรากฏขึ้น ชายชราชุดขาวผู้หนึ่งเดินออกมา
เขามองไปที่กู้ไป๋อีและยิ้มอย่างเป็นมิตรพลางกล่าว “เจ้าหนูกู้ มาถึงตำหนักตงจี๋ของข้าแล้ว ก็มาดื่มชาเป็นเพื่อนข้าสักหน่อยเถอะ! มัวแต่ต่อสู้ฆ่าฟันกันอยู่ทำไมล่ะ เจ้าหนูอวิ๋นซิวก็อายุยังน้อย ดังนั้นตำหนักตงจี๋จะขาดหัวหน้าตำหนักไปไม่ได้”
ถึงแม้ว่าชายชราผู้นี้จะดูใจดีเป็นมิตร แต่พลังการกดขี่ข่มเหงนั้นช่างทำให้ผู้อื่นยากที่จะปฏิเสธได้จริง ๆ
“ผู้อาวุโสสูงสุด ท่านออกจากการบำเพ็ญแล้ว” ไป๋อู๋ห่ายถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
มีท่านผู้นี้อยู่ กู้ไป๋อีไม่สามารถฆ่าเขาได้แล้ว
“รีบกลับไปรักษาตัวเถอะ! ข้าจะไปดื่มชากับเจ้าหนูกู้”
สีหน้าของกู้ไป๋อีดูเฉยเมย แต่กลับไม่ได้ปฏิเสธชายชราผู้นี้ ส่วนสายตาที่มองไป๋อู๋ห่ายนั้นยังคงเต็มไปด้วยจิตสังหารเฉกเช่นเดิม
และแน่นอนว่าไป๋อู๋ห่ายต้องหาสถานที่ดี ๆ เพื่อไปพักรักษาอาการบาดเจ็บ ในระหว่างที่ยังไม่หายดีนี้ เขาจะออกจากตำหนักตงจี๋ไม่ได้เด็ดขาด
กู้ไป๋อีมีจิตใจอันแน่วแน่ปรารถนาจะฆ่าเขา หากไม่ระวังตัว คาดว่าต้องถูกฆ่าตายเป็นแน่
หลังจากดื่มชาเสร็จ กู้ไป๋อีก็ขอตัวลา ฆ่าไป๋อู๋ห่ายไม่ได้ อยู่ต่อไปมันก็ไม่มีความหมาย
และในขณะที่กู้ไป๋อีกำลังจะจากไปนี้ จู่ ๆ ร่างในชุดดำแดงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
“ได้โปรดท่าน ช่วยนายน้อยอวิ๋นซิวด้วย”
กู้ไป๋อีตกใจผงะไปเล็กน้อย “เฟิงอวิ๋นซิวเป็นอะไร?”
“อาการนายน้อยแย่ลงทุกทีแล้ว”
กู้ไป๋อีกับเฟิงอวิ๋นซิวไม่เคยพูดคุยกันมากนัก ถึงแม้ว่าคนหนึ่งจะเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งดินแดนสี่ทิศ อีกคนหนึ่งจะเป็นยอดฝีมือแห่งดินแดนสี่ทิศก็ตาม
ซวนอีเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าการมาขอความช่วยเหลืออย่างกะทันหันเช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่สมควร แต่เขาไม่มีหนทางอื่นให้เลือกแล้ว เขาทนเห็นนายน้อยเป็นอะไรไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้
หากเป็นเมื่อก่อน กู้ไป๋อีไม่มีทางสนใจแน่นอน แต่ตอนนี้…
เพื่อเฟิงอวิ๋นซิว ซีเอ๋อร์จึงต้องเข้าร่วมการแย่งชิงกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ในครั้งนั้น หากนางไม่ไป นางก็คงไม่ต้องเปิดเผยว่าตัวเองได้ครอบครองกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ นางจำต้องเสี่ยงอันตรายไป
เฟิงอวิ๋นซิวคงจะสำคัญกับนางมาก!
เขากล่าว “นำทางไปเถอะ!”
ซวนอีเผยสีหน้าไม่น่าเชื่อออกมา และกล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า “ขอรับ!”
ส่วนมู่เฉียนซีในเวลานี้ได้อยู่ปรุงยาในหอหมอปีศาจ ฝึกบำเพ็ญ เพื่อต้องการฟื้นตัวให้เร็วที่สุด
หอหมอปีศาจมีเหลิ่งหนิงจืออยู่ ไม่มีใครกล้าเข้ามาก่อกวนแล้ว
ท่านผู้อาวุโสสูงสุดแห่งตำหนักเป่ยหานรู้ว่าหอหมอปีศาจมียอดฝีมือขั้นสูงสุดเฝ้าอยู่ ก็ไม่กล้าผลีผลาม
เขากล่าว “ไปเอาตัวหลิงออกมาจากคุก ข้ามีภารกิจให้เขาทำ”
“ขอรับ ท่านผู้อาวุโสสูงสุด!”
สถานการณ์อันวุ่นวายนี้ค่อย ๆ สงบลง เจ้าพิฆาตวิญญาณก็ดูเหมือนจะหายไปจากโลกมนุษย์นี้แล้วอย่างไร้ร่องรอย
แต่หลังจากนั้นไม่นาน มู่เฉียนซีก็ได้รู้ข่าวข่าวหนึ่ง ตำหนักเป่ยหานจะจัดการทดสอบเพื่อรับอัจฉริยะคนใหม่เข้าตำหนัก
ดวงตาของมู่เฉียนซีเปล่งประกายขึ้น “เยวี่ยเจ๋อ สร้างตัวตนให้ข้า ข้าจะเข้าร่วมการทดสอบของตำหนักเป่ยหานในครั้งนี้”
“พี่ใหญ่ นี่พี่ใหญ่จะหาเรื่องใส่ตัวเหรอ นี่พี่ใหญ่กำลังจะเอาตัวเองไปเข้าปากเสือนะ!”
เนื่องจากตอนนี้หอหมอปีศาจมียอดฝีมือขั้นสูงสุดเฝ้าอยู่ ผู้ที่กล้าเป็นศัตรูอย่างซึ่ง ๆ หน้าในตอนนี้ก็คงจะมีเพียงแค่ตำหนักตงจี๋ ตำหนักเป่ยหาน และแคว้นเทพฟ้านอินแล้ว
ถึงแม้ว่าหอหมอปีศาจของพวกเขาจะไม่ได้เป็นกองกำลังระดับสามอะไร แต่ในความคิดของคนอื่น หอหมอปีศาจก็ไม่ต่างอะไรกับกองกำลังระดับสามที่พร้อมจะกลายเป็นกองกำลังระดับสี่แห่งดินแดนสี่ทิศไปแล้วล่ะ
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้ายังรู้สึกเป็นห่วงอารองอยู่ มีเพียงตัวตนของคนในตำหนักเป่ยหานเท่านั้น ถึงจะหาทางแก้ไขเรื่องสำคัญนี้ของอารองเพื่อจะช่วยอารองออกมาได้”
“แม้ว่าความแข็งแกร่งของข้าในตอนนี้มันจะไม่เป็นใจก็ตาม!”
“พี่ใหญ่!” สีหน้าของเยวี่ยเจ๋อเคร่งเครียดขึ้น
“เจ้าวางใจเถอะ! มีชิงอิ่งอยู่ ยาแปลงกายของข้าก็ยอดเยี่ยม ปิดบังผู้อาวุโสสูงสุดของตำหนักเป่ยหานได้แน่นอน! ส่วนหัวหน้าตำหนักผู้นั้นก็ไม่เคยเห็นหน้าข้ามาก่อน”
มู่เฉียนซีเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าตัวเองผู้ที่มีความมั่นใจเต็มร้อยก็มีวันที่คาดการณ์ผิดเหมือนกัน
ในเมื่อมู่เฉียนซีตัดสินใจดีแล้ว เยวี่ยเจ๋อก็รู้ดีว่าต่อให้พูดมากไปมันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี เขาจึงกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
“เจ้าไม่ต้องกังวลหรอกนะ! ตอนที่ตัวตนของข้าถูกเปิดเผยที่ตำหนักตงจี๋ ข้ายังหนีเอาตัวรอดกลับมาได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงปลอมตัวเข้าไปในตำหนักเป่ยหานเลย!” มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว
การคัดเลือกอัจฉริยะเข้าตำหนักเป่ยหานก็นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าว “ไม่ทราบว่าการคัดเลือกอัจฉริยะเข้าตำหนักในครั้งนี้ ท่านหัวหน้าตำหนักจะเป็นคนทดสอบด้วยตัวเองหรือไม่”
น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกเสียงหนึ่งดังขึ้น “เรื่องพวกนี้ก็เป็นหน้าที่ของเจ้าจัดการมาโดยตลอดไม่ใช่เหรอ?”
“ข้าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ท่านหัวหน้าตำหนักวางใจได้”
การคัดเลือกอัจฉริยะเข้าตำหนักเป่ยหาน เงื่อนไขก็คือ อายุต้องไม่เกินยี่สิบปี และพลังวิญญาณต้องอยู่ในขั้นจักรพรรดิเท่านั้น
ผู้ที่มานี้ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีความสามารถทั้งสิ้น หลังจากที่ตรวจสอบอายุและพลังวิญญาณเสร็จสิ้นแล้ว ผู้อาวุโสผู้ตรวจสอบก็กล่าวว่า “มู่หรงเฉียนเยี่ย คุณสมบัติผ่าน! มีสิทธิ์เข้าร่วมการคัดเลือก เอาป้ายตัวตนของเจ้าเข้าไปได้เลย!”
ผู้ที่เข้าร่วมการคัดเลือกเข้าตำหนักเป่ยหานในครั้งนี้มากกว่าการคัดเลือกเข้าตำหนักตงจี๋ในครั้งก่อนมาก
ทันทีที่มู่เฉียนซีเดินเข้าไปก็ได้ยินเสียงคนซุบซิบกันขึ้นว่า “ไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนคุมการคัดเลือกเข้าตำหนักในครั้งนี้นะ”
“ข้าได้ยินมาว่าตอนที่คัดเลือกคนเข้าตำหนักตงจี๋ ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักตงจี๋เป็นคนคุมด้วยตัวเองเลยนะ ไม่รู้ว่าครั้งนี้ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักเป่ยหานของพวกเราจะปรากฏตัวขึ้นหรือไม่”
“เจ้าอย่าได้ฝันไปเลย! ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ใจจดใจจ่ออยู่กับการฝึกบำเพ็ญ น้อยมากที่จะปรากฏตัวที่ตำหนักธิดาศักดิ์สิทธิ์”
“หากได้เห็นท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์สักแวบตาเดียวมันก็คุ้มค่าที่สุดแล้ว ต่อให้ไม่ผ่านการทดสอบข้าก็ไม่เสียดายเลย”
เมื่อถึงเวลา ก็มีคนประกาศขึ้นว่า “นายน้อยห้า นายน้อยหก นายน้อยเจ็ดมาถึงแล้ว!”
คนรุ่นเยาว์เหล่านั้นต่างก็รู้สึกผิดหวังขึ้น “เฮ้อ! ไม่ใช่ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์!”
แต่แววตาของหญิงสาวผู้เข้าร่วมทดสอบเหล่านั้นต่างเป็นประกายขึ้น นายน้อยแห่งตำหนักเป่ยหานแต่ละคนหน้าตาหล่อเหลาไม่ธรรมดาเลย มองให้เป็นอาหารสายตาก็ยังดี
ชายชุดขาวร่างเพรียวบางทั้งสามปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าสายตาทุกคน รูปร่างหน้าตาของพวกเขาทั้งสามไม่เหมือนกันเลยสักนิด แต่พวกเขามีความหล่อเหลาเหมือนกัน สีหน้าของพวกเขาดูเฉยเมยต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ราวกับว่าตัวเองเป็นเทพที่สูงส่ง ส่วนคนอื่นเป็นเพียงแค่มดปลวกก็มิปาน
.