ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1270 ประมุขน้อยเฉียนเยี่ย
หากผู้อื่นมาแตะต้องเกล็ดใต้คอมังกรเช่นนี้แล้ว กู้ไป๋อีก็ไม่สนแล้วว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นใคร ไม่สนใจว่าจะอยู่ในโอกาสใด และไม่สนใจว่าสถานะของตัวเองตอนนี้เป็นเช่นไร
ในใจของเขามีเพียงแค่คำคำเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ ตาย!
ทุกคนเห็นเช่นนี้ก็ล้วนแต่กลั้นหายใจด้วยความตกใจพลางมองดูร่างในชุดขาวที่เต็มไปด้วยจิตสังหารอันเย็นยะเยือกนั้น
ท่านหัวหน้าตำหนักลงมือแล้ว!
กระบี่เล่มนั้นยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว สมกับที่เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งดินแดนสี่ทิศจริง ๆ! ผู้อาวุโสสูงสุดที่เลือดอาบตัวในตอนนี้รีบดึงหลานสาวคุกเข่าลงก่อนจะกล่าวอย่างร้อนรน “ท่านหัวหน้าตำหนัก ข้าน้อยร้อนใจเพียงเพราะแค่อยากช่วยชิงเอ๋อร์เท่านั้นขอรับ ข้าน้อยไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายมู่หรงเฉียนเยี่ยเลย! การประลองครั้งนี้ มู่หรงเฉียนเยี่ยเป็นผู้ชนะ! ได้โปรดท่านหัวหน้าตำหนักยกโทษให้ด้วย!”
กู้ไป๋อีพามู่เฉียนซีเดินมาตรงหน้าผู้อาวุโสสูงสุด ปลายกระบี่เฉียนหานจี้ไปที่หว่างคิ้วของเขา
เหล่าบรรดาผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ต่างก็รีบมาขอร้องอ้อนวอนแทนผู้อาวุโสสูงสุดด้วยความร้อนอกร้อนใจ “ท่านหัวหน้าตำหนัก ท่านผู้อาวุโสสูงสุดเพียงแค่ใจร้อนไปชั่วครู่เท่านั้น ตำหนักเป่ยหานจะขาดผู้อาวุโสสูงสุดไม่ได้เด็ดขาดนะขอรับ”
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุดทำทุกอย่างเพื่อตำหนักเป่ยหานมานานหลายปี เป็นที่เห็นประจักษ์ไปทั่ว! ทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจอย่างหนักโดยไม่นึกถึงความดีความชอบใด! ได้โปรดท่านหัวหน้าตำหนักยกโทษให้ท่านผู้อาวุโสสูงสุดสักครั้งเถอะขอรับ!”
ต้องบอกเลยว่าผู้ที่ปกป้องผู้อาวุโสสูงสุดนั้นมีไม่น้อยเลย
พวกเขาแต่ละคนต่างเอ่ยปากขอร้องอ้อนวอนแทนเขา กลับจะให้เสี่ยวไป๋ทำเรื่องใหญ่นี้ให้เป็นเรื่องเล็ก
อันที่จริงแล้วมู่หรงเฉียนเยี่ยก็ไม่ได้รับบาดเจ็บไม่ใช่หรอกเหรอ
แววตาของมู่เฉียนซีเคร่งขรึมขึ้น หากเป็นไปได้ นางอยากจะแย่งกระบี่เฉียนหานในมือเสี่ยวไป๋ตัดหัวตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ผู้นี้จริง ๆ แต่ตอนนี้ยังทำเช่นนั้นไม่ได้!
นางเอ่ยปากกล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ในเมื่อข้าชนะอวี้ปิงชิงแล้ว เช่นนั้นตำแหน่งประมุขน้อยของตำหนักเป่ยหานก็เป็นของข้าแล้วน่ะสิ! ข้าพูดถูกหรือไม่!”
ผู้อาวุโสสูงสุดที่ถูกกระบี่ฟันเข้าข้างหลังจนได้รับบาดเจ็บ ในตอนนี้ก็เจ็บช้ำใจขึ้นมาอีกระลอกแล้ว
จัดเตรียมทุกอย่างมานานมากกว่าจะทำให้ท่านหัวหน้าตำหนักอนุญาตให้จัดการคัดเลือกในครั้งนี้ขึ้นมาได้
ชิงเอ๋อร์เอาไขกระดูกน้ำแข็งหมื่นปีมาไม่ได้ เขาก็ใช้ของล้ำค่ายิ่งกว่านั้นเพื่อที่จะทำให้พลังของนางเพิ่มขึ้นด้วยหวังจะให้นางคว้าตำแหน่งประมุขน้อยมา
มีหลานสาวสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตำหนัก โอกาสที่เขาจะได้ควบคุมตำหนักเป่ยหานทั้งตำหนักก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว กลับนึกไม่ถึงเลยว่าจู่ ๆ เจ้ามู่หรงเฉียนเยี่ยผู้นี้จะโผล่ออกมากลางคันเช่นนี้
ทุกอย่างได้พังทลายลงแล้ว!
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าว “เป็นเช่นนั้นแน่นอน! ข้าน้อยคารวะท่านประมุขน้อย!”
“คารวะท่านประมุขน้อย!” ผู้อาวุโสคนอื่นต่างคารวะตาม
“คารวะท่านประมุขน้อย!” ศิษย์ของตำหนักเป่ยหานที่อยู่บริเวณโดยรอบเหล่านั้นต่างตะโกนขึ้น
พวกเขามองไปที่ชายหนุ่มที่ยืนข้างกายท่านหัวหน้าตำหนักผู้นั้นด้วยสายตาที่เร่าร้อนแผดเผา ถึงแม้ว่าขั้นพลังวิญญาณจะต่ำ แต่ก็เป็นอัจฉริยะผู้น่าทึ่งที่สุดยอดมากทีเดียว สามารถคว้าชัยชนะคว้าตำแหน่งประมุขน้อยแห่งตำหนักเป่ยหานมาได้
ไม่นานนักกู้ไป๋อีกับมู่เฉียนซีก็กลับไป
เหล่าบรรดาผู้อาวุโสต่างถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก โชคดีมากที่ท่านหัวหน้าตำหนักไม่ได้ผลีผลามลงมือฆ่าใคร
“ซีเอ๋อร์!” เมื่อไม่มีคนนอกอยู่เช่นนี้ หลิงก็มองมู่เฉียนซีด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ความรู้สึกมันช่างแตกต่างไปจากองครักษ์ฝ่ายซ้ายหลิงผู้นั้นโดยสิ้นเชิง
มู่เฉียนซีกล่าว “อารอง ข้าไม่เป็นอะไร! ทักษะวิญญาณใหม่ที่เพิ่งเรียนรู้ไปเมื่อครู่สามารถยับยั้งผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุน้ำแข็งอย่างอวี้ปิงชิงได้พอดี นางทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
“และต่อให้ไม่ได้เรียนรู้ทักษะวิญญาณใหม่ ยาพิษของข้าก็สามารถฆ่านางให้ตายได้ หลานสาวของท่านไม่ใช่คนที่ยอมให้คนอื่นมาเอาเปรียบได้ง่าย ๆ นะ”
“แต่มันก็ยังอันตรายมากอยู่ดี อารองอยากกำจัดเจ้านั่นทิ้งซะ” ใบหน้าของหลิงเผยจิตสังหารออกมา
“อารอง ข้าสูญเสียพลังวิญญาณไปมาก อยากจะพักผ่อนสักครู่”
“งั้นซีเอ๋อร์รีบพักผ่อนเถอะ อารองไม่รบกวนเจ้าแล้ว”
การประลองในครั้งนี้ ชื่อของมู่หรงเฉียนเยี่ยได้ดังก้องไปทั่วทั้งดินแดนสี่ทิศ
มู่หรงเฉียนเยี่ย ประมุขน้อยแห่งตำหนักเป่ยหาน เอาชนะอดีตธิดาศักดิ์สิทธิ์อย่างอวี้ปิงชิงที่มีพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับแปดได้ด้วยพลังขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ด!
ไม่เพียงแค่มีทักษะวิญญาณที่แข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังได้วิชากระบี่อันแท้จริงมาจากยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งดินแดนสี่ทิศอย่างท่านหัวหน้าตำหนักเป่ยหานอีกด้วย ความแข็งแกร่งวิปริตเป็นอย่างยิ่ง…
คำพูดที่ขยายความให้เกิดจินตนาการต่าง ๆ มากมายปรากฏขึ้นอย่างไม่ขาดสาย และไป๋อู๋ห่ายกับเฟิงอวิ๋นซิวที่อยู่ในตำหนักตงจี๋ก็ได้รับรู้ข่าวนี้แล้ว
ไป๋อู๋ห่ายกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “เจ้าเด็กเวรนั่นเป็นศิษย์ของกู้ไป๋อีจริง ๆ ด้วย กู้ไป๋อีเก็บตัวอยู่มานานหลายปีถึงเพียงนั้น ในที่สุดก็ปล่อยให้เขาปรากฏตัวออกมาแล้ว”
เฟิงอวิ๋นซิวที่เก็บตัวรักษาอาการบาดเจ็บมาระยะหนึ่ง ตอนนี้สีหน้าของเขาดีขึ้นมากแล้ว และเมื่อได้รู้ข่าวนี้เขาก็ตกใจผงะไปเล็กน้อย
“เฉียนเยี่ยกลายเป็นประมุขน้อยแห่งตำหนักเป่ยหานแล้ว เตรียมของขวัญชิ้นหนึ่งส่งไปให้เขาที่ตำหนักเป่ยหานด้วย!”
ซวนอีรับคำสั่ง “ขอรับ!”
แต่อย่างไรเสีย ซวนอีก็อดที่จะบ่นอยู่ในใจไม่ได้
เจ้าเด็กนั่นได้กลายเป็นประมุขน้อยแห่งตำหนักเป่ยหานแล้ว ตำหนักเป่ยหานต้องถูกเขาถล่มเป็นแน่!
ได้เป็นประมุขน้อยแห่งตำหนักเป่ยหานก็ยังได้รับประโยชน์มากมาย ทรัพยากรในการฝึกฝนก็มีไม่น้อย ไหนจะมีกู้ไป๋อีคอยตามใจ ทุกอย่างสามารถใช้ได้อย่างตามใจชอบ
ดังนั้น มู่เฉียนซีจึงเก็บกวาดสมุนไพรวิญญาณที่ตนเองชอบมาทั้งหมด
เก็บกวาดเอาไปให้หมดนี่แหละ จะเหลือไว้ให้พวกคนเหล่านั้นที่แข็งข้อกับเสี่ยวไป๋ทำไมกันเล่า!
นักปรุงยาของตำหนักเป่ยหานไปรายงานเรื่องนี้ให้เหล่าผู้อาวุโสทราบ ทว่า มันจะมีประโยชน์ใดกันเล่า!
ในตำหนักเป่ยหาน นอกจากท่านหัวหน้าตำหนักแล้ว ประมุขน้อยนี่แหละที่ใหญ่สุด ผู้อาวุโสก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปก้าวก่ายได้
ผู้อาวุโสสามที่มีหน้าที่ดูแลการคลังของตำหนักเป่ยหานในตอนนี้ก็รู้สึกกลัดกลุ้มใจเป็นอย่างยิ่ง!
ท่านหัวหน้าตำหนักไปขุดเอาเจ้าเด็กล้างผลาญผู้นี้มาจากที่ใดกันแน่!
ด้วยความรวดเร็วในการล้างผลาญของเจ้าเด็กผู้นี้ ถึงแม้ว่าตำหนักเป่ยหานจะเป็นกองกำลังระดับสาม แต่ภายในเวลาสามปีจะต้องถูกเจ้าเด็กผู้นี้ล้างผลาญจนตำหนักเป่ยหานไม่เหลือแม้แต่หยกวิญญาณสักก้อนเดียวเป็นแน่
ได้ตำแหน่งประมุขน้อยมาแล้ว มู่เฉียนซีก็ยังสามารถใช้ประโยชน์จากตำแหน่งนี้แสวงหากำไรให้กับหอหมอปีศาจได้อีกด้วย เพียงเวลาแค่ไม่นาน หอหมอปีศาจก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
มันช่างราบรื่นเสียยิ่งกว่าตอนที่อยู่ในตำหนักตงจี๋ไม่น้อยเลย!
มู่เฉียนซีกล่าวกับกู้ไป๋อีว่า “เสี่ยวไป๋ ข้าไม่ได้กลับไปที่หอหมอปีศาจมานานมากแล้ว ข้าว่าจะกลับไปดูสักหน่อย”
“ข้าไปเป็นเพื่อน!”
“ท่านหัวหน้าตำหนักจะไปเป็นเพื่อนข้าอย่างนั้นเหรอ?” มู่เฉียนซีสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย
“อืม! ข้ากลัวพวกนั้นจะลงมือกับเจ้า”
ด้วยความเกลียดชังที่มู่เฉียนซีได้สร้างขึ้นในทุกวันนี้ หากนางย่างเท้าออกไปจากตำหนักเป่ยหาน มีโอกาสมากที่จะถูกลอบสังหาร
มู่เฉียนซีกล่าว “หากเจ้าไม่คิดว่ามันจะวุ่นวายก็ไปได้! อย่าให้ใครจับได้ล่ะ เมื่อถึงตอนนั้น หากมันมีคนที่ไม่กลัวตายพรวดพราดเข้ามาลงมือ ก็จัดการได้เลย”
“ตกลง!”
ครั้นแล้ว มู่เฉียนซีจึงออกไปจากตำหนักเป่ยหาน และยังมีคนคนหนึ่งรีบร้อนออกไปด้วยเช่นกัน
ทุกคนพร้อมที่จะลงมือเคลื่อนไหวแล้ว เมื่อคนผู้นั้นรีบไปรายงานกับท่านผู้อาวุโสสูงสุด
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุดขอรับ มู่หรงเฉียนเยี่ยออกจากตำหนักเป่ยหานแล้ว จะส่งคนไปฆ่ามันดีหรือไม่ขอรับ!”
“เจ้าเด็กผู้นี้ ปล่อยเอาไว้ไม่ได้เด็ดขาด หรือว่าจะส่งหลิงไปจัดการ หลิงคุ้นเคยกับมันที่สุดแล้ว”
“……”
ถึงแม้ว่าท่านผู้อาวุโสสูงสุดจะเกลียดชังจนอยากให้มู่เฉียนซีหายไปจากโลกนี้เร็ว ๆ แต่แผลที่หลังของเขากลับทำให้เขาสงบลง
“นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านหัวหน้าตำหนักมองใครคนหนึ่งเป็นเหมือนหัวแก้วหัวแหวน ต่อให้มู่หรงเฉียนเยี่ยจะกล้าอวดเก่งออกจากตำหนักเป่ยหานไปคนเดียว แต่ทว่าท่านหัวหน้าตำหนักก็ไม่วางใจแน่นอน”
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ท่านหมายความว่า…ท่านหัวหน้าตำหนักจะแอบซ่อนตัวคอยปกป้องเจ้าเด็กนั่นอยู่อย่างนั้นหรือขอรับ!”
“มีความเป็นไปได้เก้าในสิบส่วน! แต่หากพวกเจ้าไม่กลัวตาย ก็ลงมือได้!”
หลังจากออกจากตำหนักเป่ยหานก็ปลอดภัยไร้กังวลมาตลอดทาง มู่เฉียนซีแสยะยิ้มขึ้นก่อนจะกล่าวว่า “คนพวกนั้นช่างขี้ขลาดตาขาวเสียจริง”
ต่อให้เป็นคนที่จิตใจกล้าหาญมากเพียงใด เมื่อได้เห็นท่านหัวหน้าตำหนักผู้เย็นชาไร้ความปรานีลงมือมาอย่างโหดเหี้ยมถึงสองครั้งสองคราเช่นนั้นแล้ว ก็ต้องมีความระมัดระวังไม่รนหาที่ตายให้กับตัวเองเป็นอันขาด
เมื่อมู่เฉียนซีมาถึงหอหมอปีศาจ นางก็กล่าวขึ้นว่า “เสี่ยวเหลิ่ง ออกมา ๆ ข้ามีของขวัญจะให้เจ้า!”
เมื่อเหลิ่งหนิงจือเห็นของล้ำค่าพลังธาตุน้ำแข็งนั้น ดวงตานางก็เบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจทันที
ใบหน้าของนางเผยรอยยิ้มอันมีเสน่ห์ออกมาและวิ่งเข้ามาหามู่เฉียนซีทันที พร้อมกับกล่าวว่า “คุณชาย ข้ารักคุณชายที่สุดเลย!” แต่น่าเสียดายที่ไม่ทันได้กอดมู่เฉียนซี จู่ ๆ ร่างในชุดสีขาวก็ปรากฏตัวขึ้นขวางหน้ามู่เฉียนซีเอาไว้