ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1375 อวิ๋นซิว รั่วเฉิน
ร่างของสิงโตทองลวงตาสั่นเทาถลึงตาจ้องมองไปที่เปลวไฟสีแดงฉานนั้นพลางกล่าว “เจ้า!”
นั่นก็คือหมูน้อยสีแดงฉานตัวเล็กตัวหนึ่ง แต่สิงโตทองลวงตาไม่มีทางดูถูกความแข็งแกร่งของมันแน่นอน
เสี่ยวหงกล่าว “เปิดแดนลวงตาเดี๋ยวนี้!”
สิงโตทองลวงตา “ได้ ขะ ข้าจะเปิด…”
แต่สิงโตทองลวงตาไม่ได้ตกตะลึงพรึงเพริดมากนัก ในขณะที่มันกำลังจะกำจัดแดนลวงตานั้น มันตั้งสติขึ้นมาได้
“เจ้าออกมาจากแดนลวงตานั่นแล้ว จะให้ข้าเปิดอีกทำไม?”
“เจ้าพูดจาไร้สาระมากเกินไปแล้ว!” เสี่ยวหงหมดความอดทนแล้ว
เปลวไฟสีแดงฉานพุ่งออกไป สิงโตทองลวงตารีบหลบหลีก และมันก็พบถึงความผิดปกติ
เจ้าหมูตรงหน้าตัวนี้ ดูเหมือนจะอ่อนแอกว่าเมื่อก่อนมาก
“ฮ่า ๆ ๆ! สวรรค์เข้าข้างข้าแล้ว พลังของเจ้าถดถอยลงมาก นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้ายังจะกล้ามาหาข้าถึงที่นี่! ตราบใดที่ข้ากินเจ้าได้ พลังของข้าก็คงจะฟื้นฟูกลับมาได้ครึ่งหนึ่งแน่นอน”
เมื่อได้ฟังคำเสียดสีของสิงโตทองลวงตา เสี่ยวหงก็รู้สึกโกรธเกรี้ยวขึ้นแล้ว “กินข้าอย่างนั้นเหรอ เจ้าฝันไปเถอะ!”
ตูม!
เปลวไฟของทั้งสองปะทะกัน ตามมาด้วยเสียงระเบิดอันน่าสะพรึงกลัว
ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันทั้งสองได้ต่อสู้กันในอาณาเขตโบราณแห่งนี้
เนื่องจากสามารถควบคุมหุ่นเชิดเพลิงสีทองได้ มู่เฉียนซีจึงหาช่องโหว่ของแดนลวงตานี้ได้อย่างราบรื่น
นางควบคุมหุ่นเชิดเพลิงสีทองได้นับร้อยตัว จากนั้นก็ออกคำสั่งว่า “ทำลายมันซะ ทำลายที่นี่ให้พังทลายเดี๋ยวนี้”
ครืน ครืน ตูม! หุ่นเชิดเพลิงสีทองทำตามคำสั่งของมู่เฉียนซีทันที ทำลายทุกอย่างทั่วบริเวณจนพังทลายสิ้น
ฉ่า! เสียงแตกกระจายดังสนั่นขึ้น และแดนลวงตานี้ก็ถูกทำลายลงแล้ว
สิงโตทองลวงตาตกตะลึงพรึงเพริดเป็นอย่างยิ่ง “เป็นไปได้ยังไง แดนลวงตาของข้าจะถูกมนุษย์พังทลายลงได้ยังไง”
ดวงตาของเสี่ยวหงเปล่งประกายขึ้น นายท่านทำลายแดนลวงตาสำเร็จแล้ว
เช่นนั้น มันก็จะถ่วงเวลาให้นาง
เปลวไฟอันแดงฉานปะทุออกมาอีกครั้ง และเพื่อไม่ให้เจ้าหมอนี่ลำพองใจมากเกินไป มันจึงแสดงพลังอันแข็งแกร่งของตัวเองออกมา
แดนลวงตาถูกทำลายแล้ว มู่เฉียนซีกับเฟิงอวิ๋นซิวจึงออกมาได้แล้ว
ทุกอย่างที่งามวิจิตรในตอนนี้ก็ได้อันตรธานหายไปแล้ว และเบื้องหน้าก็มีเพียงแค่สถานที่โบราณที่แห้งแล้งเท่านั้น
มู่เฉียนซีทำลายแดนลวงตาได้ คนที่ถูกขังอยู่ในแดนลวงตาเหล่านั้นก็ออกมาได้แล้วเช่นกัน
ทว่า ฝักกระบี่ของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์แม้จะจับกลิ่นอายของตัวมันได้ แต่คิดจะหามันให้เจอในอาณาเขตโบราณอันกว้างใหญ่แห่งนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “มังกรเพลิง เจ้าได้กลิ่นอายของฝักกระบี่บ้างหรือไม่?”
มังกรเพลิงตอบ “นายท่าน ข้าไม่ได้กลิ่นอายฝักกระบี่เลย มันน่าจะได้กลิ่นอายของมนุษย์จำนวนมาก มันจึงแอบซ่อนกลิ่นอายของตัวเองไว้”
ตูม เปรี้ยง เปรี้ยง!
ในตอนนี้เอง พลังธาตุอัคคีสายหนึ่งก็ได้ปะทุขึ้น
พลังธาตุอัคคีอันแข็งแกร่งนั้นทำให้คนเหล่านี้มีความมั่นใจมากว่าสถานที่ที่มีพลังธาตุอัคคีที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นเป็นที่อยู่ของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์แน่นอน
มู่เฉียนซีมองไปทางด้านนั้นและกล่าวว่า “ทางนั้น เป็นกลิ่นอายของสิงโตทองลวงตา และยังมีเปลวไฟอีกอย่างหนึ่งด้วย เหมือนจะเป็น…”
อู๋ตี้กล่าว “กลิ่นอายของเจ้าหมูขี้เกียจนี่ นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะออกไปแล้ว”
มังกรเพลิงกล่าว “ผู้ที่มีพลังธาตุอัคคีก็คือข้า ไม่ใช่เสี้ยวเสี้ยว อันที่จริงแล้วเสี้ยวเสี้ยวไม่ได้มีลักษณะพิเศษอะไร เปลวไฟนี้ไม่มีทางเป็นของเสี้ยวเสี้ยวแน่นอน!”
ในตอนนี้เอง เฟิงอวิ๋นซิวก็เดินมาและกล่าวว่า “ที่นี่มีสัตว์ร้ายพลังแข็งแกร่งกับฝักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์อยู่ มีความเป็นไปได้มากว่าฝักกระบี่จะถูกปิดผนึกอยู่ในที่ที่สัตว์ร้ายนั่นอยู่ เพราะฉะนั้น ที่ที่มีสัตว์ร้ายอยู่เป็นไปได้ว่าจะเป็นที่ที่ฝักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์อยู่”
มู่เฉียนซีผงะไปเล็กน้อย “นั่นก็หมายความว่าคนพวกนั้นกำลังหาที่นั่นอยู่ เช่นนั้นเราก็รีบไปกันเถอะ!”
“เฉียนซี!” สีหน้าของเฟิงอวิ๋นซิวเคร่งขรึมขึ้น
ที่นั่นเป็นที่อยู่ของฝักกระบี่ นั่นก็หมายความว่าจะต้องอยู่ใกล้กับสัตว์ร้ายตัวนั้นมาก อีกนัยหนึ่งก็คืออันตรายอยู่ใกล้ตัวแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าว “เฟิงอวิ๋นซิว เจ้าเองก็รู้ว่ามันอันตราย แต่เจ้าก็ยังยืนยันว่าจะไม่ถอยไม่ใช่เหรอ?”
เฟิงอวิ๋นซิวไม่อาจเถียงคำพูดนี้ได้ มู่เฉียนซีจึงกล่าวต่อ “เพราะฉะนั้น ข้าก็ยืนยันเหมือนกันว่าจะไม่ถอย อีกอย่างเสี่ยวหงก็อยู่ที่นั่น เจ้านั่นก็ไม่รู้จักกลัวความตายบ้างเลย ไม่นึกเลยว่าจะไปต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับสิงโตทองลวงตานั่น ข้าต้องรีบไปให้เร็วที่สุด”
ครั้นแล้ว ทั้งสองจึงไปด้วยกัน!
ใต้ดินมีพลังอันแข็งแกร่งปะทุออกมา ส่วนอุณหภูมิบนพื้นดินก็ร้อนระอุราวกับจะสามารถหลอมละลายทุกสิ่งทุกอย่างได้
พวกเขารีบโคจรพลังวิญญาณป้องกัน ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “ที่นี่เป็นค่ายกลปิดผนึก มีความเป็นไปได้มากว่ากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์อยู่ที่นี่”
สุดท้ายพวกเขาเดินหาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็หากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ไม่เจอ เห็นเพียงแค่บางอย่างที่เหมือนกิ่งไม้สีดำสนิทตั้งอยู่ตรงนั้น
พวกเขากล่าวด้วยความงุนงงว่า “ไม่มีกลิ่นอายของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เลย หรือพวกเรามาผิดที่!”
และในตอนนี้เอง ร่างในชุดสีม่วงก็เคลื่อนไหวออกมา
มู่เฉียนซีกวาดสายตามองไปรอบ ๆ มังกรเพลิงกล่าวขึ้นด้วยความตื่นเต้นว่า “นายท่าน เสี้ยวเสี้ยวอยู่ตรงนั้น รีบไปเอาเสี้ยวเสี้ยวมาเร็วเข้า คนพวกนี้โง่เขลา เสี้ยวเสี้ยวซ่อนกลิ่นอายของตัวเองเก่งมาก คนโง่เขลาพวกนี้ไม่มีทางรู้แน่นอน”
ที่มังกรเพลิงพูดถึงนั่นก็คือของสิ่งนั้นที่ดูเหมือนกิ่งไม้ธรรมดา ๆ นั่นเอง
สิ่งที่ไม่โดดเด่นและดูธรรมดา ๆ นี้ นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นฝักกระบี่ของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ คาดว่าใคร ๆ ก็คิดไม่ถึงเป็นแน่
ภายในชั่วพริบตาเดียวมู่เฉียนซีก็พรวดออกไป ไป๋อู๋ห่ายสังเกตเห็นมู่เฉียนซีจึงรีบตามไปอย่างรวดเร็ว
“ขวางมู่เฉียนซีเอาไว้เร็วเข้า!” ไป๋อู๋ห่ายตะโกนสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาและเกรี้ยวกราด
และในขณะที่เขาจะไล่ตามมู่เฉียนซีไปนั้น ลำแสงกระบี่อันเย็นยะเยือกก็ฟันลงมาตัดผ่านอากาศ
“ไป๋อู๋ห่าย เจ้ารนหาที่ตาย!”
คนผู้นี้สวมชุดสีขาว ดูเย็นชาราวกับไม่ใช่มนุษย์ กระบี่เล่มนั้นเผยลำแสงอันเย็นยะเยือกออกมา
ไป๋อู๋ห่ายกัดฟันกรอดพลางกล่าว “กู้ไป๋อี นี่เจ้ามาขวางทางข้าถึงที่นี่เลยเหรอ!”
ตูม!
ทั้งสองเริ่มต่อสู้ขึ้น คนของตำหนักเป่ยหานก็มากันแล้ว การจะขวางมู่เฉียนซีนั้นก็เป็นเรื่องยากแล้ว
ไป๋อู๋ห่ายจ้องไปที่เฟิงอวิ๋นซิวและกล่าวว่า “เฟิงอวิ๋นซิว เจ้าทำอะไรอยู่ ยังไม่รีบไปขวางสาวน้อยผู้นั้นอีก”
เฟิงอวิ๋นซิวสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าสิ่งที่มู่เฉียนซีต้องการนั่นก็คือฝักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์แน่นอน
ร่างในชุดสีดำแดงพรวดออกไป แต่ร่างในชุดเหลืองอ่อนกลับมาขวางหน้าเขาไว้
เฟิงอวิ๋นซิวตกใจผงะไป “อินรั่วเฉิน!”
เฉินรั่วเฉินกล่าว “อมิตตพุทธ มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ ผู้ที่ถูกชะตาลิขิตไว้เท่านั้นจึงจะครอบครองได้ ผู้อื่นไม่อาจร้องขอได้ ได้โปรดนายน้อยอวิ๋นซิวอย่าทำให้นางลำบากใจเลย และอย่าได้ทำให้ตัวเองลำบากใจเลย”
เฟิงอวิ๋นซิว “ถอยไป!”
“ข้าไม่ถอย!”
ตูม!
เฟิงอวิ๋นซิวลงมือกับอินรั่วเฉินแล้ว เขาไม่อยากลงมือกับมู่เฉียนซี แต่หากเป็นคนอื่น ข้าไม่มีทางอ่อนข้อให้เด็ดขาด
คนหนึ่งเป็นถึงนายน้อยแห่งตำหนักตงจี๋ ก่อนที่มู่เฉียนซีจะปรากฏตัวขึ้น เขาเป็นอัจฉริยะที่สุกสกาวที่สุดในดินแดนสี่ทิศ
คนหนึ่งก็เป็นถึงโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งแคว้นเทพฟ้านอิน เป็นผู้มีเกียรติสูงสุดอย่างมิอาจเทียบได้ เป็นที่ยกย่องนับถือของผู้คนมากมาย
สองคนนี้ต่อสู้กันเป็นครั้งแรก เพราะฝักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์!
ศัตรูถูกขวางเอาไว้ได้แล้ว มู่เฉียนซีจึงหยิบฝักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ที่ปลอมตัวนั้นขึ้นมา
“เสี้ยวเสี้ยว!” มังกรเพลิงตะโกนขึ้นด้วยความตื่นเต้น
มู่เฉียนซีรู้สึกได้ว่าฝักกระบี่ในมือกำลังสั่น ส่วนไป๋อู๋ห่ายก็นึกไม่ถึงเลยว่ามู่เฉียนซีจะพุ่งออกไปหยิบของที่ไม่เข้าท่าเช่นนั้นขึ้นมา
เพียงแต่ว่า…แววตาของเขาเผยความโหดร้ายออกมาพลางตะโกนขึ้นว่า “ที่มู่เฉียนซีถืออยู่มันคือกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ รีบไปแย่งมาเร็วเข้า!”
.
.