ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1412 แรงมาก็แรงไป
หญิงสาวผู้งดงามในตอนนี้ถูกมู่เฉียนซีผัดแป้งแต่งหน้าทาปากจนฉูดฉาด
อินรั่วเฉินมองตัวเองในกระจก เขาอยากลบสิ่งที่แต่งแต้มบนใบหน้าของเขาออกเสียเหลือเกิน
“อย่าเชียวนะ! เจ้าดูสิเจ้างดงามเพียงใด” มู่เฉียนซีรีบห้ามเขาเอาไว้
“แม่นางมู่…” นี่เป็นครั้งแรกที่อินรั่วเฉินมองนางด้วยสายตาที่โศกเศร้าใจเพียงนี้
มู่เฉียนซีกล่าว “แต่งเช่นนี้ ต่อให้พวกนั้นเดาถูกว่าโอรสศักดิ์สิทธิ์ฟ้านอินแต่งเป็นหญิง แต่ไม่มีทางเดาถูกถึงรูปลักษณ์นี้ได้แน่นอน เจ้าทนกล้ำกลืนไปก่อนแค่ไม่กี่วัน รอให้เจ้าจัดการเรื่องต่าง ๆ เรียบร้อยแล้วค่อยแต่งเป็นชายเหมือนเดิม”
“ข้ารับรองว่าข้าจะปิดปากเงียบ ไม่บอกใครแน่นอน”
แม้ว่านางจะกล่าวออกไปเช่นนี้ แต่นางก็ยังรู้สึกเสียดายมากที่ดินแดนสี่ทิศไม่มีกล้องถ่ายรูป
หากมีกล้องถ่ายรูป นางจะใช้กล้องสามร้อยหกสิบองศาถ่ายออกมาสักร้อยรูปมอบให้อินรั่วเฉินเก็บไว้เป็นที่ระลึก
ขัดมู่เฉียนซีไม่ได้ อินรั่วเฉินจึงจำต้องอดทนแต่งหญิงเช่นนี้ต่อไป
มู่เฉียนซีกล่าว “เอาล่ะ เจ้านำทางเถอะ!”
เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆ มู่เฉียนซีแปลงกายให้อินรั่วเฉินได้สมบูรณ์แบบมาก แม้ว่าจะมีคนของตำหนักเทพคอยตรวจสอบ แต่พวกเขาก็จับพิรุธใดไม่ได้เลย
หากพวกเขารู้ว่าสาวงามผู้นี้คือโอรสศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาแล้วละก็ คาดว่าความเชื่อในพุทธศาสนาของพวกเขาต้องพังทลายลงอีกครั้งแน่นอน
แดนตะวันตกกว้างใหญ่มาก พวกเขาเดินทางไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนคนของตำหนักเทพที่ตามหาก็น้อยลงเรื่อย ๆ
แต่ถึงกระนั้น อินรั่วเฉินก็พยายามขอกลับไปแต่งเป็นชายอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ถูกมู่เฉียนซีปฏิเสธอย่างไร้ความปรานีเฉกเช่นเดิม
“ยอดฝีมือของตำหนักเทพมากมายถึงเพียงนั้น พวกเรามีกันแค่สองคน หากต้องต่อสู้ขึ้นมา พวกเราจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เจ้าอดทนอีกหน่อยเถอะ”
มู่เฉียนซีกับอินรั่วเฉินเดินทางมาถึงเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่ง หาโรงน้ำชาแห่งหนึ่งเพื่อนั่งพัก มู่เฉียนซีกล่าวถามขึ้นว่า “อินรั่วเฉิน ตกลงสถานที่กันดารเช่นนี้มีสิ่งใดกันแน่?”
อินรั่วเฉินกล่าว “แม้ว่าแคว้นเทพฟ้านอินจะเป็นแคว้นที่มีอำนาจเหนือใครในแดนตะวันตก แต่ก็มีตระกูลหลายตระกูลที่แอบซ่อนตัวห่างจากโลกภายนอก! และเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ก็มีตระกูลที่ซ่อนตัวห่างจากโลกภายนอกที่ว่านั่น แถมยังเป็นถึงกองกำลังระดับสามด้วย ตระกูลโบราณ”
“ตอนนี้พลังชั่วร้ายนั่นก็กำลังจับตามองพวกเขาอยู่เหมือนกัน”
“กองกำลังระดับสาม! พวกเราแค่สองคนเจ้าคิดว่าจะขวางได้อย่างนั้นเหรอ?”
“ตอนนี้ตำหนักเทพปล่อยข่าวออกไปว่าข้าเป็นผู้ทรยศหักหลัง ไม่มีใครเชื่อข้า ข้าจึงต้องมาด้วยตัวเองอย่างไรล่ะ และข้าก็ไม่มีทางให้เจ้าเป็นอะไรไปเด็ดขาด”
“ข้าว่าเจ้าเป็นห่วงตัวเองดีกว่านะ”
“แล้วเราจะเดินทางไปตระกูลโบราณนั่นเมื่อไหร่?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม
สุดท้ายอินรั่วเฉินกลับส่ายหน้าและกล่าวว่า “ตระกูลโบราณซ่อนตัวห่างจากโลกภายนอกมานานมาก ต่อให้เป็นข้า ก็ไม่อาจตามหาตำแหน่งที่แน่ชัดเจอได้ เราทำได้เพียงหาเบาะแสอยู่ที่นี่ก่อน”
“เช่นนั้นโอรสศักดิ์สิทธิ์ฟ้านอินค่อย ๆ หาเบาะแสไปก็แล้วกันนะ ส่วนข้าจะไปหาโรงเตี๊ยมนอนพักสักหน่อย”
ทันทีที่มู่เฉียนซีกับอินรั่วเฉินเดินเข้ามา คนผู้หนึ่งก็กล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “นะ นี่ ๆ ๆ…นี่แม่นางตระกูลไหนกันหน้าตางดงามได้ถึงเพียงนี้”
ชายผิวเหลืองร่างซูบผอมสวมชุดคลุมยาววัยสามสิบกว่าปีผู้หนึ่งมองอินรั่วเฉินด้วยสายตาที่เปล่งประกาย
โอรสศักดิ์สิทธิ์ฟ้านอินผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องที่ถูกผู้คนศรัทธาเลื่อมใส และนับถือมาโดยตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้ามองเขาด้วยสายตาเช่นนี้ อินรั่วเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้จะมีความกรุ่นโกรธอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงมันออกมา
ทว่า คนตรงหน้าผู้นี้กลับมีเพียงแค่ตัณหา ไร้สัมปชัญญะ เขาจึงไม่รับรู้ถึงความโกรธของอินรั่วเฉิน
“ข้าเป็นบุตรชายของท่านเจ้าเมือง คนงาม มา ๆ ๆ! มากับข้า มาเป็นสนมหมายเลขที่ยี่สิบสองของข้าเป็นเช่นไร?”
แม้ว่ามู่เฉียนซีจะผัดแป้งแต่งหน้าให้อินรั่วเฉินอย่างฉูดฉาด แต่เมื่ออยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ก็นับว่าเป็นหญิงงามผู้หนึ่งเลยทีเดียว ดังนั้นจึงเป็นที่ต้องตาต้องใจของคุณชายท่านนี้เสียแล้ว
ฮิ ๆ ๆ! มู่เฉียนซีอดที่จะขำไม่ได้
ไม่ถึงเลยว่าโอรสศักดิ์สิทธิ์ฟ้านอินจะมีวันนี้ด้วย!
บุตรชายท่านเจ้าเมืองกล่าวขึ้นด้วยความโกรธว่า “เจ้าหนุ่ม เจ้าขำอันใด คนงามผู้นี้เป็นของข้าแล้ว เจ้ารีบหลบทางให้ข้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะมอบหยกวิญญาณหนึ่งชิ้นให้เจ้าเป็นการตอบแทน”
มู่เฉียนซีเดินไปยืนข้างกายอินรั่วเฉินและกล่าวว่า “คนงามเฉิน ต้องการให้สุภาพบุรุษอย่างข้าช่วยคนงามเช่นเจ้าหรือไม่?”
อินรั่วเฉินไม่พอใจอีกทั้งยังโกรธมาก แต่การฝึกตนที่ดีของอินรั่วเฉินนั้นทำให้เขาไม่สามารถด่าคนได้
อินรั่วเฉินไม่พูด บุตรชายของท่านเจ้าเมืองผู้นี้จึงหัวเราะชอบใจขึ้น “ฮ่า ๆ ๆ! ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่าคนงามต้องหลงเสน่ห์ข้าเข้าแล้ว หลงรักข้าเข้าแล้ว”
นึกไม่ถึงเลยว่าในขณะที่กล่าวนั้นเจ้าหมอนี่จะลงไม้ลงมือกับอินรั่วเฉิน
แม้แต่พระโพธิสัตว์ยังมีความโกรธ! ถึงอินรั่วเฉินจะเป็นโอรสศักดิ์สิทธิ์ฟ้านอิน แต่เขาก็เป็นมนุษย์ และมนุษย์ก็ย่อมมีความรู้สึก!
ปัง! โอรสศักดิ์สิทธิ์ยกขาถีบเจ้าหมอนี่จนร่างกระเด็นลอยออกไป
อ๊า! คนผู้นั้นล้มลงไปด้วยสภาพที่น่าอนาถ คนในโรงน้ำชาจำนวนมากต่างพากันมามุงดู ทำให้เขารู้สึกอับอายขายหน้าเป็นอย่างยิ่ง
อินรั่วเฉินไม่ได้ออกแรงหนัก ไม่นานนักเขาก็ลุกขึ้นมาได้ ดวงตาที่เคยมากตัณหาคู่นั้นจ้องมองไปที่อินรั่วเฉินด้วยความโกรธเกรี้ยวพลางกล่าว “ก็แค่รูปร่างหน้าตาดีนิดหน่อยก็เท่านั้น ข้าเห็นเจ้าอยู่ในสายตาก็นับว่าเป็นบุญของเจ้ามากแล้ว เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงกล้าลงมือกับข้าเช่นนี้”
เจ้าหมอนี่ก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ผู้หนึ่ง ฝีมือไม่เท่าไรก็คิดว่าตัวเองสุดยอดแล้ว ดังนั้นเขาจึงพุ่งเข้าไปจับอินรั่วเฉินอีกครั้ง
ปัง! และครั้งนี้อินรั่วเฉินก็ลงมือหนักมากกว่าเดิม
อ๊า! เสียงกรีดร้องอันน่าสังเวชดังลั่นขึ้น
ตอนนี้บุตรชายของท่านเจ้าเมืองผู้นี้พยุงตัวเองลุกขึ้นมาไม่ไหวแล้ว เขาตะโกนเสียงดังลั่นขึ้นว่า “พวกสวะไร้ประโยชน์ ยังไม่รีบจับตัวนังผู้หญิงคนนี้ให้ข้าอีก”
ครั้นแล้วลูกน้องของเขาก็ลงมือทันที!
นี่มันแย่งชิงตัวสตรีชัด ๆ ไม่สิ…แย่งชิงตัวบุรุษ!
นี่เป็นครั้งแรกที่โอรสศักดิ์สิทธิ์ได้ประสบพบเจอกับเรื่องเช่นนี้ เขาหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นฉับพลัน
มู่เฉียนซีกล่าว “ดูท่าเจ้าไม่ค่อยจะเชี่ยวชาญกับการรับมือกับเรื่องเช่นนี้นะ อันที่จริง หากจะรับมือกับคนพวกนี้ มันต้องใช้วิธีแรงมาก็แรงกลับ”
กล่าวจบ ร่างของมู่เฉียนซีก็พุ่งออกไปทันที!
ร่างของลูกน้องเหล่านั้นกระเด็นลอยออกไป พวกเขาไม่มีโอกาสตอบโต้กลับเลยแม้แต่น้อย!
พวกเขากล่าวขึ้นด้วยความตกใจว่า “พระเจ้าช่วย! นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าเด็กผู้นี้จะมีพลังขั้นจักรพรรดิ!”
อินรั่วเฉินลงมือโดยไม่ใช้พลังวิญญาณ เพราะกลัวตัวตนจะถูกเปิดเผย มู่เฉียนซีที่มีพลังขั้นจักรพรรดิผู้หนึ่งจึงเป็นที่สะดุดตาในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้มาก
“เมืองเล็ก ๆ ของเราปรากฏจักรพรรดิแห่งภูตคนหนึ่งแล้ว!”
บนโลกใบนี้ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่เป็นใหญ่ เผชิญหน้ากับผู้มีพลังขั้นจักรพรรดิเช่นนี้ ท่านเจ้าเมืองก็ไม่อาจสู้ได้
ตอนนี้บุตรชายของท่านเจ้าเมืองก็ตกตะลึงพรึงเพริดขึ้นแล้ว “นายท่าน ได้โปรดไว้ชีวิตด้วย! นายท่าน ข้าน้อยสมควรตายจริง ๆ ข้าน้อยไม่สมควรดูถูกสตรีเช่นนี้”
มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกขึ้นเล็กน้อย นี่มันสตรีที่ไหนกันเล่า!
สีหน้าของอินรั่วเฉินก็ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก มู่เฉียนซีกล่าว “รีบไสหัวไปให้พ้น อย่ามาเกะกะขวางหูขวางตาข้า!”
“ขอรับ ๆ ๆ!”
เขารีบพาลูกน้องออกไปทันที มู่เฉียนซีกล่าวหยอกล้ออินรั่วเฉินว่า “คนงาม เราไปกันเถอะ!”
อินรั่วเฉินก้มหน้าและตามไปอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้เปล่งเสียงกล่าวแต่อย่างใด
ทันทีที่ท่านเจ้าเมืองรู้ว่าบุตรชายของตนเองได้ไปยั่วโมโหผู้มีพลังขั้นจักรพรรดิผู้หนึ่งเข้า เขาก็รู้สึกตื่นตระหนกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง จึงรีบนำคนไปขอโทษขอโพย
ยอดฝีมือเช่นนี้สามารถทำลายเมืองเล็ก ๆ ของเขาได้อย่างง่ายดาย
“นายท่าน บุตรชายของข้าไม่รู้ความ ได้โปรดนายท่านให้อภัยบุตรชายของข้าด้วย”
มู่เฉียนซีโบกมือพลางกล่าวว่า “ข้าไม่ชอบฟังคำพูดไร้สาระ ไม่ต้องขอโทษข้า ของชดเชยที่นำมาก็ไม่ถูกใจข้าสักนิด!”
ท่านเจ้าเมืองตกตะลึงกับคำพูดนี้มาก สมกับเป็นผู้สูงศักดิ์จริง ๆ!
“แต่…” มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น
คำพูดเพียงเท่านี้ของมู่เฉียนซีก็ทำให้ท่านเจ้าเมืองหวาดกลัวจนเหงื่อเย็นผุดพรายขึ้นท่วมตัว หรือว่านายท่านผู้นี้จะไม่ยอมปล่อยพวกเขาไปจริง ๆ
“เจ้าตอบคำถามข้ามาสักสองสามคำถาม หากข้าพอใจ ข้าจะไม่เอาความกับพวกเจ้า! แต่หากคำตอบทำให้ข้าไม่พอใจแล้วละก็ ข้าจะทำลายคฤหาสน์ของเจ้าทิ้งซะ” ในขณะที่กล่าวนั้น มู่เฉียนซีก็เผยกลิ่นอายอันเย็นยะเยือกอย่างน่าเกรงขามออกมา
.