ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1424 โอรสศักดิ์สิทธิ์ถูกตี
อินรั่วเฉินเผยรอยยิ้มอย่างไม่อาจหยั่งรู้ได้ออกมา และกล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “ความลับสวรรค์มิอาจเปิดเผยได้!”
ปัง!
มู่เฉียนซีได้ยินเช่นนี้แล้วก็อารมณ์เสียขึ้นมาทันที
นางยกขาเตะเจ้าพระนี่ออกไปจากประตูอุโบสถทันที
“พระใจดำ ข้าอยากจะสั่งสอนเจ้าจริง ๆ เลย อยู่ต่อหน้าข้าเจ้าไม่ต้องมาเสแสร้งทำตัวเป็นคนดีหรอก เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเจ้าเหรอ!” มู่เฉียนซีถลึงตาจ้องมองเขา
อินรั่วเฉินลุกขึ้นมาด้วยหน้าตาที่เปรอะเปื้อน สองมือพนมขึ้นพลางกล่าวว่า “พระท่านตรัสเอาไว้ว่าพูดออกไปไม่ได้ พูดไม่ได้จริง ๆ!”
มู่เฉียนซีแย่งไม้กวาดมาจากพ่อบ้าน และใช้ด้ามไม้กวาดตีอินรั่วเฉินรัว ๆ ทันที
ผัวะ ผัวะ ผัวะ!
“อินรั่วเฉิน ข้าทนเจ้ามานานมากแล้วนะ”
“พูดจาเหลวไหลอยู่ได้ เจ้ามันหลอกลวงข้า”
“……”
พ่อบ้านที่กวาดพื้นอยู่ด้านนอกพระอุโบสถเหล่านั้นเบิกตากว้างด้วยความตกใจ นี่…
โอรสศักดิ์สิทธิ์ถูกตีเหรอ!
ท่านโอรสศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่ง นึกไม่ถึงเลยว่าจะถูกคนเอาด้ามไม้กวาดตี!
“คุณชายมู่ อย่า!”
“คุณชายมู่! ตีไม่ได้นะ!”
“……”
คนอื่น ๆ ก็ไม่อาจทนดูได้อีกต่อไปแล้ว จึงรีบเข้ามาห้ามโดยพลัน
มู่เฉียนซีกล่าว “โอรสศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องทำเช่นนี้ถึงจะสามารถทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี หากพวกเจ้าอยากให้โอรสศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้าหายเร็ว ๆ ก็อย่าได้เข้ามาขวาง ยืนดูก็พอแล้ว”
ผัวะ!
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง จนทำให้คนเหล่านี้เชื่อนางอย่างสนิทใจ
และแน่นอนว่าถึงแม้ว่าพวกเขาจะเห็นโอรสศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาถูกตี แต่พวกเขาก็ไม่ได้โกรธเลยแม้แต่น้อย
อืม! บางทีมันอาจจะเป็นวิธีการรักษาให้โอรสศักดิ์สิทธิ์หายได้ก็ได้ มิเช่นนั้นผู้ใดกันเล่าจะกล้าลงมือตีโอรสศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้
ในตอนนี้มู่เฉียนซีเองก็หมดแรงแล้วเช่นกัน อินรั่วเฉินจึงกล่าวว่า “แม่นางมู่ เหนื่อยแล้วเหรอ”
“ไสหัวไป! ข้ายังไม่อยากเห็นหน้าเจ้าตอนนี้”
แม้ว่าอินรั่วเฉินจะได้รับบาดเจ็บยังไม่หายดี แต่หากว่าเขาไม่ยอม นางก็ไม่มีทางรังแกเขาเช่นนี้แน่นอน
“เช่นนั้นอาตมาขอตัว”
เขารู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัว แม่นางมู่ลงมือหนักเหลือเกิน!
เห็นได้ชัดว่านางคับแค้นใจมากเพียงใด มุมปากของอินรั่วเฉินยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
เรื่องของเผ่าวิญญาณร้าย เนื่องจากแคว้นเทพฟ้านอินได้เผยแพร่เรื่องนี้ออกไป กองกำลังทั่วทั้งดินแดนสี่ทิศล้วนแต่รู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว
และแน่นอนว่าข่าวนี้ก็ไปถึงตำหนักเป่ยหานเช่นกัน
“ฝ่าบาท เผ่าวิญญาณร้ายนั่น!” มีคนเข้ามารายงาน
“ก็แค่เผ่าชั่วร้ายที่ชอบฝึกฝนในทางที่ผิด ที่สมควรหายสาบสูญไปได้ตั้งนานแล้วเผ่าเดียว ไม่มีอะไรต้องกลัว! ต่อให้พวกมันทำลายดินแดนสี่ทิศลงมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้า เพราะข้าหาร่องรอยเบาะแสของหม้อเทพนิรันดร์เจอแล้ว”
ในตอนแรกที่ให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อดินแดนชั้นต่ำเช่นนี้ก็เพราะว่าหม้อเทพนิรันดร์เท่านั้น
ตราบใดที่เขาเอาหม้อเทพนิรันดร์กลับไปได้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในดินแดนชั้นต่ำแห่งนี้อีกต่อไป
“นานถึงเพียงนี้ยังไม่ได้ข่าวของมู่เฉียนซีอีก พวกเจ้าทำให้ข้าผิดหวังจริง ๆ!” เป่ยกงจั๋วกล่าวเสียงขรึม
“ข้าน้อยจะตามหาแหล่งกบดานของมู่เฉียนซีอย่างสุดความสามารถ ไม่ให้ฝ่าบาทต้องผิดหวังอีกเด็ดขาด!” ลูกน้องของเขากล่าวด้วยความหวาดกลัว
หลังจากที่ได้ประกาศเรื่องสำคัญเช่นนี้ให้ทั่วทั้งดินแดนรู้แล้ว แคว้นเทพฟ้านอินก็จัดงานเลี้ยงต้อนรับขึ้น
พิธีศักดิ์สิทธิ์!
พสกนิกรแห่งแคว้นเทพฟ้านอินไปรวมตัวกันที่แท่นบูชา เพื่อฟังโอรสศักดิ์สิทธิ์สวดมนต์ชะล้างจิตวิญญาณ
มู่เฉียนซีกล่าว “อินรั่วเฉิน นี่เจ้าจะแบกร่างที่ยังไม่หายดีนี้ของเจ้าไปสวดมนต์จริง ๆ เหรอ!”
นี่ไม่ใช่การสวดมนต์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องใช้พลังจิตด้วย และพลังจิตของเขาตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้นฟูกลับมาได้หมด
อินรั่วเฉินกล่าว “ครั้งนี้เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่พวกนั้นจะลงมือ จะขาดข้าไปไม่ได้”
มู่เฉียนซี “ข้าก็คิดเช่นเดียวกับเจ้า เป้าหมายแรกของพวกนั้นน่าจะเป็นเจ้า ส่วนเป้าหมายต่อมาก็คือผลึกวิญญาณราชาทมิฬ แต่ของสิ่งนั้นมันอยู่ที่ข้า เจ้าต้องการใช้มันหรือไม่?”
อินรั่วเฉินส่ายหน้าพลางกล่าว “ข้าให้คนเตรียมผลึกวิญญาณราชาปลอมขึ้นมาแล้ว เอามาใช้เป็นเหยื่อล่อพวกมันได้ ส่วนผลึกวิญญาณราชาทมิฬนั่นมันมีพลังชั่วร้ายอยู่ด้านใน ของเช่นนั้นข้าใช้ไม่ได้”
“แต่หากตกไปอยู่ในมือพวกนั้นแล้วละก็ ต้องเกิดหายนะครั้งใหญ่ขึ้นแน่”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “จะว่าไปหลายวันที่ผ่านมานี้ข้าเองก็กำลังศึกษาของสิ่งนั้นอยู่เหมือนกัน พลังนั้นมันชั่วร้ายมาก แต่ยาของข้าช่วยได้ คาดว่าอีกไม่นาน ของสิ่งนั้นก็จะกลายเป็นผลึกวิญญาณที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้โดยไร้ซึ่งอันตราย”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ แม้แต่อินรั่วเฉินเองก็ยังรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“นึกไม่ถึงเลยว่าแม่นางมู่จะทำถึงขั้นนี้ได้”
“เจ้าคงจะไม่ลืมกระมังว่าข้าเป็นใคร!”
เขาไม่ลืมแน่นอน นางเป็นถึงนักปรุงยาที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนสี่ทิศ หมอปีศาจมู่เฉียนซี
เขายิ้มพลางกล่าวว่า “หากทำสำเร็จ ไม่แน่อาจจะได้กำไรมาไม่น้อย และอาจจะทำลายแผนการของเผ่าวิญญาณร้ายจนย่อยยับได้เลยก็ได้”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน ข้าก็เลยไปทดลองปรุงยามา และคิดเอาไว้แล้วว่าวันทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ข้าต้องไปให้ได้ หากเกิดเรื่องขึ้น คนพวกนั้นทำเจ้าตายขึ้นมา ข้ายังพอมีทางช่วยเจ้าได้”
สิ่งที่อยู่ในผลึกวิญญาณราชาทมิฬนี้ดื้อรั้นมากเกินไปแล้ว แม้แต่มู่เฉียนซีเองก็ยังต้องศึกษาอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่งกว่าจะคิดหาทางปรุงยาออกมาได้
ไม่นานนัก วันทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ก็มาถึง
เส้นทางจากตำหนักเทพไปยังแท่นบูชาเต็มไปด้วยพสกนิกรของแคว้นเทพฟ้านอิน ในมือของเหล่าพสกนิกรถือธูปต่าง ๆ นานาชนิด
กลิ่นธูปหอมตลบอบอวลไปทั่วทั้งเมืองหลวง
มู่เฉียนซีเองก็เดินตามไปเช่นกัน หลังจากที่อินรั่วเฉินไปถึงแท่นบูชา เขาก็นั่งลงบนอาสนะ
ในขณะนั้นเอง นางก็รู้สึกได้ถึงแสงสว่างที่เจิดจรัสของเขา
มู่เฉียนซีตกใจนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง หากนางไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าหมอนี่เป็นคนใจร้ายใจดำแล้วละก็ นางต้องถูกเจ้าหมอนี่หลอกลวงเป็นแน่
ดวงตาคู่นั้นของอินรั่วเฉินปิดสนิท และเขาก็เริ่มสวดมนต์
เขาสวดมนต์ด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ให้ทุกคนฟัง
มู่เฉียนซีเองก็เช่นกัน!
จิตใจของพวกเขาก็ยิ่งลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น!
ละทิ้งการเข่นฆ่าทุกอย่าง ร่วมกันชะล้างรอยเลือดและบาปไปด้วยกัน!
มู่เฉียนซีกระพริบตาเบา ๆ มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ต้องยอมรับเลยว่าอินรั่วเฉินเป็นคนที่น่าทึ่งคนหนึ่งเลยก็ว่าได้
นางไม่ได้ต่อต้านพลังนี้แต่อย่างใด เลือกที่จะยอมรับและนั่นก็ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายมาก
ที่โอรสศักดิ์สิทธิ์ฟ้านอินได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากผู้คนมากมายเช่นนี้ ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
เพียงแต่ว่า…
เหล่าบรรดาผู้แสวงบุญเหล่านี้ดูไม่ออก แต่มู่เฉียนซีในฐานะที่เป็นนักปรุงยานางกลับดูออกว่าสีหน้าของอินรั่วเฉินตอนนี้ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
แม้แต่นางเองก็รู้ว่าการทำพิธีนี้ต้องใช้พลังจิตอย่างมหาศาล เจ้าหมอนี่จะทนได้อย่างไรกันล่ะ
มู่เฉียนซีอยากตะโกนบอกให้เขาหยุดเสียเหลือเกิน แต่อินรั่วเฉินที่อยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้นางตะโกนบอกให้หยุดเช่นไรก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี
“หากทนไม่ไหวเขาก็ควรที่จะหยุด ทำร้ายตัวเองเพื่อคนอื่น เจ้าหมอนี่คงไม่ได้ใจกว้างถึงเพียงนั้นกระมัง!”
เวลาค่อย ๆ ผ่านไปอย่างช้า ๆ นับตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงตะวันอยู่เหนือหัว อินรั่วเฉินก็ยังไม่หยุด
มู่เฉียนซีรู้สึกว่าตัวเองถูกชะล้างจิตใจจากภายในสู่ภายนอกแล้ว ขณะเดียวกันสีหน้าของอินรั่วเฉินตอนนี้ซีดเผือดลงมาก
เมื่อสวดบทสุดท้ายจบ เขาก็หยุดลง และค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา
ทุกคนล้วนแต่คุกเข่าก้มลงกราบ “ขอบพระคุณโอรสศักดิ์สิทธิ์!”
“ขอบพระคุณโอรสศักดิ์สิทธิ์!”
ในกลุ่มคนกลุ่มนี้ มีคนผู้หนึ่งลุกพรวดขึ้นด้วยความมั่นใจ
แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของคนผู้นั้นจะดูธรรมดาทั่วไป แต่อินรั่วเฉินก็มองเห็นนางแล้ว
และตอนนี้นางกำลังจ้องมองไปที่เขาด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง อินรั่วเฉินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เขายังจำภาพที่ถูกนางตีด้วยด้ามไม้กวาดได้อย่างชัดเจน ภายใต้สายตาที่นางมองมาที่เขาเช่นนี้ ทำให้เขาอดที่จะรู้สึกเจ็บเนื้อเจ็บตัวไม่ได้เลย
และในตอนนี้เอง เสียงหัวเราะเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ก่อนจะกล่าวว่า “ท่านโอรสศักดิ์สิทธิ์สวดได้ไม่เลวเลย แต่เป็นถึงโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งแคว้นเทพฟ้านอินจะสวดมนต์เก่งเอาใจคนอย่างเดียวก็คงไม่พอ พลังความแข็งแกร่งต่างหากล่ะคือสิ่งที่สำคัญที่สุด”
.