ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1439 คนรักของท่านหัวหน้าหอ
“คงจะเหมือนที่จื่อโยวพูดอยู่บ่อย ๆ กระมัง ป่วยเพราะคิดถึง!”
มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกขึ้นเล็กน้อย “คิดถึงบ้าบออะไรของเจ้า…”
มู่เฉียนซียกขาเตะ คิดจะเตะให้เจ้าหมอนี่ออกไปไกล ๆ
ความแข็งแกร่งที่ห่างชั้นกันนั้นทำให้มู่เฉียนซีทำอะไรเขาไม่ได้
“ก็บอกแล้วอย่างไรเล่าว่าให้อยู่เป็นเพื่อนข้าเฉย ๆ อย่าได้คิดเอาเปรียบข้า!”
ดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกคู่นั้นมองมู่เฉียนซีอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะกล่าวว่า “หรือว่าจะเปลี่ยนเป็นให้ซีเอาเปรียบข้าแทนดีล่ะ?”
“หากเจ้าทำอันใดผลีผลาม ระวังข้าจะให้สุ่ยจิงอิ๋งส่งเจ้ากลับไป”
จิ่วเยี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอนกายนอนข้าง ๆ มู่เฉียนซี ก่อนจะกล่าวออกมาว่า “ก็ได้ ข้าเชื่อฟังซี มาสิ!”
“มาอะไรของเจ้า นอน!”
มู่เฉียนซีเอนกายนอนนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อนแต่อย่างใด!
จิ่วเยี่ยพลิกกายจ้องมองนาง และกล่าวว่า “จะนอนนิ่ง ๆ เช่นนี้ไม่ได้!”
“ไม่ได้ใช่หรือไม่!”
มือข้างหนึ่งของมู่เฉียนซีจับไปที่คอของเขา คอของเขาแผ่ซ่านอุ่นไอร้อนผ่าวออกมา
แพรขนตาหนากระพือขยับเล็กน้อย “เช่นนั้น ข้าจะทำให้เจ้าสมดั่งปรารถนาเอง! องค์ชายจิ่วเยี่ย”
กลิ่นอายอันร้อนผ่าวนั้นสัมผัสร่างกายของจิ่วเยี่ยดุจดั่งขนนก กระตุ้นร่างกาย หัวใจ ตลอดไปจนถึงอารมณ์ที่ถูกยับยั้งมานานของจิ่วเยี่ย
จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงต่ำและน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ซีเล่นกับไฟ ต้องระวังสักหน่อยนะ!”
ในฐานะที่เป็นเจ้านายของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ มู่เฉียนซีไม่กลัวที่จะเล่นกับไฟ แต่การเล่นกับไฟในตัวจิ่วเยี่ยนั้น มันไม่ใช่เรื่องดีเลย
เช้าวันรุ่งขึ้น ผู้นำตระกูลมู่ที่เล่นกับไฟมาทั้งคืนถึงขั้นลุกขึ้นไม่ไหว และจิ่วเยี่ยเองก็ยังสามารถควบคุมตัวเองได้ ไม่ได้ถูกสุ่ยจิงอิ๋งบีบบังคับส่งตัวกลับแต่อย่างใด
เนื่องจากเขาอยากจะอยู่กับนางนาน ๆ โอกาสเช่นนี้ช่างหาได้ยากยิ่ง จะปล่อยให้สัตว์ร้ายในใจกระทำตามใจมากเกินไปไม่ได้เด็ดขาด
“คิดอยู่แล้วเชียวว่าเหตุใดพระผู้น่ารำคาญนั่นถึงได้รีบเผ่นกลับไปเช่นนั้น ที่แท้ก็เป็นเพราะเยี่ยมานี่เอง”
จื่อโยวมาก็ได้เห็นทั้งสองกำลังพลอดรักกัน จึงอดที่จะพูดมากไม่ได้
จิ่วเยี่ยเหลือบมองจื่อโยวด้วยสายตาเย็นชาพลางกล่าว “ตรงนี้ไม่มีเรื่องอันใดให้เจ้าทำ เจ้ารีบไสหัวไปได้แล้ว!”
มุมปากจื่อโยวกระตุกเล็กน้อย เยี่ยไม่เพียงรู้สึกว่าเจ้าพระผู้นั้นขวางหูขวางตา แม้แต่เขาเองก็ขวางหูขวางตาเยี่ยเช่นกัน
“ก็ได้ ๆ ๆ! ข้าไม่อยู่เป็นก้างขวางคอพวกเจ้าก็ได้ ไปก็ได้!”
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกเจ้านายของตัวเองฆ่าปิดปาก จื่อโยวจึงรีบเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว
มู่เฉียนซีกล่าว “จิ่วเยี่ย เราไปเดินเล่นกันเถอะ! หลังจากทุ่งรกร้างอันกว้างใหญ่ได้ปรับปรุงใหม่ ข้ากลับมาก็ยังไม่ได้ไปเดินเที่ยวดูดี ๆ เลย!”
จิ่วเยี่ยพยักหน้าพลางกล่าว “อืม!”
ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะกำลังฝึกบำเพ็ญอยู่ แต่การใช้ชีวิตของคนในเมืองก็ยังคงใช้ชีวิตกันตามปกติ
มีร้านค้า มีแผงลอย!
ชื่อเสียงในการทำศึกต่อสู้ของผู้นำตระกูลมู่ดูเหมือนว่าจะทำให้ทุกคนล้วนแต่รู้จักนาง
มู่เฉียนซีพาจิ่วเยี่ยมาเดินเล่น ทุกคนเห็นเช่นนี้ต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริดขึ้น
“นึกไม่ถึงเลยว่าท่านหัวหน้าหอจะมาเดินกับบุรุษผู้หนึ่ง แถมยังควงแขนกันอีกด้วย!”
“บุรุษผู้นั้นต้องเป็นคนรักของท่านหัวหน้าหอเป็นแน่!”
“สามีของท่านหัวหน้าหอช่างดูมีอำนาจยิ่งใหญ่จริง ๆ! สวมหน้ากากอำพรางใบหน้าซะด้วย ไม่รู้หน้าตาจะเป็นเช่นไร จะหล่อเหลาหรือไม่ก็ไม่รู้”
คนรักของท่านหัวหน้าหอ!
อันที่จริงคนเหล่านี้ซุบซิบกันเสียงเบามาก แต่ต่อให้เสียงของพวกเขาเบากว่านี้ ก็ไม่มีทางหลุดพ้นหูของมู่เฉียนซีกับหวงจิ่วเยี่ยไปได้!
หากเป็นเมื่อก่อนมีคนมากล่าววาจาเช่นนี้กับจิ่วเยี่ย คาดว่าคงถูกเขาปล่อยจิตสังหารออกมาจนคนเหล่านี้ตกใจกลัวจนหมดสติไปแล้วเป็นแน่
ทว่า ตอนนี้จิ่วเยี่ยอารมณ์ดีมาก สิ่งที่คนเหล่านี้ซุบซิบกันนั้นหมายความว่าเขากับซีมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกัน แต่หากเปลี่ยนจากคนรักกลายเป็นสามีแทนก็คงจะดีกว่านี้
“ฮิ ๆ!”
มู่เฉียนซีอดที่จะขำไม่ได้ “ที่รัก หิวหรือไม่?”
ในขณะที่กล่าวคำว่าที่รักออกมานั้น มู่เฉียนซีรับรู้ได้ว่าดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกของจิ่วเยี่ยมีแสงสะท้อนเปล่งประกายออกมา ทำให้ใจของมู่เฉียนซีเต้นแรงเล็กน้อย
จิ่วเยี่ยพยักหน้าเบา ๆ พลางกล่าว “อืม!”
มู่เฉียนซีเองก็แปลกใจเล็กน้อย จิ่วเยี่ยยอมรับคำพูดติดตลกเหล่านี้ได้ ช่างทำให้มู่เฉียนซีรู้สึกเหมือนได้เปิดโลกใหม่จริง ๆ นางไม่เคยเห็นจิ่วเยี่ยเป็นเช่นนี้มาก่อน
ช่างแปลกยิ่งนัก แปลกเกินไปแล้ว
ครั้นแล้วทั้งสองจึงแวะกินข้าวกัน จากนั้นก็เดินเล่นต่อ
ไม่นานนัก เรื่องที่หัวหน้าหอมู่มาเดินเล่นกับคนรักก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหมอ
“ฮือ ๆ ๆ! ท่านหัวหน้าหอมีเจ้าของแล้ว พวกเราหมดหวังแล้ว”
“ต่อให้หัวหน้าหอไม่มีเจ้าของ เจ้าก็ไม่มีหวังอยู่ดี!”
“คนรักของหัวหน้าหอดูมีพลังอำนาจและแข็งแกร่งเกินไปแล้ว”
ทางด้านเยวี่ยเจ๋อและพวกเก็บตัวฝึกบำเพ็ญอย่างเชื่อฟัง มีองค์ชายจิ่วเยี่ยอยู่ พวกเขาจะกล้ามารบกวนได้อย่างไรกันเล่า ขืนกล้ามารบกวนมีหวังต้องถูกฆ่าตายเป็นแน่
และยามรัตติกาลก็เวียนกลับมาอีกครา มู่เฉียนซีเกิดความรู้สึกมีลางสังหรณ์ใจแปลก ๆ
“จิ่วเยี่ย ข้าว่าเจ้าไปนอนที่ห้องรับแขกดีกว่านะ”
จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีเอาไว้พลางกล่าว “คนเขารู้ทั่วทั้งเมืองแล้วว่าซีกับข้าเป็นอะไรกัน นึกไม่ถึงเลยว่าซีจะทำใจให้ข้าไปนอนในห้องรับแขกได้”
“เอ่อ…ข้าว่าคงไม่มีใครรู้หรอก!”
“แต่ข้าไม่อยากไป ฉะนั้น ข้าไม่ไป!”
ทันทีที่มือของเขาขยับ เสื้อผ้าของมู่เฉียนซีก็หลุดลงทันที
“อือ…”
การดิ้นรนขัดขืนทุกอย่างของนางล้วนแต่ไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น
สัตว์ร้ายตัวนี้กำลังจะกลืนกินนาง!
“จิ่วเยี่ย พอแล้ว!”
น้ำเสียงของมู่เฉียนซีแหบแห้งเล็กน้อย
“คนรักของข้า เรียกข้าว่าสามีสิ แล้วข้าจะเบามือ!”
“หวงจิ่วเยี่ย!”
“เรียกสามี!”
จิ่วเยี่ยยิ่งลงแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ มู่เฉียนซีรู้สึกเจ็บปวดและอ่อนระทวยไปทั่วทั้งร่าง สมองของนางตอนนี้เกิดความลังเลขึ้นแล้ว
เพียงแค่เรียกเขาว่าสามีคำเดียว ประเดี๋ยวก็ดีขึ้น ทุกครั้งที่นางเรียกเขาว่าคนรัก เขาก็จะทรมานนางนับครั้งไม่ถ้วน ราวกับไม่ได้ยินเสียงนาง เพราะต้องการให้นางเรียกเขาว่าสามีเท่านั้น
นางรู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าคนอย่างจิ่วเยี่ยไม่มีทางยอมให้ตัวเองเสียเปรียบแน่นอน
อีกอย่างตอนนี้จิตใจของเขากำลังละโมบ ต้องการให้นางเรียกเขาว่าสามีเท่านั้น!
มู่เฉียนซีพยายามกัดฟันอดทน นางจะไม่มีทางยอมให้เขาสมปรารถนาเด็ดขาด ไม่มีทาง!
ริมฝีปากของจิ่วเยี่ยก้มลงมาสัมผัสริมฝีปากของมู่เฉียนซี เขากล่าว “เรียกสามี!”
“อือ!”
จิ่วเยี่ยขยี้จูบลงบนริมฝีปากนาง นางไม่ยอมเรียก เป็นเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าจนนางรู้สึกว่าลิ้นของนางเริ่มชาแล้ว
เส้นผมสีดำขลับดุจดั่งแพรไหมนั้นสยายยุ่งเหยิง มู่เฉียนซีกำลังจะพังทลายลงแล้ว
ดวงตาของนางเริ่มพร่ามัว ภายใต้ความยั่วยวนของจิ่วเยี่ย มู่เฉียนซีกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า “สา…”
คำหลังนั้นมู่เฉียนซียังไม่ทันได้กล่าวออกมา กลีบดอกของสุ่ยจิงอิ๋งทั้งสามกลีบที่อยู่ในร่างของมู่เฉียนซีกับจิ่วเยี่ยสว่างวาบขึ้น ทันใดนั้นเองร่างของทั้งสองก็ถูกส่งออกไป
จิ่วเยี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “สุ่ยจิงอิ๋ง บอกข้ามาเดี๋ยวนี้ทำเช่นนี้ด้วยเหตุใด!”
มู่เฉียนซีเองก็ตกใจผงะไปครู่หนึ่ง “สุ่ยจิงอิ๋ง นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ต่อให้จิ่วเยี่ยควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว ก็ควรจะส่งจิ่วเยี่ยไปแค่คนเดียว เหตุใดถึงส่งทั้งสองมาด้วยกัน
สุ่ยจิงอิ๋งกล่าว “เมื่อครู่ข้ารับรู้ได้ว่ากลีบดอกอีกส่วนของข้าอยู่ที่ดินแดนสี่ทิศ ข้าก็เลยส่งทั้งสองมาที่สถานที่ที่กลิ่นอายนั้นจางหายไป”
“กลิ่นอายนั้นหายไปเร็วมาก หากช้ากว่านี้เกรงว่าจะไม่ทัน”
แม้ว่าสุ่ยจิงอิ๋งจะชี้แจงออกมาถึงเพียงนี้แล้ว แต่สีหน้าของจิ่วเยี่ยก็ยังคงเย็นชาอยู่ดี
“เจ้าจงใจ!”
น้ำเสียงของสุ่ยจิงอิ๋งดังก้องขึ้นในหัวของจิ่วเยี่ย และไม่ใช่น้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนอย่างที่กล่าวกับมู่เฉียนซี “องค์ชายจิ่วเยี่ยแห่งคุกโลหิต ท่านกับซีเอ๋อร์ยังไม่ได้แต่งงานกัน แต่กลับใช้อุบายต่าง ๆ ให้ซีเอ๋อร์เรียกท่านว่าสามี ท่านคิดว่าข้าจะยอมให้ท่านทำสำเร็จอย่างนั้นเหรอ?”
ถึงแม้ว่าเรื่องมันจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่สุ่ยจิงอิ๋งก็ไม่อยากให้เจ้านายตัวเองเสียเปรียบ
ตอนนี้จิ่วเยี่ยมีความรู้สึกวู่วามอยากจะทำลายดอกบัวหงส์เก้ากลีบนี้ไปให้สิ้น!
ไม่นานนัก พวกเขาก็ถูกส่งมายังสถานที่แห่งหนึ่ง อารมณ์ของจิ่วเยี่ยตอนนี้แย่ลงกว่าเดิม มู่เฉียนซีเขย่งขาหอมแก้มเขาครั้งหนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้ายังไม่ได้เป็นคนของข้าเลยนะ! อย่าบังคับให้ข้าเรียกเจ้าเลย รอให้เจ้าได้กลายเป็นคนของข้าจริง ๆ เสียก่อน ข้าจะทำให้เจ้าสมปรารถนาแน่นอน!”