ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 150 กระบี่สนิมเล่มหนึ่ง
— ตูม! —
มู่เฉียนซีแขวนมันไว้บนโซ่สีทอง นางพยายามใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักฝาโลงศพออกไปให้พ้นทาง
โลงศพสีทองมีร่างสวมชุดเกราะและหมวกเหล็กอยู่ภายใน กระบี่เก่า ๆ สนิมเขรอะเล่มหนึ่งวางอยู่ข้างกาย
ในตอนนั้นเอง อาถิงกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันเบา “มู่เฉียนซี กระบี่เล่มนี้มันแปลก ๆ บางทีมันอาจสามารถทําลายทหารเกราะทองได้”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโส ข้าต้องรบกวนท่านแล้ว ข้าขอยืมกระบี่ไปใช้สักหน่อย ใช้เสร็จจะรีบนำกลับมาคืนด้วยตัวเอง”
เมื่อมู่เฉียนซีกําลังจะเอื้อมมือไปหยิบกระบี่เล่มนั้นขึ้นมา ทันใดนั้นมีเสียง ‘หึ่ง’ ดังขึ้นก่อนที่กระบี่ยาวเล่มนี้จะลอยขึ้นมาอยู่ตรงหน้านาง แม้ว่ามันจะยังไม่ขยับ นางก็สัมผัสได้ถึงพลังสังหารอย่างแรงกล้าที่แผ่กระจายเข้ามา
“โล่วิญญาณวารี!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังร้ายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มู่เฉียนซีรีบป้องกันตนเองอย่างรวดเร็ว
“หญิงอัปลักษณ์ นี่คือการโจมตีทางวิญญาณ ระวังตัวด้วย” อาถิงตะโกนออกมาอย่างกะทันหัน
ปราณกระบี่เหล่านี้มิใช่การโจมตีทางกายภาพ แต่เป็นการโจมตีวิญญาณของมู่เฉียนซี ทันใดนั้นมู่เฉียนซีรู้สึกหัวสมองว่างเปล่า เมื่อนางรู้สึกตัว กระบี่ขึ้นสนิมเล่มนี้กลับลอยมาตรงหน้านาง
กระบี่ขึ้นสนิมเก็บกักจิตสังหารของมันไว้ มันลอยเข้าหานางราวกับสัตว์เลี้ยงที่น่ารักมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าของ
มู่เฉียนซีจับด้ามสีดําของกระบี่ กล่าวถามว่า “อาถิง เกิดอะไรขึ้น ?”
“พลังวิญญาณของผู้หญิงอย่างเจ้าแข็งแกร่งมาก กระบี่เล่มนี้แข็งนอกอ่อนใน การโจมตีทางวิญญาณไม่สามารถเอาชนะเจ้าได้ จึงถูกวิญญาณของเจ้าสะท้อนกลับ มันยอมจำนนต่อเจ้าแล้ว”
“พรวด!”
การต่อสู้ด้านล่างเป็นไปอย่างดุเดือด ซวนหยวนชิงอวิ๋นถูกหมัดของทหารตระกูลจินชกเข้าเต็มแรง เขากระอักเลือด ร่างก็กระเด็นออกไป เดิมทีเขาได้รับบาดเจ็บมากอยู่แล้ว ยังมาได้รับบาดเจ็บมากขึ้นอีก
มู่เฉียนซีหน้าถอดสี นางกล่าวอย่างว้าวุ่นใจ “ท่าไม่ดีแล้ว”
มู่เฉียนซีกระโดดลงจากโลงศพสีทอง ฟันกระบี่ใส่ทหารเกราะทองที่ไล่ตามซวนหยวนชิงอวิ๋นโดยไม่สนใจเลยว่ากระบี่เล่มนั้นจะใช้การได้หรือไม่ได้
ทว่า… กระบี่ขึ้นสนิมที่สามารถแตกหักได้ทุกเมื่อ กลับแทงทะลุผ่านร่างทหารเกราะทองได้ มู่เฉียนซีขยับเบา ๆ ทันใดนั้นร่างทหารเกราะทองที่อยู่ตรงหน้านางเริ่มแตกร้าว นางเบิกตากว้าง อุทานออกมาในทันใด “โอ้! กระบี่เล่มนี้ช่างร้ายกาจจริง ๆ ไม่อาจมองแต่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกได้”
มู่เฉียนซีเดินผ่านร่างของเขาไป นางมองไปยังตำแหน่งที่ทหารเกราะทองต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย
— ตูม! —
กระบี่สนิมฉีกกระชากอากาศ มันพุ่งไปตัดเอวทหารเกราะทองขาดสะบั้น
อู๋ตี้กล่าวอย่างตื่นเต้น “นายท่านผู้ทรงอํานาจ นายท่านช่างเก่งกาจอย่างมาก”
เสี่ยวหงพลันร้องเรียก “นายท่านช่วยข้าด้วย!”
มู่เฉียนซีกระโดดขึ้นไปบนอากาศ ฟาดฟันกระบี่ลงมาอย่างรุนแรง ทหารเกราะทองที่อยู่ตรงหน้าเสี่ยวหงถูกฟันผ่าร่างตั้งแต่หัวจรดเท้าจนร่างแยกออกเป็นสองซีก
บัดนี้ทหารเกราะทองผู้ไร้เทียมทาน น้ำไฟไม่อาจทำอันตรายแก่มันได้ กลับโดนกระบี่ขึ้นสนิมเล่มนี้ตัดขาดราวกับเต้าหู้โดนมีดทำครัวหั่น
ซวนหยวนชิงอวิ๋นใบหน้าซีดเผือด อวัยวะภายในของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
มู่เฉียนซีรีบหยิบเอายาวิเศษออกมาสองสามขวด นางกล่าว “ข้าให้เจ้ากินทั้งหมดนี่เลยดีหรือไม่ ?”
“ทั้งหมดรึ ?” ซวนหยวนชิงอวิ๋นตระหนกตกใจ
“ข้ารู้ว่ายาของข้าดี กินมากไปไม่มีผลข้างเคียง เจ้ารีบกินเถอะ!” มู่เฉียนซีกล่าวพลางจัดยา
มุมปากของซวนหยวนชิงอวิ๋นกระตุก แต่นั่นไม่สำคัญเลย… ยาเหล่านี้เป็นยาระดับสาม แม้นิสัยของเขาจะเย็นชา แต่การกลืนเม็ดยาระดับสามไปหลายสิบเม็ดในทันที ต้องใช้ความอดทนจากหัวใจอันแข็งแกร่ง
มู่เฉียนซีขยับนิ้ว เข็มยาหลายเข็มเข้าไปในบาดแผลใหญ่ในแต่ละจุดบนร่างกายซวนหยวนชิงอวิ๋น
มู่เฉียนซี “ในเมื่อเป็นคนป่วยก็กินยาซะดี ๆ หรือเจ้าจะต้องให้ข้าป้อน ? ตัวข้าไม่ขาดยาระดับสาม เจ้าอย่าได้ชักช้าในเวลาเช่นนี้”
ซวนหยวนชิงอวิ๋นกล่าวอะไรไม่ได้ ได้แต่กลืนยาลงคอไป ยาระดับสามมีราคาสูงลิบลิ่ว เปรียบเสมือนยาที่จับต้องได้ยากในอาณาจักรจื่อเยี่ย การกลืนกินยาครั้งนี้ของเขาเปรียบเสมือนการที่เขาได้กลืนเงินจากท้องพระคลังของอาณาจักรจื่อเยี่ยไปกว่าครึ่ง
ในตอนนั้นเอง มู่เฉียนซีสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแปลก ๆ รอบ ๆ ตัวเขา ทันใดนั้นโลงศพสีทองที่ลอยอยู่กลางอากาศพลันมีแสงสีทองสาดวาบออกมา ฉับพลันทันใดชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีทองปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ
ท่านลุงวัยกลางคนผู้นี้ มีใบหน้าสง่างาม ท่าทางองอาจ เขาแผ่กลิ่นอายแบบผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้า
“ท่านเป็นใคร ?” มู่เฉียนซีเอ่ยถาม
ซวนหยวนชิงอวิ๋นลุกขึ้นยืน ดวงตาของเขาสงบนิ่งราวกับผิวน้ำนิ่งสงบ เขากล่าวอย่างช้า ๆ ว่า “ข้าคิดว่าท่านคงเป็นจักรพรรดิแห่งขวางอวิ๋น สุสานของจักรพรรดิขวางอวิ๋นผู้ที่เคยได้ยึดครองทั้งดินแดนเซี่ยโจวเมื่อสามพันปีก่อนอยู่บนเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้เองรึ ?”
ชายวัยกลางคนมองซวนหยวนชิงอวิ๋นด้วยสายตาร้อนราวกับคบเพลิง “เจ้าสามารถจดจําตัวตนของข้าได้ ไม่เลวเลย เมื่อก่อนข้าพ่ายแพ้ให้กับจักรพรรดิปิงเสว่หลิงตี้ที่ทางเหนือ และได้รับบาดเจ็บสาหัสชนิดที่ว่ายากจะรักษา ทำได้เพียงแค่สร้างสุสานไว้ ณ ที่แห่งนี้ เพื่อรอผู้ที่มีชะตาต้องกันมาสืบทอดตำแหน่งขวางอวิ๋นของข้า… มรดกของจักรพรรดิสงคราม”
ซวนหยวนชิงอวิ๋นกล่าวว่า… “เฉียนซีสามารถใช้กระบี่มังกรเพลิงของพระองค์ได้ ดังนั้นเฉียนซีคงจะเป็นทายาทที่พระองค์ตามหาเป็นแน่” กล่าวจบซวนหยวนชิงอวิ๋นมองมู่เฉียนซี เขาดีใจที่นางได้รับมรดกเช่นนี้
ในสองพันปีที่ผ่านมา ทั้งทวีปเซี่ยโจวมีบุคคลระดับจักรพรรดิปรากฏมาเพียงสองคนเท่านั้น ผู้หนึ่งคือจักรพรรดิขวางอวิ๋น อีกผู้หนึ่งคือจักพรรดิปิงเสว่หลิงตี้
เมื่อมีคนได้รับมรดกของเขา ก็มีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิและเป็นอันดับหนึ่งของทวีปเซี่ยโจว
ทว่าสิ่งที่ทําให้พวกเขาไม่เข้าใจคือ จักรพรรดิแห่งขวางอวิ๋นส่ายหัวไปมา
“ไม่! สาวน้อยคนนี้สามารถทําให้กระบี่มังกรเพลิงยอมจํานนได้ แต่เกรงว่านางไม่อาจยอมรับมรดกของข้า นางจะชอบมรดกของข้ารึ ?”
ผ่านไปชั่วครู่ อาถิงพึมพํา “นับว่าลุงผู้นี้ตาถึงอยู่บ้าง ผู้ที่ทำสัญญากับข้าคือผู้ฝึกวิชาเทพทรมาณ ย่อมไม่มีประโยชน์ต่อมรดกของเขา”
จักรพรรดิแห่งสงครามขวางอวิ๋นกล่าว “ตอนนั้นข้าบังเอิญได้รับกระบี่มังกรเพลิง หากมีมันข้าจะบรรลุถึงระดับจักรพรรดิได้ แต่ต่อให้เป็นจักรพรรดิยอดยุทธ์ ข้าก็ไม่สามารถทำให้กระบี่มังกรเพลิงยอมจํานนเป็นของข้าอย่างแท้จริงได้ แต่เจ้ากลับทำได้”
มู่เฉียนซีจับกระบี่มังกรเพลิงไว้แน่น นางถามว่า “กระบี่ขึ้นสนิมเล่มนี้แข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรือ ?”
จักรพรรดิแห่งสงครามขวางอวิ๋นกล่าว เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “กระบี่มังกรเพลิงมีความลับ ข้าใช้เวลาค้นหาหลายร้อยปีแล้วยังไม่พบอะไรเลย ในเมื่อกระบี่มังกรเพลิงยอมจํานนต่อเจ้าแล้ว เช่นนั้นนับแต่นี้ไปมันก็เป็นของเจ้า เจ้าสามารถไขความลับของกระบี่มังกรเพลิงได้หรือไม่ นั่นก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเจ้า”
หลังจากพูดเรื่องกระบี่มังกรเพลิงจบ เขาก็มองซวนหยวนชิงอวิ๋น สายตาอันแหลมคมนั้น ดูเหมือนจะมองทะลุไปยังจิตวิญญาณของซวนหยวนชิงอวิ๋น
สมแล้วที่เป็นจักรพรรดิในตํานาน น่ากลัวอย่างแท้จริง
จักรพรรดิแห่งสงครามขวางอวิ๋น “พรสวรรค์ของเจ้าแม้ว่าจะไม่ได้ดีที่สุด แต่หัวใจของเจ้า นอกเหนือจากจุดอ่อนเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เหลือกลับสมบูรณ์ ข้าอยากถามเจ้าว่าเจ้าจะยอมรับมรดกแห่งโชคชะตาจักรพรรดิของข้าหรือไม่ ?”
ซวนหยวนชิงอวิ๋นเงยหน้ามองจักรพรรดิแห่งสงครามขวางอวิ๋น เขากล่าวว่า “มรดกของจักรพรรดิในดินแดนเซี่ยโจวที่กว้างใหญ่นี้ คงไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ ข้าซวนหยวนชิงอวิ๋นก็เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสของจักรพรรดิแห่งสงครามขวางอวิ๋น ในเมื่อท่านเลือกผู้ที่มีจุดอ่อน ไม่สมบูรณ์แบบเช่นข้า ท่านแน่ใจหรือว่าจะเลือกข้าเป็นผู้รับมรดกแห่งโชคชะตาของท่าน ?”
จักรพรรดิแห่งสงครามขวางอวิ๋นกล่าว แววตามุ่งมั่น “ข้าไม่อยากรออีกหลายพันปี อีกอย่าง จุดอ่อนของมนุษย์นั้น บางครั้งถึงแม้จะทําให้ผู้คนตกต่ำลงได้ มันก็สามารถทําให้ผู้คนเดินหน้าต่อไปอย่างไม่มีสิ่งใดให้เสียดายภายหลังได้ด้วย แม้ตัวข้าผู้เป็นจักรพรรดิไม่เคยมีจุดอ่อนใด ๆ เกรียงไกรไปทั่วใต้หล้า เมื่อถึงจุดจบของชีวิตกลับไม่มีใครคิดถึง ไม่มีใครผูกพัน ทว่าเจ้า เจ้าที่แตกต่างจากข้าอาจสามารถเดินไปในเส้นทางที่แตกต่างจากข้าได้ ข้าจะตั้งตารอดูเจ้า จงไปให้ไกลกว่าข้า”
ซวนหยวนชิงอวิ๋นกล่าวว่า “ข้าซวนหยวนชิงอวิ๋นจะไม่ทำให้พระองค์ผิดหวังเป็นอันขาด”
.