ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1544 การต่อสู้อันแสนดุเดือด
มู่เฉียนซีกล่าว “ศิษย์พี่ ให้ข้าจัดการเถอะ!”
“ระวังตัวด้วย!”
“อื้ม!”
ร่างสีม่วงวาบผ่านไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด เพียงชั่วพริบตามู่เฉียนซีก็ปรากฎกายบนลานประลองแล้ว
ทั้งสองยืนประจันหน้าเข้าหากัน เฉี่ยเยว่กล่าว “ข้าไม่เหมือนพวกไร้ประโยชน์นั่นใช่หรือไม่?”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่เหมือนคนเหล่านั้นอยู่แล้ว เพราะอายุขัยของเจ้าช่างสั้นเหลือเกิน”
ในฐานะนักปรุงยา มู่เฉียนซีมองออกว่าบุรุษผู้นี้มักฝึกยุทธ์ด้วยวิธีสุดโต่งเป็นประจำ จึงทำให้ร่างกายของเขาย่ำแย่และทรุดโทรมเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าอยากตายสินะ!” มู่เฉียนซีกล่าวเหน็บแนมจี้ใจดำได้ถูกจุด ทำให้สีหน้าของเฉี่ยเยว่ดูขมึงทึงขึ้นมาโดยพลัน
ผู้ตัดสินไม่รอช้า รีบประกาศขึ้นในทันที “การประลองเริ่มขึ้นได้!”
สุ้มเสียงของผู้ตัดสินเพิ่งจางหายไปได้ไม่นาน พลังของเฉี่ยเยว่ก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นหมอกสีโลหิต ลอยปกคลุมอยู่รอบตัวของเขา
บรรดาผู้คนที่รายล้อมอยู่รอบด้านก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นในทันที “คนผู้นี้ใช่ศิษย์ของสำนักวารีเมฆาหรือ เหตุใดจึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!”
“ไม่เพียงแต่ไม่เคยได้ยินเท่านั้น แต่ทักษะวิญญาณเช่นนี้ก็ดูแปลกประหลาดมาก”
มู่เฉียนซีไม่ได้สนใจอันใด นางเริ่มโจมตีอีกฝ่ายในทันที
“มังกรน้ำแข็งท้าสวรรค์!!”
มังกรน้ำแข็งตัวนี้ไม่เพียงแต่จะทรงพลังเท่านั้น ทว่ายังแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย
ปัง!
มันพุ่งเข้าชนร่างที่ปกคลุมไปด้วยหมอกโลหิตด้วยความเร็วที่เร็วยิ่ง ทว่าเฉี่ยเยว่กลับไม่ได้หลบหลีก และไม่ได้ตอบโต้แต่อย่างใด!
ปัง! เสียงอึกทึกครึกโครมดังสนั่นไปทั่ว หลังเผชิญหน้ากับการโจมตีที่รุนแรงถึงเพียงนี้ ทุกคนก็พบว่าเฉี่ยเยว่ไม่ได้ล่าถอยไปแม้แต่ก้าวเดียว
ทุกคนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นา ๆ นี่…
“ต้านได้ ต้านได้ง่าย ๆ เลย!”
“หมอกโลหิตนั่นมีพลังต้านทานที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวรึ!”
เฉี่ยเยว่กล่าว “เจ้าก็ไม่เท่าไรนี่ ต่อไปเป็นคราวของข้าบ้างแล้ว”
เฉี่ยเยว่เหวี่ยงหมัดออกไปอย่างรวดเร็ว หากมองอย่างผิวเผินแล้ว มันก็อาจจะดูเป็นเพียงการเหวี่ยงหมัดที่ธรรมดาๆ ไม่ได้ซับซ้อนอันใด
ทว่าเมื่อกำปั้นของเฉี่ยเยว่ได้เข้าใกล้มู่เฉียนซีมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนั้น มันกลับมีหมอกโลหิตเข้ามาปกคลุมไว้ แล้วขยายใหญ่ขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด
กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวนั้นทำให้ผู้คนรู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง หากถูกกำปั้นมรณะนั่นปะทะเข้าใส่แล้ว ร่างกายคงต้องแหลกเหลวกลายเป็นฝุ่นผงอย่างไม่ต้องสงสัย
พวกเขาพบว่าร่างของมู่เฉียนซีที่ถูกกำปั้นของเฉี่ยเยว่พุ่งเข้าใส่นั้น ภายในชั่วพริบตา ร่างอรชรนั้นก็ได้กลายเป็นความว่างเปล่า
มันเป็นเพียงภาพค้างติดตาเท่านั้น!
เฉี่ยเยว่ตกตะลึงไปเล็กน้อย สตรีผู้นี้หลบหลีกการโจมตีของเขาได้อย่างนั้นรึ
มู่เฉียนซีอ้อมมายังเบื้องหลังของเฉี่ยเยว่ แล้วกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ทักษะโยวหลัว!”
ปัง!
ราวกับอีกฝ่ายเป็นกระดองเต่าก็มิปาน ไม่ว่าจะโจมตีอย่างไรก็ไร้ผล
เฉี่ยเยว่พุ่งตัวเข้าหามู่เฉียนซีอีกครา เขากล่าว “ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะหลบหลีกได้ตลอดไป”
มู่เฉียนซียังคงหลบหลีกได้อย่างเคย เฉี่ยเยว่จึงตะคอกออกไปด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะหลบไปได้อีกสักกี่น้ำ”
การปะทะของทั้งสองฝ่ายทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว
การป้องกันของเฉี่ยเยว่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง กระบวนท่าและทักษะวิญญาณของมู่เฉียนซีก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน ต่างคนต่างมีข้อดีข้อเด่นเป็นของตัวเอง ดังนั้นการประลองของทั้งสองจึงดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ
“สองคนนี้เป็นปีศาจชัด ๆ!” การปะทะกันของคนทั้งสองทำให้ผู้คนต่างตื่นตระหนกตกใจ
เมื่อการปะทะผ่านพ้นไปยกแล้วยกเล่า ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้เกิดผลดีอันใดขึ้นแม้แต่น้อย เฉี่ยเยว่จึงไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป
ทันใดนั้นหมอกโลหิตก็ขยายใหญ่ขึ้นจนปกคลุมไปทั่วทั้งลานประลอง ทำให้ผู้คนที่มุงดูอยู่มองเห็นร่างของทั้งสองได้เพียงเลือนลางเท่านั้น
“ข้าไม่ได้ประลองกับใครอย่างจริงจังเช่นนี้มานานมากแล้ว” เฉี่ยเยว่กล่าวด้วยสีหน้าเหี้ยมโหด
“เจ้าพูดราวกับว่าหากเจ้าตั้งใจต่อสู้ขึ้นมาแล้ว เจ้าจะเป็นฝ่ายชนะอย่างนั้นแหละ” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“เรื่องที่ข้าจะเป็นฝ่ายชนะมันแน่นอนอยู่แล้ว!”
ปัง ปัง ปัง!
เฉี่ยเยว่ประเคนกำปั้นออกไปติดต่อกันอยู่หลายหมัด ทำให้อากาศที่รายล้อมอยู่รอบตัวหนาแน่นขึ้นมาโดยพลัน
มู่เฉียนซีทราบดีว่า เฉี่ยเยว่ต้องการควบคุมความเร็วของนาง
และครานี้มู่เฉียนซีก็ไม่คิดจะหลบหลีกอีกต่อไปแล้ว
“รนหาที่ตาย!” เพราะการกระทำที่เย้ยความตายของมู่เฉียนซีนี้ ทำให้เฉี่ยเยว่ตะคอกออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ท่ามกลางหมอกโลหิตที่ปกคลุมอย่างหนาแน่น มีแสงไฟปรากฎวาบขึ้นลำแสงหนึ่ง
“บัวแดงพิฆาต!”
“บัวแดงพิฆาต!”
บัวอัคคีแต่ละดอกเบ่งบานอย่างพร้อมเพรียงกัน มู่เฉียนซีเลือกที่จะปะทะกับเขาตาต่อตา ฟันต่อฟัน!
ปัง! บัวอัคคีสีแดงฉานได้ป้องกันการโจมตีของอีกฝ่ายไว้ได้ทั้งหมด
เฉี่ยเยว่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขากล่าว “น่าสนใจดีนี่!”
ปัง ปัง ปัง!
จากนั้นทั้งสองก็ได้เข้าห้ำหั้นกันโดยตรง!
เมื่อความแข็งแกร่งกับความแข็งแกร่งเข้าปะทะกันซึ่ง ๆ หน้าเช่นนี้ มันช่างดุเดือดเสียยิ่งกว่าการป้องกันและหลบหลีกกันไปมาเป็นเท่าทวี
ระหว่างการประลองที่ดำเนินไปอย่างดุเดือด เปลวเพลิงสีแดงฉานก็ได้แผดเผาหมอกโลหิตจนมลายหายไปจนหมดสิ้น และทั้งสองก็ยังเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดไม่เลิกรา
ผู้อาวุโสสำนักเพลิงเมฆาก็ได้คว้าตัวหั่วห้าวหยู่ไว้ แล้วกล่าว “ให้ตายสิ! นั่นมันไฟอะไรกัน? แข็งแกร่งเกินไปแล้ว”
หั่วห้าวหยู่ยักไหล่พลางกล่าว “ผู้อาวุโส ท่านก็อายุปูนนี้แล้วแต่ก็ยังไม่รู้ แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร?”
“คนมีความสามารถเช่นนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่ชักจูงมายังสำนักเพลิงเมฆาของเราล่ะ?”
“ท่านคิดว่าข้าไม่อยากหรืออย่างไร! เฉียนซีไม่ยอมมาเอง! แล้วข้าจะทำอะไรได้”
ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วมู่เฉียนซีและเฉี่ยเยว่ได้ปะทะกันไปกี่ยกแล้ว?
เมื่อต้องยืนหยัดเป็นเวลานานเช่นนี้ มู่เฉียนซีที่มียาลูกกลอนก็พอจะรับกับสภาพในตอนนี้ไหว ทว่าร่างกายของเฉี่ยเยว่อาจจะรับไม่ไหวก็เป็นได้
เขาเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว!
หมอกโลหิตที่ก่อตัวอยู่รอบกายเขาก็ได้ขยายตัวใหญ่ขึ้นและหนาแน่นมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เขาเหาะเหินขึ้นไปกลางอากาศ และหันไปยังทิศที่มู่เฉียนซียืนอยู่
กำปั้นแกร่งพุ่งลงมาจากกลางนภา กำปั้นที่รวบรวมความโหดเหี้ยมและดุดันเข้าไว้ด้วยกันของเฉี่ยเยว่ ได้พุ่งตรงไปยังมู่เฉียนซีด้วยความเร็ว
“หมัดทะลวงโลหิต!”
เมื่อหมัดแกร่งเหวี่ยงลงมาจากท้องนภา ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวราวกับเกิดระเบิดขึ้นก็มิปาน
ในขณะนั้นเอง แขนของมู่เฉียนซีก็กระตุกขึ้นเล็กน้อย นางกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ทักษะโยวจั๋ว!”
“แบบนี้แล้วก็ยังจะปะทะกันซึ่ง ๆ หน้าอีกรึ บ้าไปแล้ว!”
“แบบนี้มันอันตรายเกินไป! จากความเร็วของนางแล้ว หากนางเลือกที่จะหลบมันก็ยังพอมีโอกาสอยู่”
“มู่เฉียนซีกำลังจะแพ้แล้ว!”
ที่พวกเขากล่าวว่ามู่เฉียนซีกำลังจะแพ้แล้วนั้น เป็นเพราะพวกเขาคิดว่าพลังของทักษะวิญญาณที่มู่เฉียนซีนำออกมาใช้มิอาจทานทนต่อหมัดของเฉี่ยเยว่ได้!
เมื่อเทียบกับพลังหมัดของเฉี่ยเยว่แล้ว ความแตกต่างของมันก็ไม่ใช่เพียงน้อยนิด
หนึ่งหมัดกับหนึ่งทักษะวิญญาณเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด!
พวกเขาพบว่าทักษะวิญญาณของมู่เฉียนซีไม่ได้ธรรมดาอย่างที่พวกเขาคิด
ปัง!
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
“แกร่ก!” ลานประลองของสำนักวารีเมฆาแตกออกเป็นสองส่วนต่อหน้าต่อตาทุก ๆ คน
ครืด! ทั้งสองรีบถอยกลับไปอยู่ริมลานประลองในทันที
พรวด! เฉี่ยเยว่กระอักเลือดออกมาหนึ่งกอง
ส่วนมู่เฉียนซีเองก็ได้รับบาดเจ็บไปเล็กน้อยเช่นกัน มุมปากของนางมีโลหิตไหลออกมาเป็นทาง
เป็นครั้งแรกที่เฉี่ยเยว่ได้พบเจอกับสตรีที่ต่อกรด้วยยากถึงเพียงนี้ เขากล่าวออกไปด้วยความเจ็บแค้น “เจ้าอย่าได้ใจมากไปหน่อยเลย”
เขาได้ใช้พลังวิญญาณไปทั้งหมดแล้ว และนี่ก็จะเป็นการโจมตีที่เดิมพันทุกสิ่งอย่างด้วยโชคชะตาครั้งสุดท้าย
เฉี่ยเยว่ประสานหมัดทั้งสองเข้าหากัน แล้วซัดออกไปด้วยความรุนแรงและรวดเร็ว!
“มังกรโลหิตคู่สังหาร!”
มังกรคู่ปรากฏกายขึ้นจากท้องทะเล และเหาะเหินขึ้นกลางอากาศพร้อมโจมตี
“ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะต้านทานได้อย่างไร!”
ส่วนมู่เฉียนซีที่ถือกระบี่มังกรเพลิงไว้ในมือมั่น ก็ได้รวบรวมพลังวิญญาณไว้ในกระบี่ แล้วเหวี่ยงคมกระบี่ออกไปอย่างไม่ลังเล
เพียงเหวี่ยงคมกระบี่ออกไป ก็ราวกับเปลวไฟของปีศาจซิวหลัวได้ผุดขึ้นจากนรกภูมิก็มิปาน
“เพลิงสังหารซิวหลัว!”
ภายใต้เปลวไฟที่เข้าเกี่ยวรัดอย่างดุเดือด มังกรโลหิตทั้งสองก็ได้มลายหายไปกลายเป็นเพียงอากาศ ไม่หลงเหลือแม้แต่เงา
“หึ หึ!”
ร่างของเฉี่ยเยว่เองก็ถูกเปลวเพลิงแผดเผาจนได้รับบาดเจ็บไปเช่นกัน
ตุ้บ! ร่างสูงใหญ่หล่นกระแทกพื้น ทั่วทั้งเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลแปลกตาจนน่าตกใจ
ยามที่ร่างของเขาตกกระทบพื้น บรรยากาศรอบกายก็เงียบสงัดเป็นอย่างยิ่ง
ช่างเป็นทักษะวิญญาณที่รุนแรงมากจริง ๆ! มู่เฉียนซีผู้แสนวิปริต
เมื่อมือสังหารที่นับว่าเป็นไพ่ใบสุดท้ายได้ถูกโค่นล้มลง เจ้าสำนักวารีเมฆาก็โกรธจนแทบจะกระอักเลือดออกมาเสียเดี๋ยวนั้น
การประลองในครานี้จำเป็นต้องดำเนินต่อไปหรือไม่?
อย่างไรเสียมู่เฉียนซีเพียงผู้เดียวก็คงจะสามารถเอาชนะยอดฝีมือจากสำนักต่าง ๆ ที่พวกเขาพามาได้อย่างแน่นอน
เมื่อผู้ตัดสินตั้งสติขึ้นได้ เขาก็กล่าว “มู่เฉียนซีเป็นผู้ชนะ ปรมาจารย์หวงรีบเข้ามาดูคนเจ็บเร็วเข้า”
ในขณะนั้นเอง ศิษย์ของสำนักชิงเฟิงคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “ข้าต้องการท้าประลองกับมู่เฉียนซีสำนักลั่วเยว่”