ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1547 ข้าจะไปกับซีด้วย
ตูม! ฉู่หลีจัดการกับพวกเขาง่ายดายเกินไปแล้ว
ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักวารีเมฆาตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง นี่มัน…
เกรงว่าพลังของคนผู้นี้จะแกร่งกล้ากว่าเจ้าสำนักของพวกเขาเสียอีก
ที่สุดแล้วคนผู้นี้เป็นศิษย์เอกของเจ้าสำนักลั่วเยว่ หรือเป็นเจ้าสำนักของพวกเขาที่ปลอมตัวมากันแน่?ช่างน่าตกใจจริง ๆ
จากนั้นไม่นาน ฉู่หลีก็ได้จัดการอีกคนไปเป็นที่เรียบร้อย
ปัง!
สุดท้ายแล้วก็หลงเหลืออยู่เพียงสองคนเท่านั้น!
ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักวารีเมฆาต้องการประลองฝีมือกับมู่เฉียนซี
ผู้อาวุโสเจ็ดกล่าวว่า “ฉู่หลี หากเจ้าเก่งกาจถึงเพียงนั้น ก็รีบช่วยข้าจัดการเจ้านั่นให้เร็ว ๆ หน่อยก็แล้วกัน!”
มุมปากของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักวารีเมฆากระตุกขึ้นอย่างบ้าคลั่ง เขารู้ตัวดีว่าไม่อาจรั้งรอยังสถานที่แห่งนี้ได้นาน อย่างไรเสียก็ควรที่จะหลบหนีออกไปก่อน แล้วค่อยว่ากันภายหลัง
พลังที่บ้าคลั่งของฉู่หลีเช่นนั้น เขาไม่อาจต้านทานได้จริง ๆ
ผู้อาวุโสเจ็ดกล่าว “คิดจะหนีรึ ไม่มีทาง!”
ฉู่หลีไม่ได้เข้าไปช่วยผู้อาวุโสเจ็ด และแน่นอนว่าเขาจะต้องคอยเฝ้าดูศิษย์น้องหญิงของเขา เพื่อป้องกันไม่ให้ศิษย์น้องหญิงของเขาได้รับบาดเจ็บ
เมื่อฉู่หลีได้สำแดงพละกำลังออกมาแล้วนั้น คู่ต่อสู้ของมู่เฉียนซีก็รู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย
บัดนี้มีเพียงแผนการเดียวเท่านั้น ก็คือต้องจับตัวเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนี้มาเป็นตัวประกันให้จงได้
ดังนั้นเขาจึงพยายามทุ่มสุดกำลังเพื่อที่จะจัดการกับมู่เฉียนซี
เสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้นเป็นระยะ ๆ มู่เฉียนซีหลบหลีกจากการโจมตีด้วยความคล่องแคล่วว่องไวเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนทางฝั่งผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักวารีเมฆาที่คิดว่าตนเองสามารถหลบหนีจากการไล่ล่าของผู้อาวุโสเจ็ดได้แล้ว ผลปรากฎว่ากลับมีเงาดำเงาหนึ่งปรากฎตัวขึ้นเบื้องหลังเขาอย่างน่าตกใจ
ปัง!
หมัดแกร่งถูกซัดออกไปอย่างไม่ลังเล ทำให้ร่างของผู้อาวุโสสูงสุดกระเด็นตกกระแทกพื้นอย่างแรง
ปัง! ร่างของผู้อาวุโสสูงสุดกระแทกพื้น จนพื้นดินกลายเป็นรูขนาดใหญ่
พรวด! เขากระอักเอาโลหิตสีแดงฉานออกมากองหนึ่ง
“พะ…พวกเจ้า…วันนี้พวกเรายอมแพ้แล้ว”
ผู้อาวุโสสูงสุดไม่คิดไม่ฝันแม้แต่น้อยว่าสำนักลั่วเยว่ที่ตกต่ำจนถึงขีดสุดนี้ จะมีคนวิปริตอยู่ถึงสองคนด้วยกัน แต่ละคนก็น่ากลัวเกินบรรยาย
สุดท้ายแล้วก็หลงเหลือเพียงมู่เฉียนซีผู้เดียวเท่านั้น
ผู้อาวุโสเจ็ดเอ่ยถาม “ฉู่หลี เหตุใดจึงไม่ไปช่วยศิษย์น้องหญิงของเจ้าล่ะ”
“ศิษย์น้องสามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง!”
สุ้มเสียงของฉู่หลีเพิ่งจางหายได้ไม่นาน มู่เฉียนซีซึ่งถูกอีกฝ่ายข่มมาโดยตลอด บัดนี้พลังวิญญาณรอบกายของนางก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ
“ศิษย์น้องมู่เลื่อนขั้นเป็นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับสองแล้ว!”
เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั้นได้เลื่อนขั้นแล้ว ทว่าได้เลื่อนขั้นขึ้นเพียงหนึ่งขั้นเท่านั้น แต่กลับทำให้เขารู้สึกราวกับตเองได้เผชิญหน้ากับข้าศึกนับหมื่นนับพัน
ความรู้สึกของเขาถูกต้องเป็นที่สุด เพียงแค่นางแกว่งกระบี่ที่อยู่ในมือ พลังการทำลายล้างที่ปลดปล่อยออกมาก็รุนแรงเป็นเท่าทวี!
“ทักษะโยวจั๋ว!”
“เพลิงสังหารซิวหลัว!”
ปัง! เสียงของการปะทะดังสนั่นราวฟ้าพิโรธ ตามมาด้วยเสียงร้องคร่ำครวญอันน่าอนาถ
กลุ่มคนทั้งห้าของสำนักวารีเมฆาถูกโค่นล้มลงไปทั้งหมด
กัวเถากล่าว “ข้าคือผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวารีเมฆา ข้าไม่เชื่อว่าพวกเจ้าจะกล้าสังหารข้า”
“ใช่! ถึงแม้พวกเจ้าจะมีปราชญ์แห่งภูตระดับเก้า พวกเจ้าก็ไม่อาจสังหารผู้อื่นตามอำเภอใจได้! เจ้าสำนักของพวกเราก็มีพลังแกร่งกล้าเช่นกัน เมื่อถึงยามที่สองสำนักทำศึกครั้งใหญ่ จุดจบของสำนักลั่วเยว่ของพวกเจ้าเป็นเช่นไร ก็คงไม่ต้องให้อธิบาย!”
“……”
มู่เฉียนซีหัวเราะเยาะแล้วกล่าว “มาครานี้จึงจะบอกว่าไม่สามารถสังหารผู้อื่นได้ตามอำเภอใจแล้วหรือ! ยามที่พวกเจ้าสังหารคนของสำนักลั่วเยว่ เหตุใดจึงไม่คิดถึงเรื่องนี้บ้าง”
“วางใจเถอะ พวกข้าไม่สังหารเจ้าหรอก เพียงแต่…”
มู่เฉียนซียกมือขึ้นมา เข็มยาทั้งห้าเล่มก็พุ่งเข้าใส่ร่างของฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็ว ทำให้พลังวิญญาณของพวกเขาเหล่านั้นดับสูญไปในชั่วพริบตา
“จะ…เจ้ากำจัดพลังวิญญาณของพวกเราทิ้งรึ”
“หึ!”
กว่าจะฝึกฝนให้ได้มาซึ่งพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าอยู่ ๆ กลับดับสูญไปในชั่วพริบตาเช่นนี้ มันทำให้พวกเขาโกรธจนแทบจะกระอักเลือดออกมาจริง ๆ
“เจ้าโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?”
มู่เฉียนซีกล่าว “ผู้อาวุโสเจ็ด พวกเราไปกันเถอะ! พลังวิญญาณของพวกเขาถูกทำลายแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะถูกสัตว์วิญญาณรุมกัดกินเอง เช่นนี้แล้วก็ถือว่าพวกเราไม่ได้สังหารพวกเขาใช่หรือไม่?”
ผู้อาวุโสเจ็ดกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ใช่แล้ว!”
มู่เฉียนซีกล่าว “อีกอย่าง สำนักลั่วเยว่ของพวกเราก็ไม่ได้มั่งคั่งอะไร เราควรจะยึดแหวนมิติของพวกเขามา! ให้พวกเขาได้ทำประโยชน์แก่สำนักลั่วเยว่ของพวกเราก่อนตายสักหน่อย”
“อ้า!” พวกเขาล้วนตกตะลึงไปตาม ๆ กัน
“ผู้อาวุโสเจ็ด พวกท่านจะยืนอึ้งอยู่ใย? รีบจัดการเร็วเข้าเถอะ!”
ดังนั้นเมื่อยึดทรัพย์สินของคนสำนักวารีเมฆามาแล้ว พวกเขาก็จากไปในทันที!
มู่เฉียนซีขมวดคิ้วแล้วกล่าวด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก “ดันปล่อยให้จอมภูตแมลงวิญญาณนั่นหนีไปเสียได้”
ผู้อาวุโสเจ็ดกล่าว “เจ้านั่นก็เป็นตัวหายนะ แต่ถ้าหากมียาฆ่าแมลงของเจ้าอยู่ มันก็ไม่ได้รับมือยากขนาดนั้น”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าคิดว่าเขาคงจะไปหากำลังเสริม”
“ผู้อาวุโสเจ็ด พวกท่านกลับสำนักไปก่อนเถอะเจ้าค่ะ ข้ายังมีธุระที่ต้องสะสางอีก”
“เจ้าจะทำอะไร?” ผู้อาวุโสเจ็ดเอ่ยถาม
“ความลับเจ้าค่ะ!”
ฉู่หลีกล่าว “ข้าจะไปกับศิษย์น้องเอง!”
ดังนั้นพวกเขาทั้งสองก็ได้แยกออกจากขบวน ทว่าทั้งสองเพิ่งแยกทางจากขบวนสำนักลั่วเยว่ได้ไม่นาน ก็มีร่างสีดำทมิฬปรากฎตัวขึ้น
“ผู้ใดกัน?”
ยังไม่ทันที่ฉู่หลีจะไหวตัวทัน ศิษย์น้องหญิงของเขาก็ถูกบุคลลปริศนาเข้าจับตัวไว้แล้ว
ไม่ได้เป็นการจับธรรมดา แต่นับว่าเป็นการกอดที่เนื้อแนบเนื้อเสียมากกว่า
กลิ่นอายน่าเกรงขามแผ่ซ่านออกมาจากตัวบุรุษชุดดำอย่างน่าหวาดกลัว หน้ากากที่น่ากลัวบดบังรูปโฉมเขาไว้ ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นช่างดูเย็นชาและลึกล้ำเหลือคณา
“ข้าจะไปกับซีด้วย!”
มู่เฉียนซีกล่าว “ศิษย์พี่ นี่คืออาจารย์ของข้าเอง หากเขาไปกับข้าด้วย ก็คงไม่มีปัญหาอะไรอย่างแน่นอน ศิษย์พี่กลับสำนักไปก่อนเถอะ”
“ไม่ได้!” ฉู่หลีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เจ้าตามไม่ทันหรอก” จิ่วเยี่ยช้อนร่างอรชรขึ้น แล้วรีบจากไปในทันที
จิ่วเยี่ยกล่าวว่าตามไม่ทัน ทว่าฉู่หลีก็ไม่คิดจะยอมแพ้แต่อย่างใด เขาใช้พลังวิญญาณที่มีทั้งหมดไล่ตามพวกเขา จนท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไล่ตามได้ทัน
ฉู่หลีพบว่าทิศทางที่กำลังมุ่งตรงไปนั้น ดูเหมือนจะเป็นทางไปยังสำนักวารีเมฆา
มู่เฉียนซีกล่าว “จิ่วเยี่ย เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ากำลังจะไปสำนักวารีเมฆา?”
“ข้าต้องรู้อยู่แล้ว”
มู่เฉียนซีกล่าว “อีกฝ่ายทำการเคลื่อนย้ายกำลังเสริม และแน่นอนว่าพวกเขาไม่อาจส่งพวกที่ไร้ประโยชน์เหล่านั้นไปอย่างแน่นอน อย่างไรเสียศิษย์พี่ก็เก่งกาจถึงเพียงนั้น เห็นทีเจ้าสำนักวารีเมฆาคงจะนำพาคนส่วนมากของสำนักไปเป็นแน่”
“เวลานั้นเราควรอาศัยโอกาสในตอนที่อีกฝ่ายอ่อนแอบุกเข้าไปจึงจะดีที่สุด! ข้นย้ายจนสำนักวารีเมฆาหลงเหลือแต่ความว่างเปล่า พวกเขากล้าที่จะไล่สังหารข้า กล้าควบคุมข้า ถึงจะไม่สังหาร แต่ก็จะทำให้มันกลายเป็นสำนักที่ตกต่ำและยากจนที่สุดในอาณาจักรหนานหลิง”
จิ่วเยี่ยกล่าว “หากซีต้องการเช่นนั้น ข้าก็จะช่วยเจ้าเอง ข้าจะไม่ให้ผู้ใดเข้ามาขวางเป็นอันขาด”
เมื่อมีจิ่วเยี่ยอยู่ การบุกเข้าสำนักวารีเมฆาของทั้งสองก็ราวกับสถานที่แห่งนี้ร้างผู้คนก็มิปาน เป็นอะไรที่ราบรื่นและไร้ผู้ใดพบเห็น
มู่เฉียนซีทราบว่า เจ้าสำนักวารีเมฆาได้เร่งพาตัวผู้อาวุโสสำคัญจำนวนหนึ่งออกจากสำนักไปแล้ว บัดนี้การป้องกันภายในสำนักอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นมู่เฉียนซีและจิ่วเยี่ยจึงสามารถเค้นถามถึงที่ตั้งคลังสมบัติของสำนักได้อย่างง่ายดาย จากนั้นมู่เฉียนซีจึงจะใช้กระบี่มังกรเพลิงฟาดลงไปยังกลอนประตูจนเปิดออก
“เริ่มค้นหาและยึดสิ่งของได้!”
อู๋ตี้รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง “อา อา อา! มีแกนวิญญาณเยอะมากเลย! เยี่ยมไปเลย มีระดับเจ็ดด้วย ข้าจะต้องเลื่อนขั้นเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดได้เร็วกว่าเจ้าหมูโง่นั่นอย่างแน่นอน”
มู่เฉียนซีกล่าว “เมื่อถึงแดนซวนเทียนแล้วก็ไม่มีแกนวิญญาณให้อู๋ตี้กินมากขนาดนั้นหรอก ครานี้รับรองว่ามีให้กินจนอิ่มเป็นแน่”
อู๋ตี้จัดการกับสิ่งของเหล่านี้ไม่พูดไม่จา ส่วนสถานที่อื่น ๆ ที่มีทรัพย์สมบัติซ่อนเร้นอยู่มากมาย มู่เฉียนซีก็ได้เข้าไปจัดการเป็นที่เรียบร้อย
เมื่อมู่เฉียนซีจะกลับออกมานั้น นางก็ได้พบเข้ากับคนที่คุ้นเคยคนหนึ่ง
“จะ…จะ…เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
เมื่อปรมาจารย์หวงได้พบหญิงสาวผู้วิปริตผู้นี้เข้า เขาก็นึกว่าตนเองกำลังฝันร้ายอยู่
เมื่อลองหยิกตัวเองดู ก็รู้สึกเจ็บแปลบ แล้วเขาก็พบว่านี่คือความจริง!
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้ามาเดินเล่น! มีอะไรหรือไม่?”
“ใช่แล้ว ท่านคือนักปรุงยาของสำนักวารีเมฆาสินะ! พาข้าไปเที่ยวชมคลังยากับสวนสมุนไพรของสำนักวารีเมฆาสักหน่อยสิ!” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มจนดวงตาหยิบหยี รอยยิ้มนี้ทำให้ปรมาจารย์หวงขนลุกซู่ เขากล้ารับรองว่าตัวนำพาหายนะผู้นี้จะต้องมาด้วยจุดประสงค์ร้าย และไม่ได้เพียงแค่มาเยี่ยมชมธรรมดา ๆ อย่างแน่นอน
.
.