ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1599 พลังอันน่าตกใจ
“ฉู่หลีสำนักลั่วเยว่เป็นฝ่ายชนะ!” ผู้ตัดสินประกาศผล
“สำนักลั่วเยว่ สำนักลั่วเยว่อีกแล้วรึ!”
“สำนักลั่วเยว่เป็นสำนักใดในกองกำลังระดับสี่กันนะ ทำไมพวกเราไม่เห็นจะจำได้เลย”
“ดูเหมือนจะไม่ใช่กองกำลังระดับสี่นะ นางอยู่ในสำนักของกองกำลังระดับสามต่างหาก!”
“กองกำลังระดับสาม จะเป็นไปได้อย่างไร!”
เนื่องจากมู่เฉียนซีและฉู่หลีสามารถโค่นล้มคู่ต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้สำนักลั่วเยว่เป็นที่รู้จักไปในชั่วพริบตา
การประลองยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ มู่เฉียนซีและฉู่หลีก็ได้เข้ามานั่งในส่วนของผู้ชม แล้วมองดูการประลองไปด้วยความเบื่อหน่าย
แต่ละชั้นล้วนมีผลการแข่งขันออกมาในที่สุด ศิษย์สำนักลั่วเยว่นอกจากมู่เฉียนซีและฉู่หลีแล้ว ก็ล้วนถูกคัดออกทั้งหมด ทว่าพวกเขาก็ได้ทำอย่างสุดความสามารถแล้ว
เจ้าเมืองหนานเจ๋อกล่าว “สามวันหลังจากนี้ จะมีการคัดเลือกใหม่อีกครั้ง! ภายในระยะเวลาสามวันนี้ พวกเจ้าจงทำตัวตามสบาย!”
“ข้าขอย้ำอีกครั้ง ไม่อนุญาตให้ทำลายข้าวของเป็นอันขาด! หากครานี้พวกเจ้ายังกล้าทำอีก ข้าจะปรับให้มากกว่าคราก่อนสิบเท่า! สิบเท่า! ได้ยินแล้วหรือยัง”
มุมปากบางของมู่เฉียนซีกระตุกขึ้นเล็กน้อย นางกล่าว “ศิษย์พี่!เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าท่านเจ้าเมืองหนานเจ๋ออาศัยการประลองในครั้งนี้หาเงิน โดยการปรับเงินในราคาสูงกันนะ!”
“อืม! อาจจะเป็นอย่างที่ศิษย์น้องว่ามาก็ได้” ฉู่หลีพยักหน้าพลางกล่าว
“เช่นนั้นก็ให้พวกเขาไปก่อความวุ่นวายเองก็แล้วกัน พวกเราอย่าได้เข้าไปร่วมวุ่นวายกับพวกเขาเลย!”
ผลปรากฏว่าความวุ่นวายก็ได้ดำเนินต่อไปอีกสามวัน ทว่าผู้ที่สามารถผ่านการคัดเลือกในรอบที่สองมาได้นั้น ก็ล้วนเป็นคนมากความสามารถในอาณาเขตหนานหลิงอย่างไม่ต้องสงสัย และแน่นอนว่าคนเหล่านี้ก็ไม่อาจถูกโค่นล้มลงได้ง่าย ๆ
ดังนั้นในสามวันให้หลัง ผู้ผ่านการคัดเลือกทั้งหนึ่งร้อยคน ก็ยังเข้าร่วมการประลองในรอบถัดไปครบทั้งหนึ่งร้อยคนดังเดิม!
เจ้าเมืองหนานเจ๋อพอใจกับผลลัพธ์ในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง ทว่าถึงจะพอใจอย่างไรเขาก็ยังทวงเงินค่าปรับอย่างไม่ลดละ!
มู่เฉียนซีรู้สึกว่าเจ้าเมืองหนานเจ๋อผู้นี้จะต้องเป็นคนที่โลภมากอย่างแน่นอน!
หลังจากนั้นสามวัน การประลองก็ได้เริ่มต้นขึ้น
การจัดแบ่งคู่ประลองครั้งนี้ไม่ต้องพึ่งโชคชะตาอีกแล้ว
เจ้าเมืองหนานเจ๋อกล่าว “แท่นการประลองจะเป็นผู้แบ่งกลุ่มผู้เข้าแข่งขันออกเป็นสิบกลุ่มเอง ชนะหนึ่งสนามได้รับหนึ่งแต้ม แพ้หนึ่งสนามถูกหักหนึ่งแต้ม ทุก ๆ คนจะต้องลงประลองสิบสนาม สุดท้ายแล้วจึงจะจัดเรียงลำดับตามแต้มของผู้แข่งขัน”
“หากได้แต้มเท่ากัน ก็จะต้องจับกลุ่มมาประลองด้วยกัน และจะเรียงลำดับรายชื่อผู้เข้าแข่งขันโดยนับจากความเร็วในการล้มคู่ต่อสู้!”
“ข้าคิดว่าพวกเจ้าเองก็คงจะตื่นเต้นมาก ๆ อีกไม่นานรายชื่อผู้มากความสามารถหนึ่งร้อยคนของอาณาเขตหนานหลิงก็จะถูกเปิดเผยแล้ว นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปพวกเจ้าจงนำชื่อเสียงของพวกเจ้าค้ำจุนอาณาเขตหนานหลิงไว้ให้ดี”
“จากนี้ไป ข้าขอประกาศอย่างเป็นทางการ การประลองได้เริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้!”
เมื่อการประลองเริ่มต้นขึ้น แท่นการประลองก็ได้ปรากฏขึ้นมาสิบแท่น ผู้เข้าแข่งขันยี่สิบคนได้ปรากฎตัวขึ้นบนแท่นการประลอง
คู่ต่อสู้ของมู่เฉียนซีเป็นคนที่นางคุ้นเคยคนหนึ่ง!
นางกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เฉาหนาน!”
เฉาหนานแทบอยากจะร้องไห้ออกมาเสียประเดี๋ยวนั้น “ข้า…ข้าคิดว่าการที่สำนักฉางยวนของข้าเข้าร่วมการแข่งขันผู้มากความสามารถในครานี้ เป็นหายนะครั้งใหญ่หลวงจริง ๆ! สำนักของข้าต้องมาพบเจอกับเจ้าถึงสองครั้งสองครา”
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าช่วยประลองกับข้าอย่างสุดความสามารถสักสนามเถอะ! การแข่งขันดำเนินมาหลายวันแล้ว ข้ายังไม่มีโอกาสได้ใช้ความสามารถเลย”
“ข้าไม่เอาด้วยหรอก! เจ้าคิดว่าข้าโง่หรืออย่างไร!” เฉาหนานปฏิเสธหัวชนฝา
“ข้ายอมแพ้! ข้าขอยอมแพ้!”
“ศิษย์สำนักฉางยวนยอมแพ้อีกแล้ว นั่นมันเฉาหนานนี่! ทั้ง ๆ ที่ฝีมือของเขาออกจะแกร่งกล้าแท้ ๆ!”
“นี่เป็นศิษย์สำนักฉางยวนคนที่สองแล้วนะที่ยอมแพ้มู่เฉียนซี”
“นางแกร่งกล้าจริง ๆ อย่างนั้นหรือ? หรือมีเหตุผลอื่นแอบแฝงกันแน่?”
เฉาหนานยอมแพ้ เขากล่าว “เฉียนซี ข้าคิดว่าสำนักฉางยวนของข้าคงมีเพียงศิษย์พี่ใหญ่เท่านั้นที่พอจะเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าได้ ส่วนคนอื่น ๆ หากได้เป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าแล้ว ก็ทำได้เพียงยอมรับความอับโชคแล้วยอมแพ้เจ้าไปก็เท่านั้น ข้าขอตัวก่อนล่ะ!”
การประลองครั้งถัดไปเป็นอะไรที่แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง!
การประลองทั้งสิบสนาม ศิษย์สำนักฉางยวนได้เป็นคู่ต่อสู้ของมู่เฉียนซีไปแล้วห้าสนาม
ผู้อาวุโสของพวกเขาก็แทบอยากจะร้องไห้ออกมาแล้วเช่นกัน
“แม่นางน้อยผู้นั้นเป็นตัวซวยของสำนักฉางยวนของพวกเราหรืออย่างไร? น่ากลัวมากจริง ๆ!”
“นะ…นี่ศิษย์สำนักฉางยวนยอมแพ้ไปห้าคนแล้วหรือนี่!”
“ผู้ที่ผ่านเข้าสู่การคัดเลือกเหลือเพียงหกคนเท่านั้น และสุดท้ายแล้วก็เหลือเพียงศิษย์พี่ใหญ่สำนักฉางยวนแล้ว ขะ…เขาคงไม่ต้องประลองกับมู่เฉียนซีด้วยหรอกนะ!”
การประลองสนามที่หก คู่ประลองของมู่เฉียนซีคือศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักฉางยวน นามว่าฉางอวี่
ทุก ๆ คนล้วนตกตะลึงไปตาม ๆ กัน “ต้องมีลับลมคนในเป็นแน่ ๆ! มันต้องมีเบื้องหลังอะไรอยู่แน่ ๆ! นี่มันดูไม่ปกติเลยสักนิด!”
“นี่สำนักฉางยวนถูกสาปหรืออย่างไร?”
“……”
ฉางอวี่กล่าว “ข้าทราบมานานแล้วว่าท่านผู้อาวุโสมู่มีพลังและความสามารถที่ไม่ธรรมดา และคิดอยากประลองมือกับท่านผู้อาวุโสมู่ดูสักครั้ง วันนี้ข้าจะประลองอย่างสุดความสามารถ ข้าจะขอประลองกับผู้อาวุโสมู่สักครั้ง! อย่างไรก็ขอให้ผู้อาวุโสมู่ชี้แนะข้าด้วย!”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เยี่ยมเลย! ท่านน่าสนใจกว่าบรรดาศิษย์น้องของท่านเหล่านั้นเสียอีก! ข้าเป็นตัวเคราะห์ร้ายหรืออย่างไร แต่ละคนถึงได้หนีจากข้าไปเร็วนัก?”
ผู้ตัดสินกล่าว “การแข่งขันเริ่มได้!”
ฉางอวี่ใช้กระบี่เป็นอาวุธ เมื่อกระบี่ได้กวัดแกว่งออกไป ประกายกระบี่ที่ส่องสว่างออกมาก็เปรียบดั่งขนนกก็มิปาน มันพุ่งเข้ามาโอบล้อมมู่เฉียนซีไว้
“กระบี่พิรุณคลั่ง!”
กระบี่ของศิษย์พี่ใหญ่สำนักฉางยวนผู้นี้ ทำให้ผู้ชมต่างพากันกล่าวชมไม่ขาดสาย!
ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับสาม! พลังรายล้อมรอบตัว เกรงว่าอีกไม่นานก็คงจะบรรลุระดับขั้นแล้ว!”
“ยอดเยี่ยมไปเลย! สมแล้วที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่สำนักฉางยวน!”
“ในที่สุดสำนักฉางยวนก็มีบุรุษผู้กล้าปรากฏตัวขึ้นเสียที ได้พบหญิงงามแล้วก็ยังไม่ยอมแพ้!”
“ไม่รู้ว่ามู่เฉียนซีจะสามารถรับมือกับกระบี่นี้ได้หรือไม่?!”
ร่างสีม่วงเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น พลังวิญญาณของมู่เฉียนซีก็ระเบิดออกมาในทันที ทุก ๆ คนไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเองแม้แต่น้อย
“ข้า…ข้ากำลังฝันไปเป็นแน่!”
“นี่ต้องมีอะไรผิดพลาดไปแน่ ๆ! ผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขันมีเพียงพลังระดับผู้บำเพ็ญภูตขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับสามเท่านั้น! ศิษย์สำนักฉางยวนแต่ละคนที่ได้เป็นคู่ต่อสู้ของนางต่างก็ยอมแพ้ไปเสียหมด นี่มันบ้าอะไรกัน!”
“ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับสามไม่น่าแปลกหรอก ดูจากพลังของสำนักลั่วเยว่ของกองกำลังระดับสามแล้ว ถึงแม้ศิษย์ของพวกเขาจะระเบิดพลังให้ตายอย่างไร มันก็ได้เท่านั้นแหละ!”
“เห็นทีการที่มู่เฉียนซีบุกมาได้ถึงจุด ๆ นี้ ก็คงเป็นเพราะโชคล้วน ๆ! ศิษย์สำนักฉางยวนอ่อยโยนกับสตรีเกินไป!”
พวกเขาคิดว่ามู่เฉียนซีไม่มีทางคว้าชัยชนะในครั้งนี้มาได้อย่างแน่นอน!
ทันใดนั้นพลังวิญญาณธาตุวารีก็ระเบิดออกมา “มังกรน้ำแข็งท้าสวรรค์!”
ปัง!
พลังของการโจมตีในครานี้ ได้ขวางกั้นกระบี่ครั้งที่สองของฉางอวี่ไว้ได้!
พลังสูสีกันเป็นอย่างยิ่ง!
นี่มัน…
พวกเขาคงจะหลอนไปเองเป็นแน่ ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับสามคนหนึ่งจะมีพลังสูสีกับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับสามได้อย่างไร ผู้ใดจะเชื่อ!
“ผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุวารี มีทักษะวิญญาณที่แกร่งกล้าเป็นอย่างยิ่ง แต่ถึงกระนั้น นางทำเช่นนี้ได้อย่างไร?”
มุ่เฉียนซีเริ่มโจมตีอย่างไม่ลังเล และเริ่มเข้าใกล้ฉางอวี่มากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
“ทักษะโยวจั๋ว!”
“ผนึกมังกรวารี!”
โครม!
ภายในชั่วพริบตา สถานการณ์บนแท่นประลองก็เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่พวกเขาคาดไม่ถึงแม้แต่น้อย!
ฉางอวี่กล่าว “เหมือนที่ศิษย์น้องเฉากล่าวมาไม่มีผิด เห็นทีข้าจะต้องทุ่มเทสุดพลังเสียแล้ว!”
มู่เฉียนซีชักกระบี่มังกรเพลิงออกมา “มาประลองกันให้สุดฝีมือสักตั้งเถอะ! เช่นนั้นแล้วจึงจะถึงใจ!”
“ได้!”
ทั้งสองได้เข้าปะทะกันกลางนภา การควบคุมพลังวิญญาณธาตุวารีเป็นไปได้ด้วยดีเป็นอย่างยิ่ง เพลงกระบี่น่าเกรงขามไม่เบา การประลองอันแสนดุเดือดได้ประจักษ์ต่อสายตาของทุก ๆ คน
“ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยมไปเลย! หากไม่ได้มาเห็นกับตาตัวเองเช่นนี้ ถึงจะตีข้าให้ตายข้าก็ไม่เชื่อว่าผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับสามคนหนึ่งจะเก่งกาจถึงเพียงนี้”
“ช่างน่ากลัวจริง ๆ!”
ยิ่งประลองกันไปเรื่อย ๆ ฉางอวี่ก็ตระหนักได้ถึงความน่าเกรงขามของมู่เฉียนซีมากขึ้น ๆ
การที่บรรดาศิษย์น้องของเขายอมแพ้ มันก็ไม่แปลกเลยแม้แต่น้อย!
หากเพียงแค่มีทักษะวิญญาณที่แกร่งกล้า เขาก็คงไม่ตกใจถึงเพียงนี้ ทว่าการตอบสนองที่ลื่นไหล ทักษะวิญญาณต่าง ๆ ของนาง ก็เป็นอะไรที่เขาผู้ซึ่งฝึกฝนมานานถึงสิบกว่าปีก็ไม่อาจเทียบเท่าได้ เห็นชัดว่าผู้อาวุโสมู่ผู้นี้ อายุน้อยกว่าเขาถึงสิบปี!
.