ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1731 ความหมายนี้
แต่หลังจากที่เข้าสู่ช่วงเวลาที่เงียบสงบลง เผ่ามังกรม่วงและเผ่ามังกรปีศาจเริ่มจะไม่มั่นคงอีกต่อไปแล้ว
แต่สิ่งที่น่าหวาดกลัวก็คือ ดูเหมือนว่าจะมีพวกของเผ่าคำสาปเข้ามาสู่ดินแดนของเผ่ามังกรแล้ว
และโดยไม่รู้ตัว เฮยเย้าก็ถูกคนของเผ่าคำสาปลอบทำร้าย และได้รับคำสาปแช่งนี้มา
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เผ่าเทพมีหนทางที่จะให้ทำคนเข้ามายังแดนมังกรได้?”
สุ่ยอู๋ซินพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “แน่นอนว่าต้องเป็นเช่นนั้น ข้าสงสัยว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพที่มีคุณสมบัติที่เกี่ยวกับมิติที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากอย่างแน่นอน ปราการป้องกันของเผ่ามังกรขวางกั้นพวกเขาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว”
“แต่เมื่อลองดูจากสถานการณ์ปัจจุบัน พวกเขาส่วนใหญ่ไม่มีทางเข้ามาได้ มิฉะนั้นเผ่ามังกรคงจะตกอยู่ในอันตรายไปนานแล้ว”
แม้ว่าจะไม่สามารถส่งคนเข้ามาได้เป็นจำนวนมาก แต่ก็ได้ยุยงให้มีการต่อสู้กันภายในเผ่ามังกร และมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับเผ่ามังกรอีกด้วย
เฮยเย้ากล่าวว่า “ข้าไม่มีทางแพ้ให้กับพวกเขาอีกแล้ว”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ปราการป้องกันของแดนมังกรจำเป็นที่จะต้องเพิ่มความแข็งแกร่งให้มากขึ้น หากเผ่าเทพยกทัพมารุกราน ในตอนนั้นมันจะเป็นเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างมาก”
เนื่องจากว่าเผ่าเทพถูกกองกำลังเทพหงส์จักรพรรดิของเผ่าหงส์โจมตีจนล่าถอยออกมา แต่ทว่าเผ่ามังกรกลับไม่ได้มีการสนับสนุนเช่นนั้น แน่นอนว่าไม่อาจปล่อยให้เรื่องนี้ถึงขั้นเลวร้ายได้เป็นอันขาด
สุ่ยอู๋ซินตอบกลับไปว่า “อื้ม! พวกข้าได้คิดหนทางที่จะฟื้นฟูปราการป้องกันเหล่านั้นเอาไว้แล้ว แต่ทว่าคุณลักษณะของห้วงมิตินั้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้มากที่สุด”
เรื่องนี้ เดี๋ยวนางจะต้องไปซักถามสุ่ยจิงอิ๋งเสียหน่อย ลองดูว่าควรจะทำอย่างไรดี?
มู่เฉียนซีเอ่ยปากกล่าวว่า “ที่ข้ามายังแดนมังกรในครั้งนี้เพราะมีเรื่องที่สำคัญมากจะต้องทำ มังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างไม่ทราบว่าพวกเจ้ามีผู้ใดเคยได้ยินบ้างหรือไม่?”
“มังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่าง!” เฮยเย้าและสุ่ยอู๋ซินต่างก็ชะงักงันไปชั่วขณะ
สุ่ยอู๋ซินกล่าวว่า “ข้าคุ้นเคยกับเชื้อสายของเผ่ามังกรต่าง ๆ ของพวกเรา แต่ทว่าก็ไม่เคยได้ยินชื่อมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างมาก่อน”
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน แต่หากท่านมู่ต้องการที่จะค้นหา เช่นนั้นมันต้องมีอยู่แล้ว! ข้าจะส่งคนไปสอบถามมาให้” เฮยเย้ากล่าว
สุ่ยอู๋ซินพยักหน้าเล็กน้อย “หากมันคือเผ่ามังกร จะต้องมีข้อมูลอย่างแน่นอน! ข้าจะไปสอบถามท่านอาวุโสของเผ่ามังกรเหล่านั้นมาให้ หวังว่าจะหาเบาะแสบางอย่างเจอ”
แม้แต่สุ่ยอู๋ซินเองก็ยังไม่รู้ถึงการมีอยู่ของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่าง ดูท่าหากต้องการจะหามังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างคงจะไม่ง่ายเสียแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เช่นนั้นต้องรบกวนพวกเจ้าสอบถามข่าวคราวให้แล้ว ข้าอยากที่จะตามหามันให้เร็วที่สุด”
สุ่ยอู๋ซินและเฮยเย้ากล่าวอย่างพร้อมเพรียง “ท่านมู่โปรดวางใจ”
สุ่ยอู๋ซินและเฮยเย้ารีบไปจัดการอย่างรวดเร็ว มู่เฉียนซีต้องการที่จะหามังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างให้เร็วที่สุด พวกเขาไม่กล้าที่จะโอ้เอ้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อถึงเวลาที่งานเลี้ยงตอนค่ำเริ่มต้นขึ้น คนจากเกาะราชามังกรทั้งหมดต่างก็พากันกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก
หลังจากที่งานเลี้ยงอาหารค่ำสิ้นสุดลงแล้ว หวงจิ่วเยี่ยที่เงียบขรึมมาโดยตลอดก็ได้เริ่มกระตือรือร้นขึ้นมาแล้ว
มู่เฉียนซีต้องการที่จะผลักเขาออกไป แต่สุดท้ายจิ่วเยี่ยก็กล่าวขึ้นมาด้วยเสียงที่แหบพร่าว่า “ซีเคยบอกว่า จะไม่ผลักไสข้า”
มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “สิ่งที่ข้าได้พูดไปก่อนหน้านี้ เดิมทีแล้วมันไม่ใช่ความหมายเช่นนี้เลย!”
“แต่ข้ารู้สึกว่า มันคือความหมายเช่นนี้”
ราชาจิ่วเยี่ยคิดว่ามันคือความหมายนี้ เช่นนั้นมู่เฉียนซีก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ และไม่อาจหลบหนีไปได้ จนสุดท้ายแล้วก็ต้องกลายมาเป็นอาหารอันโอชะของหวงจิ่วเยี่ยจนได้
หอสมุดที่อยู่บนเกาะราชามังกร มู่เฉียนซีมีสิทธิ์ที่จะเข้าไปตรวจสอบได้ แต่ทว่าภายในหอสมุดเหล่านี้ กลับไม่มีข้อมูลที่พวกเขาต้องการอยู่เลย และในไม่ช้า สุ่ยอู๋ซินก็ได้นำข่าวดีข่าวหนึ่งมาบอกมู่เฉียนซี “เผ่าเต่ามังกรก็มีสายเลือดของพวกเราเผ่ามังกรด้วย ชีวิตของพวกมันยาวนานยิ่งกว่าพวกเราเผ่ามังกรเป็นอย่างมาก การมีอายุที่ยืนยาวแน่นอนว่าเรื่องที่รู้ก็จะต้องมีมากไปด้วยเช่นกัน ผู้อาวุโสของเผ่าเต่ามังกรเป็นผู้เฒ่าที่มีความรู้ที่ลึกซึ้งและกว้างขวางมากกว่าพวกเราเผ่ามังกรเป็นอย่างมาก ดังนั้น บางทีเขาอาจจะรู้การมีอยู่ของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างก็เป็นได้”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเราก็รีบออกเดินทางไปยังเผ่าเต่ามังกรกันเถอะ!”
“ตกลง!”
ความจริงแล้วเฮยเย้าอยากที่จะติดตามไปด้วย แต่ทว่าเกาะราชามังกรต้องการที่จะให้เขานั่งบัญชาการด้วยตนเอง สุดท้ายแล้วเผ่ามังกรม่วงและเผ่ามังกรปีศาจรวมถึงเจ้าพวกคนเหล่านั้น ต่างก็ไม่สงบลงเลยแม้แต่น้อย
ทันทีที่พวกของมู่เฉียนซีมาถึงเผ่าเต่ามังกร ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นพวกเผ่ามังกรปีศาจมาที่เผ่าเต่ามังกรด้วย
“พวกเจ้ามาได้อย่างไร? จะต้องมีเจตนาที่ไม่ดีเป็นแน่”
เผ่ามังกรม่วงและเผ่ามังกรปีศาจ ได้สมรู้ร่วมคิดกับเผ่าคำสาป และนางก็จะต้องโจมตีทุกครั้งที่ได้เห็น แน่นอนว่าจะไม่มีทางอ่อนข้อให้อยู่แล้ว
ดวงตาของมู่เฉียนซีเป็นประกายเย็นวาบขึ้นมา นางกล่าวว่า “อู๋ตี้ เสี่ยวหง จู่โจมซะ!”
“ได้เลย!”
ตูม!
อู๋ตี้และเสี่ยวหงเริ่มโจมตีทันที ซึ่งมันก็ทำให้เผ่ามังกรปีศาจเหล่านี้ตกใจเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าพวกนี้คือตัวอะไรกันแน่? เป็นสัตว์เทพอะไรกัน?”
เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับการโจมตีของอู๋ตี้และเสี่ยวหง ทำให้พวกคนจากเผ่ามังกรปีศาจต้องสร้างเกาะป้องกันขึ้นมาอย่างเร่งรีบ
“เสี่ยวโม่โม่!”
ร่างเงาสีดำร่างหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นไปกลางอากาศ และเพลิงหงส์อมตะแห่งความมืดที่น่าสะพรึงกลัวก็ได้พุ่งเข้าไปโจมตีพวกเขา
เผ่ามังกรปีศาจค้นพบว่า เปลวเพลิงแห่งความมืดนี้ทำให้พวกเรารู้สึกถึงความหวาดกลัว
ร่างทั้งสองทะยานออกมา และกระบี่มังกรเพลิงพิฆาตวิญญาณก็ได้ระเบิดพลังที่น่าสะพรึงกลัวออกมา
แต่ทว่าสุ่ยอู๋ซินก็เคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบาราวกับสายลม
ปัง ปัง ปัง!
และสุดท้ายเผ่ามังกรปีศาจเหล่านี้ก็ได้สูญเสียพลังในการต่อสู้ไปจนหมดสิ้นแล้ว
พวกเขามองไปที่มู่เฉียนซีด้วยความตื่นตกใจ “พวกเจ้า…ที่จริงแล้วพวกเจ้าเป็นผู้ใดกันแน่?”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เผ่ามังกรปีศาจของพวกเจ้ามายังเกาะเต่ามังกร อันที่จริงแล้วกำลังวางแผนร้ายอะไรกันแน่? ลองพูดออกมาสิ?”
“แผนการร้าย พวกเราจะไปมีแผนการร้ายได้อย่างไร ข้ามาเพื่อเยี่ยมเยียนเผ่าเต่ามังกรก็เท่านั้น เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
“อู๋ตี้!”
ร่างสีขาวสว่างวาบขึ้น กรงเล็บเล็ก ๆ นั้นได้สร้างรอยขีดข่วนบนผิวหนังที่แข็งแกร่งของมังกรปีศาจ
ต่อมากรงเล็บนั้นฝังลึกลงไป และในตอนที่กำลังจะขุดแกนวิญญาณของเขาออกมา มันก็ทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมาก
“หยุดนะ!”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเรียบเฉย “อยากจะให้พวกเขาหยุด เช่นนั้นทางที่ดีที่สุดคือพวกเจ้าต้องตอบคำถามมาอย่างซื่อตรง มิฉะนั้นแล้วละก็…!”
ที่ด้านหลังเริ่มมีเลือดไหลอาบนองลงมา ภายในใจของพวกเขามีความหวาดกลัวถึงขีดสุด และคงทำได้เพียงกัดฟันตอบกลับไปอย่างตรงไปตรงมา
“ข้าพูด ข้าจะพูด…”
“พวกเราเพียงแค่จะมาถามเรื่องบางอย่างกับท่านผู้เฒ่าเท่านั้นเอง และมันก็ไม่มีเรื่องที่ไม่ดีอย่างแน่นอน!”
“จริงหรือ!”
สุ่ยอู๋ซินถามกลับไปว่า “มาถามเรื่องอะไรกัน?”
“จะมาถามว่าจะเปิดสุสานมังกรอีกครั้งได้อย่างไร มีเพียงแค่สิ่งนี้เท่านั้น ข้าไม่ได้โกหกอย่างแน่นอน”
เปิดสุสานมังกรหรือ? แววตาของมู่เฉียนซีเปล่งประกายเล็กน้อย
เผ่าเทพไม่รู้ว่าคัมภีร์หมื่นคำสาปของเผ่ามังกรอยู่ในมือของนางเรียบร้อยแล้ว คงคาดเดาว่าคัมภีร์หมื่นคำสาปของเผ่ามังกรยังคงอยู่อย่างนั้นสินะ!
สุ่ยอู๋ซินกล่าวว่า “ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าไม่ได้โกหก แต่ทว่าก็ไม่อาจที่จะปล่อยให้พวกเจ้ากลับไปได้”
ปัง ปัง ปัง!
พลังวิญญาณธาตุวารีที่ยิ่งใหญ่มหาศาลได้ระเบิดออกมา และพวกเขาก็กล่าวอย่างตื่นตกใจว่า “จะ…เจ้า…เหตุใดถึงได้มีพลังวิญาญาณธาตุวารีที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เจ้าคือคนเผ่ามังกรว่ารีหรือ”
พวกเขาถูกมังกรวารีโจมตีจนหมดสติไปทีละคน ท่านหัวหน้าเผ่ามังกรวารีออกคำสั่งว่า “พาพวกเขาไป แล้วคุมขังเอาไว้!”
“ขอรับ! หัวหน้าเผ่า”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ข้าก็คิดว่าเป็นมังกรวารีตัวไหนที่มากำเริบเสิบสานกับข้าเผ่าเต่ามังกรเสียอีกนะ! ที่แท้ก็เป็นหัวหน้าเผ่าวารี สุ่ยอู๋ซินนี่เอง” มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมา และหลังจากนั้นก็มีชายวัยกลางคนที่รูปร่างกำยำล่ำสันคนหนึ่งเดินออกมา
สุ่ยอู๋ซินกล่าวว่า “กุยชิว เป็นเจ้านี่เอง! แล้วพี่ชายของเจ้าล่ะ?”
กุยชิวกล่าวว่า “สุ่ยอู๋ซิน เมื่อเร็ว ๆ นี้เจ้าได้รับหน้าที่คอยเฝ้าราชามังกรน้อยอย่างเต็มที่ และเผ่าเต่ามังกรของข้าก็ไม่อาจเข้าไปอยู่ในสายตาของเจ้าได้เลยแม้แต่น้อย ขนาดเผ่าของพวกเราเปลี่ยนหัวหน้าเผ่าไปแล้วเจ้ายังมิรู้เรื่องเลย”
“หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ตอนนี้เจ้าได้เป็นหัวหน้าเผ่าเต่ามังกรแล้วหรือ” สุ่ยอู๋ซินกล่าว
“ก่อนหน้านี้พี่ชายของข้าร่างกายไม่แข็งแรง เช่นนั้นจึงได้มอบตำแหน่งหัวหน้าเผ่าให้กับข้าแล้ว หัวหน้าเผ่ามังกรวารีผู้สูงศักดิ์ลดเกียรติมาเผ่าเต่ามังกรของข้า ด้วยเรื่องอันใดเช่นนั้นหรือ?”
ถึงจะเห็นได้ชัดว่าเขาดูเป็นคนเรียบง่ายและซื่อสัตย์ที่สุดคนหนึ่ง แต่ทว่ามู่เฉียนซีกลับเห็นความเจ้าเล่ห์ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา และสุ่ยอู๋ซินก็กล่าวอย่างเมินเฉยว่า “หรือว่าท่านกุยชิวต้องการจะให้ข้าพูดตรงนี้เช่นนั้นหรือ?”