ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1795 บีบนางให้ประลอง
“เจ้าคือมู่เฉินซีใช่หรือไม่?! ข้ามาเพื่อสั่งสอนเจ้า” หญิงสาวในชุดสีชมพูลงมาอยู่บนสนามประลอง
พวกเขาพากันตกตะลึงไปชั่วขณะ “เกาถิงของสำนักหลินเยว่ออกมาแล้ว”
“แม่นางน้อยผู้นี้ทนมาจนถึงตอนนี้ได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว หากพวกนางอยากรีบเร่งไปข้างหน้าถึงเพียงนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องของพวกเราอีกต่อไปแล้ว”
“คิ คิ คิ! นั่นก็จริง พวกเรารอดูการแสดงดี ๆ ก็เพียงพอแล้ว”
เดิมทีมู่เฉียนซีไม่รู้ว่าเกาถิงผู้นี้เป็นคนของสำนักหลินเยว่ แต่เมื่อได้ฟังจากที่พวกเขาพูดคุยกันถึงได้รู้
มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกขึ้นเล็กน้อย ที่แท้ศิษย์ของสำนักหลินเยว่ก็กลับมาฝึกฝนที่หอคอยซิงเหลยนี้ด้วยเช่นกันสินะ!
ทุกคนต่างก็รู้สึกถึงอุณหภูมิแห่งสายลมของหอคอยซิงเหลยแห่งนี้ที่ลดต่ำลงอย่างอธิบายไม่ได้
เกาถิงกล่าวว่า “ชนะติดต่อกันเก้าสิบเจ็ดครั้งก็ไม่เห็นจะเท่าไรเลย ข้าเองก็ชนะติดต่อกันเก้าสิบแปดครั้งแล้วเช่นกัน วันนี้ให้ข้าได้เอาชนะหญิงแก่นแก้วอย่างเจ้าแล้วเข้าสู่การชนะติดต่อกันครั้งที่เก้าสิบเก้าเถอะ!”
ความโอหังอวดดีอย่างที่สุดของเกาถิงทำให้ไม่เห็นมู่เฉียนซีอยู่ในสายตาเลยสักนิด นางชักกระบี่ออกมาอย่าฉับพลัน และทำให้เห็นว่าความแข็งแกร่งของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าขั้นสุดยอดนั้นไม่ได้อ่อนแอเลย
ด้วยกระบวนท่าของกระบี่ที่รุนแรง ทำให้เมื่อออกกระบวนท่าแล้วจำต้องเห็นการนองเลือด
ทุกกระบวนท่าต่างก็หมายที่จะทำร้ายมู่เฉียนซีให้ถึงแก่ชีวิตทั้งนั้น แต่มู่เฉียนซีกลับหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย
เกาถิงกล่าวว่า “หญิงแก่นแก้ว เจ้ากลัวแล้วสินะ! หลบ รู้จักหลบแล้วอย่างนั้นหรือ?”
ความรวดเร็วของเกาถิงยิ่งเร็วมากขึ้นเรื่อย ๆ ในฐานะที่เป็นศิษย์ของสำนักหลินเยว่แห่งกองกำลังระดับสี่ ทำให้สามารถฝึกฝนทักษะวิญญาณทางกายภาพระดับสูงได้อย่างเป็นธรรมชาติ
นางคิดว่าอาศัยทักษะวิญญาณระดับสูงก็สามารถไล่ตามความเร็วของมู่เฉียนซีได้แล้ว แต่ทว่าที่จริงแล้วมู่เฉียนซีปล่อยให้นางไล่ตามได้ทันต่างหาก และเมื่อถึงตอนที่นางไล่ตามขึ้นมาทันแล้ว มู่เฉียนซีก็โจมตีกลับไปในทันที!
“พลังวายุจันทราไร้คู่!”
ตูมมม!
เกาถิงถูกโจมตีจนลอยละลิ่วออกไป ทันใดนั้นขนนกก็ได้เปลี่ยนกลายเป็นใบพัดนับไม่ถ้วนพุ่งตรงไปที่นาง
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้วว!
ใบพัดที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพลังวิญญาณธาตุวายุมีความเร็วเป็นอย่างมาก เกาถิงสามารถหลบและขวางไว้ได้เพียงแค่สองสามอันเท่านั้น แต่ทว่ากลับไม่สามารถหลบหลีกทั้งหมดนั้นได้
ฉึก!
“กรี๊ดดด!”
ใบพัดได้ตัดเสื้อผ้าของเกาถิงจนฉีกขาด ทั้งยังทิ้งรอยเลือดไว้บนร่างกายของนางนับไม่ถ้วน
จังหวะในการต่อสู้ของเกาถิงถูกมู่เฉียนซีทำให้ยุ่งเหยิงไปในทันที ต่อมาพัดวิหคเฟิงหลิงก็ได้กลายเป็นดาบยาวและมู่เฉียนซีก็ได้โจมตีเข้าไปอีกครั้ง
“พลังวายุกักขังวิญญาณ!”
เกาถิงเหวี่ยงกระบี่ของนางเพื่อโต้กลับ และกระบี่ทั้งสองก็ปะทะเข้าด้วยกัน
เคร้ง!
จากนั้นไม่นาน กระบี่ของเกาถิงก็หักและแบ่งออกเป็นสองท่อน พร้อมกันนั้นพัดวิหคเฟิงหลิงก็ได้ทิ้งรอยแผลไว้บนไหล่ของเกาถิงอีกหนึ่งรอย
“กรี๊ดด!” เกาถิงกรีดร้องด้วยเสียงแหลมสูงอย่างเจ็บปวด และเมื่อมองไปเห็นกระบี่ที่หักอยู่บนพื้นก็ยิ่งปวดใจมากขึ้นไปอีก
นี่คือกระบี่ที่ดีที่สุดที่ท่านอาจารย์ได้มอบให้แก่นาง ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะหักลงไปอย่างง่ายดายเช่นนี้เสียแล้ว
ทุกคนต่างพากันตกตะลึง “อาวุธวิญญาณของลูกศิษย์สำนักหลินเยว่ได้กลายเป็นกากเต้าหู้ไปตั้งแต่เมื่อไรกัน หากไม่กล่าวถึงอาวุธวิญญาณแล้วละก็ สำนักหลินเยว่เป็นถึงกองกำลังระดับสี่ที่เก่งกาจที่สุดไม่ใช่หรือ?”
“ไม่ใช่ว่าอาวุธของลูกศิษย์สำนักหลินเยว่จะไม่ดีพอ แต่พัดเล่มนั้นมันแข็งแกร่งมากเกินไปต่างหาก ดูไม่ออกเลยว่าอยู่ในระดับใด แต่ทว่าอย่างน้อยที่สุดก็น่าจะเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงสุด!”
มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพอะไรกัน พวกเขายังไม่กล้าคิดอะไรที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนั้นหรอก
มู่เฉียนซีเหลือบมองไปที่เกาถิงแล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ยอมแพ้เสียเถอะ!”
เกาถิงจ้องมองไปทางมู่เฉียนซีด้วยความโกรธแค้นแล้วกล่าวว่า “ยอมแพ้ ลูกศิษย์จากสำนักหลินเยว่อย่างข้าไม่มีทางที่จะยอมแพ้อย่างแน่นอน ข้าจะสู้กับเจ้า!”
นางพุ่งเข้ามาเพื่อโจมตีมู่เฉียนซีต่อด้วยท่าทางที่ป่าเถื่อน มู่เฉียนซีกระโดดขึ้นไปในอากาศ และพัดวิหคเฟิงหลิงที่หมุนวนอยู่ในอากาศก็ได้โจมตีเข้าใส่เกาถิงอีกครั้ง
“พลังวายุทำลายวิญญาณ!”
“กรี๊ด!”
ครั้งนี้ เกาถิงน่าสลดใจยิ่งกว่าเดิมเสียอีก เลือดสดสาดกระเซ็นไปทั่ว และสุดท้ายเกาถิงก็ล้มหมดสติลงไปในกองเลือด
“ศิษย์น้อง!” หญิงสาวอีกคนหนึ่งวิ่งมาจนถึงสังเวียนการประลองด้วยท่าทางกระวนกระวายใจ
“ใครก็ได้! รีบมาพาศิษย์น้องของข้าลงไปรักษาเร็วเข้า! บาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ เกรงว่าเส้นลมปราณของศิษย์น้องของข้าคงใกล้จะแตกแล้ว เร็วเข้าสิ!” เกาเฟิ่งกล่าวอย่างร้อนใจเป็นที่สุด
ในเวลานี้มู่เฉียนซีที่กำลังยืนอยู่บนสังเวียนการประลอง ก็จ้องมองไปที่หญิงสาวชุดขาวผู้นี้อย่างครุ่นคิด
รอหลังจากที่เกาถิงถูกพาตัวไปแล้ว เกาเฟิ่งก็มองไปทางมู่เฉียนซีพลางกล่าวว่า “แม่นางมู่ เจ้าเป็นถึงเพื่อนของคุณชายจิ่งเยว่ ข้าก็คิดว่าเจ้าจะเป็นคนที่จิตใจดีเหมือนอย่างคุณชายจิ่งเยว่! ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเจ้าจะโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้! หากเส้นลมปราณของศิษย์น้องของข้าได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถฝึกฝนได้อีก เจ้าก็จะกลายเป็นคนทำลายนางไปโดยสิ้นเชิง!”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “แม้ว่าข้าจะพึ่งจะมาที่หอคอยซิงเหลย แต่ทว่ากฎของหอคอยซิงเหลยข้านั้นย่อมรู้อย่างแน่นอน ว่าไม่อาจฆ่าคนได้ ทว่าอาวุธบนสนามประลองนั้นไร้ตา การที่จะทำให้คนบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ นั่นก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงได้ ในเมื่อเข้าร่วมการประลองของหอคอยซิงเหลย ทุกคนก็จะต้องรู้กฎข้อนี้เป็นอย่างดี บนเส้นทางของการฝึกฝน มันจะทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยได้อย่างไร?”
“ตะ…แต่เจ้าก็ไม่เห็นจะต้องทำให้ศิษย์น้องของข้าบาดเจ็บถึงเพียงนั้นเลยนี่!” เกาเฟิ่งกล่าวด้วยน้ำตาคลอเบ้า และพยายามจะกล่าวโทษมู่เฉียนซีด้วยความโกรธและเจ็บปวดใจ
“เดิมทีแล้วนางสามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้! ก่อนหน้านั้นข้าก็ได้บอกให้นางยอมแพ้แล้ว แต่นางกลับปฏิเสธและยืนกรานที่จะต่อสู้ ที่มันลงเอยจนกลายเป็นเรื่องใหญ่มากถึงเพียงนี้ เหตุผลก็เป็นเพราะตัวของนางเอง” มู่เฉียนซีกล่าวตอบ
ถึงแม้ว่าเกาถิงจะบาดเจ็บอย่างน่าเวทนามากก็จริง แต่นี่ก็เป็นเพราะความสามารถของนางด้อยกว่าคนอื่น ทั้งยังหาเรื่องให้ตนเอง จะให้โทษคู่ต่อสู้ของนางก็ไม่ได้
ในเวลานี้ผู้ดำเนินการประลองก็กล่าวว่า “คุณหนูเกา แม่นางมู่ไม่ได้ละเมิดกฏแต่อย่างใด แต่ตอนนี้ท่านกำลังกระทำการละเมิดกฎอยู่ โปรดออกไปด้วยขอรับ”
เกาเฟิ่งยังไม่ทันที่จะได้ตอบกลับ แต่มู่เฉียนซีกลับกล่าวว่า “แท้จริงแล้วคุณหนูเกาเฟิ่งไม่ได้ละเมิดกฎแต่อย่างใด เนื่องจากว่านางต้องการที่จะท้าประลองกับข้าจึงให้ศิษย์น้องของนางขึ้นสังเวียนมา จะก่อนหรือหลังก็เหมือนกัน! และข้าก็ยังขาดการประลองอยู่อีกสองรอบพอดี สำหรับการท้าประลองของคุณหนูเกาเฟิ่ง ข้าไม่คัดค้านแต่อย่างใด”
“ข้า…” เกาเฟิ่งตะลึงงันไปครู่หนึ่ง
ความสามารถของมู่เฉียนซีนั้นยากที่จะต่อกรได้ และก็เกรงว่า ในหมู่ของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตเอง ก็อาจจะไม่มีคู่ต่อสู้ที่สู้นางได้เลยอยู่เลยก็เป็นได้ และการต่อสู้กับนางนั้นก็ยากที่จะคาดเดาได้ว่าจะแพ้หรือชนะ
ตอนนี้เกาเฟิ่งชนะติดต่อกันมาถึงเก้าสิบเก้าครั้งแล้ว หากต้องมาพ่ายแพ้ ไม่เพียงแต่ต้องเสียหน้า แต่ยังต้องไต่อันดับขึ้นมาใหม่อีกด้วย เช่นนั้นนางจึงไม่อยากที่จะเสี่ยง
ทว่าหากนางกลัวที่จะพ่ายแพ้จนไม่กล้าแก้แค้นให้ศิษย์น้อง ก็ไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดกับนางเช่นไร?
ตอนนี้นางขี่อยู่บนหลังเสือเสียแล้ว และทำได้เพียงแค่ตอบรับเท่านั้น ฉะนั้นนางจะต้องเอาชนะมู่เฉินซีผู้นี้ให้จงได้
เกาเฟิ่งกล่าวว่า “ใช่แล้ว! การประลองครั้งนี้แม่นางมู่ไม่ได้ละเมิดกฎของหอคอยซิงเหลยแต่อย่างใด ทว่าในฐานะศิษย์พี่อย่างข้าก็ไม่อาจที่จะเมินเฉยต่อศิษย์น้องที่ถูกผู้อื่นรังแกได้ ข้าต้องการที่จะท้าประลองกับเจ้า! และคืนความยุติธรรมให้กับศิษย์น้องของข้า”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นั่นก็ต้องมาดูกันว่าคุณหนูเกาเฟิ่งจะแข็งแกร่งพอหรือไม่!”
ชายที่เข้าร่วมการประลองคนหนึ่งบ่นพึมพำว่า “แม่นางมู่คนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ! นางบีบบังคับให้เกาเฟิ่งตอบรับว่าจะสู้กับนางหรือไม่ได้ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเกาเฟิ่งถูกบีบให้ยอมรับความพ่ายแพ้เช่นนี้”
“เกาเฟิ่งเป็นหญิงสาวเพียงคนเดียวในชั้นที่สิบที่ชนะติดต่อเก้าสิบเก้าครั้งแล้ว! ระดับของนางถึงแม้ว่าจะเทียบเท่ากับเกาถิงผู้นั้น แต่ความสามารถของทั้งสองคนก็แตกต่างกันเป็นอย่างมาก”
“นั่นก็ไม่แน่หรอก เจ้าแน่ใจหรือว่าตอนที่มู่เฉินซีต่อสู้กับเกาถิงผู้นั้นนางได้ใช้พลังทั้งหมดแล้ว”
“พูดเช่นนั้นก็ถูก!”
พวกเขามีความสุขที่จะได้เห็นเกาเฟิ่งขายหน้าเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าหญิงสาวทุกคนของสำนักหลินเยว่จะเติบโตมาอย่างงดงามราวบุปผาผลิบาน แต่ก็จะปฏิบัติต่อผู้ชายเหมือนกับเป็นขยะทุกครั้งไป และแม้จะมีใบหน้าที่งดงามยิ่งกว่านี้ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกดีด้วยเลยแม้แต่น้อย
ถึงความสามารถจะสู้ไม่ได้ แต่สำนักหลินเยว่ก็ยังมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังคอยสนับสนุนอยู่ พวกเขาจึงหมดหนทางที่จะต่อสู้ได้ แต่ทว่าวันนี้บางทีอาจจะมีอะไรดี ๆ แสดงให้ดูก็เป็นได้
ผู้คนมากมายต่างมองไปที่สังเวียนด้วยความสนใจเป็นอย่างมาก จำต้องพูดว่าทั้งสองคนนี้ต่างก็งดงาม เกาเฟิ่ง สาวงามในชุดคลุมสีขาวผู้นั้นแม้ว่าจะดูใจร้ายเล็กน้อย แต่รูปร่างหน้าตาของนางกลับงดงามเป็นอย่างมาก และมู่เฉินซีก็ยิ่งถือได้ว่าไร้ที่ติเลยทีเดียว