ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1824 ถูกผลาญไปอย่างสิ้นเปลือง
“ข้าไม่อยากถูกขังไว้ที่นี่ตลอดไป ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องออกไปลุยสักหน่อย หากทุกท่านตกลงก็เชิญนำทาง ถ้าหากไม่ตกลง ข้าก็คงทำได้เพียงใช้วิธีพิเศษเท่านั้น”
สิ้นเสียงมู่เฉียนซี พัดวิหคเฟิงหลิงที่อยู่ในมือก็เอนเอียงขึ้นมาเล็กน้อย มันได้เอนเอียงไปแนบติดใกล้ชิดติดกับคออากังมากยิ่งขึ้น
ในมือของนางมีตัวประกันอยู่!
ท่านหัวหน้าเผ่ากล่าว “เจ้าตามข้ามา!”
“ได้!”
เพื่อไม่ให้พวกเขาเปลี่ยนใจในภายหลัง มู่เฉียนซีจึงไม่อาจปล่อยตัวประกันไปได้ในตอนนี้
เมื่อหัวหน้าเผ่าได้นำทางพวกเขาไปด้านหลังหมู่บ้าน ซึ่งเป็นหุบเขาลึก พวกของมู่เฉียนซีก็ได้เข้าไปในหุบเขา และนางก็สัมผัสได้ถึงพลังธาตุแสงได้ในทันที
คนเหล่านี้ก็ชะลอความเร็วลงในทันที หัวหน้าเผ่ากล่าว “ข้างในมันอันตรายเกินไป พวกเจ้ารอข้าอยู่ข้างนอกก็แล้วกัน!”
“ท่านหัวหน้าเผ่า พวกเราจะวางใจปล่อยให้ท่านเข้าไปตามลำพังได้อย่างไร!”
“ใช่แล้ว! ข้าจะเข้าไปกับท่านหัวหน้าเผ่าด้วย”
“……”
สุดท้ายแล้วหัวหน้าเผ่าก็ได้เข้าไปข้างในพร้อมกับอาสาสมัครอีกหนึ่งคน ยิ่งเข้าใกล้พลังวิญญาณธาตุแสงมากขึ้นเท่าไร พลังวิญญาณนั้นก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น และหัวหน้าเผ่าผู้นี้ก็จะยิ่งทรมานมากขึ้นด้วยเช่นกัน
มู่เฉียนซีเองก็รู้สึกว่าคนที่ถูกนางควบคุมเป็นตัวประกันอยู่ ก็เริ่มที่จะหายใจด้วยความยากลำบากแล้ว หัวหน้าเผ่ากล่าว “แม่นาง พวกเราเข้าใกล้มากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ทะเลสาบสีเงินที่อยู่ด้านหน้านั้นเป็นเขตต้องห้าม เผ่าของเราได้ทำการผนึกต้นกำเนิดพลังแสงนั่นไว้”
มู่เฉียนซีพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว!”
นางผละมือออก แล้วผลักอากังออกจากตัว
“ถ้าให้ดีพวกเจ้าจงอย่าได้หลอกข้าเลย”
มู่เฉียนซีมุ่งตรงไปยังทะเลสาบสีเงิน ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไร ธาตุแสงก็ยิ่งเข้มข้นมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เท่านั้น
มู่เฉียนซีเอ่ยถาม “จิ่วเยี่ย เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
พลังมืดของจิ่วเยี่ยได้ต่อสู้กับพลังแสงมาโดยตลอด ซ้ำร้ายร่างกายของเขาก็ยังมีคำสาปน่าทุเรศนั่นอยู่อีกด้วย ดังนั้นจึงไม่อาจให้เกิดข้อผิดพลาดใด ๆ ได้ มิฉะนั้นแล้วจะทำให้คำสาปกำเริบขึ้นมาอีก
นิรันดร์กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ศิษย์ที่รัก เจ้าจะเป็นห่วงเขาทำไมกัน? พลังมืดแข็งแกร่งขนาดนี้ ถึงแม้เสี่ยวห้วนเอ๋อร์ที่อยู่ในระดับพลังสูงสุด เป็นฝ่ายลงมือจัดการเขาด้วยตัวเองก็คงต้องอาศัยพลังอยู่ไม่น้อย แล้วนับประสาอะไรกับพลังของแมลงตัวกระจ้อยร่อยเล่า”
จิ่วเยี่ยก้าวออกไปเบื้องหน้า แล้วดึงมู่เฉียนซีเข้ามาโอบกอดพลางกล่าว “ซี ข้าไม่เป็นอะไร! หากเจ้าเป็นห่วงละก็ เจ้าจะตรวจร่างกายข้าดูด้วยตัวเองก็ได้นะ”
นี่มันเป็นการยอมพลีกายพลีวิญญาณให้มู่เฉียนซีได้ตรวจสอบอย่างน่าไม่อายชัด ๆ นิรันดร์ได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาในทันที
นิรันดร์กล่าว “อย่ามัวเสียเวลาอีกเลย รีบตามหามันแล้วรีบไปดีกว่า ที่ที่ถูกปิดผนึกมานานหลายปีเช่นนี้ อากาศไม่ค่อยถ่ายเทเท่าไรนัก ข้าไม่ชอบเอาเสียเลย!”
มู่เฉียนซีกล่าว “พวกเราลงไปกันเถอะ!”
ฟุ่บ!
พวกเขาทั้งสามได้กระโดดลงไปในทะเลสาบสีเงินศักดิ์สิทธิ์ และราวกับว่าพลังแสงที่อยู่ในทะเลสาบแห่งนี้สามารถรับรู้ได้ถึงใครบางคนที่มีพลังมืดอันร้ายกาจและน่ากลัวอยู่ในทะเลสาบ มันจึงเริ่มทำการโจมตีขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
พลังแสงจำนวนนับไม่ถ้วนได้ถาโถมเข้าใส่จิ่วเยี่ยด้วยความบ้าคลั่งราวกับคลื่นยักษ์ก็มิปาน ราวกับว่ามันได้ทุ่มพลังทั้งหมดที่มีไล่สังหารจิ่วเยี่ยอย่างไรอย่างนั้น
จิ่วเยี่ยดึงมู่เฉียนซีเข้ามากอดไว้แน่น แล้วปล่อยให้พลังแสงเหล่านั้นยั่วโทสะและโจมตีไปอย่างไม่สนใจ
นิรันดร์กล่าว “เฮ้อ! หวงจิ่วเยี่ย พลังแสงเหล่านี้โจมตีเจ้า ไม่ได้โจมตีศิษย์ที่รักของข้าสักหน่อย ยังไม่ปล่อยนางไปอีก”
เมื่อมีโอกาสได้กินเต้าหู้ทั้งที มีหรือที่จิ่วเยี่ยจะยอมปล่อยไปอย่างง่ายดาย!
“แม้แต่พลังของเสี่ยวห้วนเอ๋อร์ก็ไม่อาจทำอะไรวิญญาณลิขิตสวรรค์ได้ ดังนั้นพลังเพียงเท่านี้ก็ไม่มีอะไรให้น่าดูเลยสักนิด เจ้าค่อย ๆ เล่นกับพลังแสงเหล่านี้ไปก็แล้วกัน ข้าจะออกไปตามหาเจ้านั่นกับศิษย์ที่รัก”
จิ่วเยี่ยกล่าวกับมู่เฉียนซี “ซี ไม่นานหรอก! เจ้ารอข้าสักประเดี๋ยว!”
มู่เฉียนซีพยักหน้าแล้วกล่าว “ได้!”
พลังแสงเหล่านี้เปรียบดั่งแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟ มันพุ่งเข้าหาหวงจิ่วเยี่ยอย่างไม่หยุดหย่อน สุดท้ายแล้วก็ล้วนแตกสลายไม่เหลือหลอ
ส่วนพวกของเผ่ามืดก็ได้ยืนสังเกตการณ์อยู่ที่ปากทางเข้าเขตต้องห้าม มีคนกล่าวขึ้นด้วยความตกตะลึง “ท่านหัวหน้า ท่านสังเกตหรือไม่ว่าพลังแสงนั่นดูเหมือนจะอ่อนกำลังลงแล้ว”
“ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นจริง ๆ ด้วย หรือแม่นางน้อยผู้นั้นจะปลดผนึกออกได้แล้วอย่างนั้นหรือ?”
หัวหน้าเผ่ากล่าว “จะง่ายเช่นนั้นได้อย่างไร หากมันง่ายดายเช่นนั้น แล้วเหตุใดบรรพบุรุษของเราแต่ละรุ่นถึงได้ล้มเหลวกันล่ะ”
ครั้นสิ้นเสียงหัวหน้าเผ่า แสงรัศมีของทะเลสาบสีเงินศักดิ์สิทธิ์ก็ได้หายวาบไปจนหมดสิ้น
ในขณะนั้นผืนน้ำที่เงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง ก็กลับกลายเป็นทะเลสาบธรรมดาทั่วไปแห่งหนึ่ง
“ไม่มีพลังแสงที่น่ากลัวนั่นแล้ว”
“ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นนะ ผนึกได้ถูกปลดออกแล้วหรือ?”
“พวกเราไปดูกันเถอะ!”
พวกเขารีบพุ่งเข้าไปที่ทะเลสาบ และไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติอันใด
พวกเขาทอดมองไปยังหัวหน้าเผ่าด้วยความยินดีปรีดา
หัวหน้าเผ่ากล่าว “ผนึกยังไม่ถูกปลดออก แต่นี่ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี!”
“ในเมื่อไม่มีพลังแสงแล้ว พวกเราก็สามารถลงไปดูใต้ทะเลสาบได้” พวกเข้าทอดมองไปยังผืนน้ำอันเงียบสงบในทะเลสาบ ภายในใจก็รู้สึกอยากรู้อยากลองเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าหัวหน้าเผ่ากลับห้ามปรามพวกเขาไว้ “แม่นางผู้นั้นสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ แสดงว่าพลังของนางคงไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน หากพวกเราลงไปแล้วทำให้เสียเรื่องคงไม่ดีเป็นแน่ รออีกสักหน่อยเถอะ!”
“ขอรับ ท่านหัวหน้าเผ่า!”
ส่วนเหตุใดทะเลสาบสีเงินศักดิ์สิทธิ์ถึงได้เปลี่ยนเป็นปกติ นั่นก็เพราะพลังแสงในทะเลสาบไม่เจียมตัวไปโจมตีหวงจิ่วเยี่ย ผลปรากฏว่าหวงจิ่วเยี่ยไม่ได้รับผลกระทบอันใดแม้แต่น้อย ในทางกลับกันพลังของพวกมันก็ได้อ่อนกำลังลงอย่างเห็นได้ชัด
พวกของมู่เฉียนซีทั้งสามที่ได้ลงไปยังก้นบึ้งทะเลสาบ ก็ได้เข้าไปในพระราชวังแห่งหนึ่ง
พระราชวังหลังนี้เหมือนกับพระราชวังที่พวกเขาพบในช่วงก่อนหน้านี้ทุกประการ ดูเหมือนสิ่งของเหล่านั้นจะมาจากที่นี่
เมื่อผ่านเข้าไปในพระราชวังแล้ว พวกเขาก็ได้มาถึงลานที่กว้างขวางแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว ลานกว้างนี้มีรูปแกะสลักจำนวนนับร้อยตัววางอยู่ทั่วทั้งลาน มู่เฉียนซีจึงหยุดชะงักฝีเท้าลงในทันที
เจ้ารูปแกะสลักเหล่านี้จะต้องเหมือนกับรูปแกะสลักสองตัวก่อนหน้านี้ ที่ทั้งสามารถขยับเขยื้อนและโจมตีได้เป็นแน่
ทว่าก็มีเพียงแต่ต้องทำลายพวกมันเท่านั้นจึงจะสามารถรู้ได้ว่าก้าวต่อไปคืออะไร?
ทันทีที่มู่เฉียนซีก้าวออกไปเบื้องหน้า รูปแกะสลักเหล่านั้นก็เคลื่อนไหวในทันที พวกมันได้แปรเปลี่ยนเป็นรูปขบวนในการตั้งแนวรบอย่างรวดเร็ว
จากนั้น มนุษย์ผู้หนึ่งในกลุ่มรูปแกะสลักก็ได้กล่าวขึ้น
“ยินดีกับเจ้าด้วย พวกมนุษย์ เจ้าได้ชำระจิตวิญญาณจนสะอาดบริสุทธิ์จึงสามารถมาถึงวังแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ได้ เจ้ามีสิทธิ์ได้รับการสืบทอดพลังของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่าง”
หากได้แช่ตัวในทะเลสาบ เกรงว่าคงจะสามารถชำระจิตวิญญาณได้สะอาดอย่างแท้จริง ทว่าน่าเสียดายที่มู่เฉียนซีไม่ใช่
“แต่เพียงแค่จิตวิญญาณสะอาดบริสุทธิ์เท่านั้นยังไม่พอหรอก เจ้าจะต้องพิสูจน์พลังของเจ้าให้พวกเราเห็นด้วย เจ้าจะต้องโค่นล้มพวกเรา!”
ปัง!
สิ้นเสียงคนผู้นั้น รูปแกะสลักเหล่านี้ก็ได้ทำการโจมตีในทันที
“เสี่ยวโม่โม่ อู๋ตี้ เสี่ยวหง ออกมา!”
การโจมตีของพวกเขาเหล่านี้แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง พลังของพวกเขาก็มีหลายชั้นเป็นอย่างมาก
จิ่วเยี่ยและนิรันดร์ก็ทำการโจมตีในทันที ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำอย่างพวกเขา ล้วนมีกระแสจิตในการโจมตีที่สอดคล้องต้องกันเป็นอย่างดี ส่วนคนอื่น ๆ ก็ได้ออกห่างจากมู่เฉียนซีไปทำการสู้รบแล้ว
“พลังวายุเมฆา ดาวกระจาย!”
เมื่อพัดวิหคโบกสะบัด ทักษะวิญญาณการโจมตีธาตุวายุก็ได้ระเบิดออกมา
ทว่าการโจมตีของธาตุวายุก็ไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้แม้แต่น้อย
“เพลิงเผาสวรรค์!”
“ผู้อมตะในใต้หล้ามีเพียงข้าที่ครอบครอง! ดูกำปั้นของข้า อู๋ตี้”
กว่าจะมีโอกาสได้อวดฝีมือก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อู๋ตี้และเสี่ยวหงต่างรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาโจมตีรูปแกะสลักเหล่านี้ราวกับสายฟ้าฟาด ลมพายุโหมกระหน่ำก็มิปาน
ครืน ครืน!
รูปแกะสลักตัวหนึ่งถูกอู๋ตี้ทำลายลงจนกลายเป็นผุยผง ทว่าภายในชั่วพริบตามันก็ถูกซ่อมแซมด้วยพลังธาตุแสงจนกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
พลังธาตุแสงไม่เพียงแต่จะสามารถชำระล้างวิญญาณได้เท่านั้น พลังของการรักษาก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน
มู่เฉียนซีกล่าว “สามารถรักษาได้ก็ไม่เห็นมีอะไรน่าตกใจ เสี่ยวโม่โม่ อู๋ตี้ เสี่ยวหง พวกเราโจมตีพวกมันต่อ! ดูสิว่าพวกมันจะสามารถรักษาซ่อมแซมได้กี่ครั้งกันเชียว?”