ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1839 จัดการพวกเขา
ในตอนที่มู่เฉียนซีเอ่ยปากบอกให้เขาเป็นผู้จัดการ หัวหน้าสำนักเหยียนเยี่ยก็คิดแผนการจัดการขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว!
เขากล่าวว่า “อย่างไรก็ตามสำนักหลินเยว่ก็ถือว่าเป็นสำนักระดับสี่ที่มีชื่อเสียง และราชินีอสรพิษจิ่วยินยังแอบลอบโจมตีลูกศิษย์สำนักหลินเยว่ด้วย เช่นนั้นข้าก็จะมอบราชินีอสรพิษจิ่วยินให้สำนักหลินเยว่เป็นผู้จัดการ! ถึงอย่างไรนางก็กลายเป็นคนไร้ประโชนย์ไปแล้ว ก็คงไม่เป็นภัยต่อผู้อื่นอีกแล้วล่ะ”
“อย่างไรก็ตามตอนนี้ลูกศิษย์ของสำนักหลินเยว่ทั้งหลายเหล่านี้ก็มีสภาพที่ไม่ดีเท่าไรนัก นักปรุงยาจากสำนักของข้าก็ไม่อาจแก้ไขได้แล้ว ดูท่าแล้วสำนักหลินเยว่จะสามารถเชิญนักปรุงยาของสำนักหลินเยว่มาจัดการได้! สำนักหลินเยว่มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสำนักหลางซิงมาโดยตลอด เช่นนั้นพวกเจ้าก็คุ้มกันพวกเขากลับไปที่สำนักหลินเยว่เถิด!”
ปล่อยให้สัตว์ร้ายอย่างสำนักหลางซิงเหล่านี้เป็นผู้คุ้มกัน นี่มันราวกับส่งหมาป่าเข้าปากเสือชัด ๆ!
ถึงพวกเขาต่างจะพากันตำหนิอยู่ภายในใจ แต่ทว่าก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจของหัวหน้าสำนักเหยียนเยี่ยมากด้วยเช่นกัน
คนของสำนักหลินเยว่เหล่านี้ต้องรับผลกรรมด้วยตนเอง เช่นนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาไปรับผลของการกระทำความชั่วกันภายในเถิด!
ศิษย์พี่ฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พูดได้เลยว่า พวกข้าจะคุ้มกันศิษย์น้องเหล่านี้กลับไปอย่างดีแน่นอน”
ในตอนที่พวกของสำนักหลางซิงกำลังดันคนให้เดินไปนั้น ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงกระดิ่งที่น่าหลงใหลเสียงหนึ่งดังขึ้น
กริ่ง! กริ่ง! กริ่ง!
บุษบงเพลิงที่แดงราวกับเปลวเพลิงหมุนวนลงมากจากกลางอากาศ เสียงกระดิ่งที่ล่อหลอกจนจิตใจสั่นคลอนนั้น ทำให้คนที่ฟังรู้สึกปากแห้งพรากไปหมด
เสียงของคนที่สวยหยาดเยิ้มเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้มาสังเกตการณ์ที่งานประลองแลกเปลี่ยนของอัจฉริยะแห่งดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เช่นนี้ ทำให้คนรับใช้ของข้าได้มาเห็นการแสดงที่น่ามหัศจรรย์อย่างไม่คาดคิด ช่างเป็นเรื่องที่วิเศษไปเลยจริง ๆ!”
“แปะ ๆ ๆ ๆ!” จากนั้นก็มีเสียงปรบมืออย่างไม่ใส่ใจเท่าไรนักดังขึ้น แต่มันกลับทำให้หัวใจของคนอื่นเต้นลดไปถึงครึ่งจังหวะ
ทันใดนั้นก็มีคนมาอยู่บนแท่นประลองมากมายหลายสิบคน ซึ่งพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่มีอายุน้อย และหนึ่งในนั้นก็คือหญิงสาวที่กำลังถูกล้อมรอบราวกับดาวที่ล้อมเดือน
หญิงสาวผู้นี้ครอบครองใบหน้าที่งดงามราวกับจะล่มเมืองได้ เป็นราวกับดอกบัวสีแดงเพลิงอันบานสะพรั่งดอกหนึ่งที่งามชดช้อยอย่างไรอย่างนั้น และมันก็ทำให้คนอยากจะเด็ดมาเชยชมไม่ไหวแล้ว
ความงดงามของนาง เป็นความงามที่แสนอบอุ่นอีกทั้งยังเย้ายวน มันเป็นเหมือนลูกไฟที่จุดเปลวเพลิงภายในหัวใจของชายชาตรีเหล่านั้นอย่างไรอย่างนั้น
และมีหลายคนที่ต่างพากันอ้าปากค้าง อย่างรู้สึกเคลิบเคลิ้มหลงไหล
มีคนอุทานออกมาว่า “นางคือเหยียนเหลียนเจีย ไม่คิดเลยว่าจะเป็นนาง สาวงามอันดับหนึ่งของดินแดนทางทิศใต้”
“นอกจากจะเป็นสาวงามอันดันหนึ่งของดินแดนทางทิศใต้แล้ว และยังถือได้ว่าเป็นเกือบที่จะเป็นสาวงามอันหนึ่งของทั่วทั้งซวนเทียนได้อยู่แล้ว!”
“……”
คนของสำนักหลางซิงเดือดดาล “พวกเจ้ากำลังพูดจาไร้สาระอะไรกัน! นังผู้หญิงกากีผู้นี้ จะเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของแดนซวนเทียนได้อย่างไร! สาวงามอันหนึ่งของแดนซวนเทียนจะต้องเป็นองค์หญิงหลินหลางถึงจะถูก!”
กริ่ง กริ่ง กริ่ง!
ทันทีที่มือเรียวบางราวกับหยกนั้นขยับ เสียงกระดิ่งเก้าชั้นที่อยู่บนข้อมือของนางก็ดังขึ้น
ในเวลานี้เหยียนเหลียนเจียได้มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าคนของสำนักหลางซิงเหล่านั้น นางยิ้มอย่างมีเสน่ห์พลางกล่าวว่า “ข้าสู้มู่หลินหลางไม่ได้หรือ หนุ่มน้อยเจ้าลองดูให้ดี ๆ สิ!”
รอยยิ้มที่ล่อลวงนั้น เมื่อคลี่ยิ้มออกมาก็สามารถทำให้คนบุกน้ำลุยไฟได้โดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด
วิญญาณของคนจากสำนักหลางซิงได้ถูกเหยียนเหลียนเจียล่อล่วงไปแล้ว พวกเขาพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ท่านงดงามที่สุด องค์หญิงหลินหลางจะเทียบท่านได้อย่างไร ท่านคือหญิงสาวที่งดงามที่สุดในโลกใบนี้อย่างแน่นอน”
แต่ละคนต่างพากันหลงใหล และทนที่จะรอฟังคำสั่งของนางไม่ไหวแล้ว
ใบหน้าเหล่านั้นน่าเกลียดเป็นอย่างมาก และความรังเกียจก็ฉายแววขึ้นมาบนใบหน้าของเหยียนเหลียนเจีย นางโบกมือพลางกล่าวว่า “รีบพาศิษย์น้องที่แสนดีของพวกเจ้าออกไปได้แล้ว! ไม่เห็นหรือว่าพวกนางจะทนไม่ไหวอยู่แล้วน่ะ?”
“ได้! พวกข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”
คนของสำนักหลางซิงล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว และเพียงไม่นานพวกเขาก็ได้หายลับไปจากสายตา
หลังจากที่จัดการกับคนของสำนักหลางซิงเรียบร้อยแล้ว ในเวลานี้สายตายอันยั่วยวนของเหยียนเหลียนเจียคู่นั้นก็จ้องมองมาที่คุณชายไป๋เจ๋อที่อยู่บนหอผู้เข้าชมการประลอง และคลี่รอยยิ้มอันน่าหลงใหลที่สามารถดึงดูดจิตใจให้เคลิบเคลิ้มได้ออกมา
ทุกคนต่างตะลึงงัน เหยียนเหลียนเจียผู้นี้ช่างกล้าหาญไม่น้อยเลย! ไม่คิดว่าจะใช้กระบวนท่านี้กับคุณชายไป๋เจ๋อ และไม่รู้ว่าคุณชายไป๋เจ๋อจะสามารถทานทนได้หรือไม่
มู่เฉียนซีจ้องมองไปที่เหยียนเหลียนเจียผู้นั้นพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นวิชามหาเสน่ห์ที่แข็งแกร่งมาก อีกฝ่ายมีเจตนาร้ายนี่นะ! โม่ซวน เจ้า…”
ในเวลานี้โม่ซวนมองไปยังสาวงามผู้นั้นด้วยหัวใจที่นิ่งสงบ หลังจากนั้นจึงกล่าวว่า “ไม่เป็นไร!”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างหยอกล้อว่า “ความตั้งใจไม่เลวเลย ข้านี่ช่างมองในมุมที่ต่างออกไปไม่ผิดเลยจริง ๆ!”
ในเวลานี้ผมของเจ้าสำนักเหยียนเยี่ยใกล้ที่จะหงอกเต็มที เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันของการชุมนุมแลกเปลี่ยนแห่งดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ในครั้งนี้มีมากเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้คนของสำนักหลินเยว่เหล่านั้นก็มาสร้างความเดือดร้อน แล้วในตอนนี้ยังมีคนที่ชอบทำให้ผู้อื่นเสียหน้ามาอีกกลุ่มหนึ่งอีก
หัวหน้าสำนักเหยียนเยี่ยกล่าวว่า “พวกเจ้ามายังสำนักเหยียนเยี่ยของข้า ต้องการอะไรหรือ?”
มือของเหยียนเหลียนเจียโบกไปมาอย่างแผ่วเบา นางกล่าวว่า “คนเหล่านี้ ล้วนเป็นอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงจากดินแดนทางทิศใต้ทั้งนั้น! ข้าได้ยินมาว่าดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของพวกเจ้ากำลังจัดการชุมนุมแลกเปลี่ยนครั้งใหญ่อยู่ ช่วงนี้ข้ามีความสนใจอยู่บ้าง ฉะนั้นพวกเขาจึงให้คนรับใช้มาเป็นเพื่อนข้า”
“ในเมื่อพวกเรามาแล้วก็คงจะไม่มาอย่างเสียเปล่าหรอกใช่หรือไม่? ดังนั้นจึงอยากที่จะมาแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ข้าคิดว่าอัจฉริยะแห่งดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้อย่างพวกเจ้าคงจะไม่กลัวพวกข้าหรอก จริงไหม?”
อีกฝ่ายมาเพื่อยั่วยุ และต้องการที่จะทำให้พวกเขาต้องเสียหน้า
หากไม่เคลื่อนไหว คาดว่าจากนี้ไปคนอื่นจะต้องเอาไปพูดกันว่าอัจฉริยะจากดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ทั้งขี้ขลาดและขี้กลัวเป็นแน่
หลินเลี่ยกล่าวว่า “พวกเราไม่กลัวอยู่แล้ว!”
“จะต้องสู้ก็ต้องสู้สิ!”
“…..”
เหล่าศิษย์พี่ใหญ่จากสำนักใหญ่ทั้งห้าต่างลุกยืนขึ้น และทางเหยียนเหลียนเจียก็พาคนมาด้วยห้าคน
เหยียนเหลียนเจียกล่าวว่า “ไปเถอะ! ทำให้พวกเขาได้รู้ว่าพวกเจ้านั้นแข็งแกร่งเพียงใด”
“ขอรับ!”
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!
และการประลองฝีมือแบบห้าต่อห้าก็ได้เริ่มต้นขึ้น อัจฉริยะจากดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เผชิญหน้ากับอัจฉริยะจากดินแดนทางทิศใต้ และในทันทีที่พวกของสำนักทางดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมดเคลื่อนไหวสีหน้าของพวกเขาก็จริงจังขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน
ความสามารถระหว่างทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันอย่างชัดเจน พวกของอีกฝ่ายทั้งห้าคนนั้นต่างก็เป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับแปด แต่ทางด้านของพวกเขามีเพียงหลินเลี่ยที่เป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับแปดเพียงคนเดียวเท่านั้น อีกทั้งยังพึ่งเลื่อนขั้นวันนี้ด้วย
สถานการณ์ในการต่อสู้เลวร้ายเป็นอย่างมาก เนื่องจากทางดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของพวกเขามีโอกาสแพ้แปดถึงเก้าส่วนเลยทีเดียว
อีกฝ่ายมายั่วยุถึงที่แต่ต้องมาพ่ายแพ้เช่นนี้ นี่มันเป็นเรื่องที่น่าขายหน้าจริง ๆ
ตูมมมม!
การประลองแบบห้าต่อห้านั้นรุนแรงเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าอัจฉริยะจากดินแดนทางทิศใต้นั้นมีฝีมือที่ยอดเยี่ยม แต่ทางด้านพวกของไห่ซินเองกลับเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก
“มีฝีมือต่ำต้อยเพียงเท่านี้ นี่คือผู้ที่มีความสามารถแข็งแกร่งที่สุดของพวกเจ้าแล้วเช่นนั้นหรือ? หากมีเพียงเท่านั้น พวกเจ้าก็ยอมรับความพ่ายแพ้ไปเสียเถอะ!”
“ให้ข้ามาต่อสู้เป็นเพื่อนพวกเจ้า สู้ข้าไปอยู่เป็นเพื่อนสาวงามยังดีเสียกว่า มันไม่น่าสนใจเลยสักนิด!”
“อ่อนแอเกินไป นี่มันจะอ่อนแอมากไปแล้ว!”
อัจฉริยะจากดินแดนทางทิศใต้เหล่านั้นมีความอวดดีเป็นที่สุด และในตอนนี้ภายในแววตาของพวกหลิวจุ้ยก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลยทีเดียว
พรวด พรวด พรวด!
พวกเขาทั้งห้าต่างได้รับบาดเจ็บจนกระอักออกมาเป็นเลือด นี่พวกเขายังยืนหยัดมาได้ไม่กี่รอบเองนะ!
จะพ่ายแพ้แล้วเช่นนั้นหรือ?
ในเวลานี้ มีเงาร่างสีม่วงผู้หนึ่งทะยานออกมา และมู่เฉียนซีก็กล่าวว่า “หากไม่ถือสาละก็ เพิ่มข้าเข้าไปต่อสู้กับพวกท่านด้วยสักคนเถิด!”
“เพิ่มมาอีกคนก็เหมือนกันนั่นแหละ!” อีกฝ่ายกล่าวอย่างเยาะเย้ย
มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกขึ้นเล็กน้อย “เหมือนกันหรือ?”
“พลังวายุทำลาย ดาวกระจาย!”
ตูมมม โครมมม!
พัดวิหคเฟิงหลิงเคลื่อนไหว และพลังการโจมตีที่แข็งแกร่งของธาตุวายุก็ระเบิดออกมา
มู่เฉียนซีส่งกระแสจิตไปกล่าวกับพวกของหลินเลี่ยว่า “พวกเจ้าคือผู้สนับสนุนในการโจมตี ดึงดูดความสนใจของพวกเขาเอาไว้ ข้าจะรับหน้าที่ลอบโจมตีเอง และค่อย ๆ จัดการพวกเขาทีละคน!”
“ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับแปดไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษตรงไหนเลย! จะให้พวกเขาหมอบลงพวกเจ้าก็ต้องหมอบลงด้วยเช่นกัน”
การปรากฏตัวของมู่เฉียนซี ทำให้พวกเขาที่เดิมทีเกือบจะพ่ายแพ้กลับมีความตั้งใจในการต่อสู้ที่ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง
มู่เฉินซีที่แปลกประหลาดนี้สามารถต่อสู้ข้ามขั้นกับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับแปดได้! แต่ความรวดเร็วที่น่าสะพรึงกลัวนั้น ก็ไม่ง่ายเลยที่จะจัดการกับพวกคนเลวทรามเหล่านี้ได้ “ดี! ตอนนี้พวกเรามาร่วมมือกัน แล้วจัดการพวกเขากันเถอะ!”