ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1897 ขึ้นไปยังชั้นเก้า เรื่อง ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ
- Home
- ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ
- ตอนที่ 1897 ขึ้นไปยังชั้นเก้า เรื่อง ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ
บุรุษชุดเขียวกล่าวตอบ “ข้าเปล่านะ!”
“นี่เจ้ายังไม่ยอมรับอีกรึ จัดการเจ้านั่นให้ข้า ดูสิว่ายังจะกล้าแก้ตัวอยู่อีกหรือไม่?”
ครั้นคนของคุณชายผู้นั้นกำลังจะลงมือจัดการบุรุษหนุ่มชุดเขียว ร่างสีขาวก็ได้วาบเข้าไปด้วยความรวดเร็ว
เขากล่าว “คนคนนี้เป็นสหายของข้า เขาไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นอย่างแน่นอน ได้โปรดอย่าทำเรื่องเสียมารยาทเลย”
อีกฝ่ายจึงตอบโต้กลับไป “ไป๋จิ่งเยว่ เจ้ามันคนดีเสียเหลือเกิน เสนอหน้าช่วยคนอื่นไปทั่ว! คุณชายไป๋อย่างเจ้าเป็นผู้ใด แล้วจะมีสหายเป็นคนจนอย่างเจ้านี่ได้อย่างไร อย่ามาเย้าเล่นกันหน่อยเลย?”
“คุณชายไป๋อย่าไปช่วยเขาเลย คนขโมยของผู้อื่นไม่ควรปล่อยไปนะ”
กระบี่ที่บุรุษหนุ่มกำอยู่ในมือก็สั่นสะท้านขึ้นในทันที ในขณะนั้นเองก็มีสุ้มเสียงกล่าวหยอกเย้าสุ้มเสียงหนึ่งแว่วดังขึ้นมาว่า “คนอย่างเจ้ายังจะกล้าหัวเราะเยาะผู้อื่นว่ายากจนอีก เจ้าเองก็ร่ำรวยไม่เท่าไรหรอก?”
คนอื่น ๆ ก็เริ่มพากันหันมามอง เจ้าของวาจานั้นเป็นของดรุณีน้อยอาภรณ์ม่วง รูปร่างหน้าตาสวยงามจิ้มลิ้ม ในขณะนี้นางได้เข้ามายืนอยู่ข้างกายบุรุษหนุ่มชุดเขียวผู้นั้น
เจ้านั่นชักจะโชคดีเกินไปแล้วกระมัง! เบื้องหน้ามีคุณชายไป๋ปกป้อง ข้างกายยังมีหญิงงามคอยช่วยเหลือ
คุณชายผู้นั้นจึงตะคอกออกไปด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างยิ่ง “นี่เจ้าก็คิดจะปกป้องเจ้านั่นด้วยรึ”
มู่เฉียนซีกล่าวเย้ยหยัน “แม้กระทั่งสิ่งของของตนเองถูกขโมยไปก็ยังไม่รู้ตัว ระดับพลังอย่างเจ้าก็ยังคิดจะมาเข้าร่วมการชุมนุมผู้มากความสามารถของดินแดนทางทิศใต้ในครั้งนี้อีก ข้าว่าเจ้ารีบกลับไปอาบน้ำเข้านอนจะดีกว่า! อย่ามาอยู่ให้ขายขี้หน้าตรงนี้เลย”
คุณชายผู้นั้นรู้สึกเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง “เจ้าว่าอะไรนะ? อย่าคิดว่าข้าจะรังแกผู้หญิงไม่ได้นะ”
ในขณะนั้นเองร่างสีดำก็ได้พุ่งเข้าไปด้วยความรวดเร็ว เขาได้จับสัตว์วิญญาณตัวสีเทาตัวหนึ่งไว้ในมือ สัตว์วิญญาณตัวนี้ก็คือลิงน้อยตัวหนึ่ง
และที่คอของลิงน้อยตัวนี้ก็มีป้ายหยกแขวนอยู่ด้วย
“นี่คือลิงหนานหลิง พบได้ทั่วภูเขาลูกนี้!”
“พวกมันชอบสิ่งของขนาดเล็กเป็นที่สุด และชอบขโมยของอีกด้วย พวกมันเร็วมากจนเราแทบไม่รู้สึกตัว! และแน่นอนว่าหากมีพลังที่แข็งแกร่งก็พวกมันก็จะขโมยไปไม่ได้อย่างแน่นอน!”
“ป้ายหยอกของคุณชายท่านนี้ถูกลิงหนานหลิงขโมยไป แต่เขากลับไม่รู้ตัวแล้วยังไปดูแคลนคนอื่นอีกด้วย”
เมื่อฉู่หลีจับลิงมาได้หนึ่งตัว คนอื่น ๆ ก็เข้าใจได้ในทันทีว่าที่สุดแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ถูกสัตว์วิญญาณตัวเล็ก ๆ ขโมยของไปก็ยังไม่รู้ตัว ความสามารถในการระมัดระวังตัวมีแค่นี้ ก็ยังกล้ามาเข้าร่วมการชุมนุมผู้มากความสามารถของดินแดนทางทิศใต้อีก ไม่รู้จักประเมินตัวเองเลยจริง ๆ
เมื่อพบว่าสายตาของแต่ละคนที่ทอดมองมาที่เขาเป็นสายตาของการดูแคลน คุณชายผู้นั้นก็โกรธแค้นเสียจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด
“พวกเจ้า…พวกเจ้าใส่ร้ายข้า! พวกเจ้ารวมหัวกันใส่ร้ายข้า”
บุรุษหนุ่มชุดเขียวผู้นั้นก็คือชิงเสวียนนั่นเอง เขาคว้าป้ายหยกชิ้นนั้นขึ้นมา แล้วบดขยี้ป้ายหยกนั้นจนแหลกคามือ
“แค่ป้ายหยกเพียงชิ้นเดียวก็มีค่าพอให้ใส่ร้ายเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าขยี้ป้ายหยกแล้ว ข้าจะชดใช้คืนให้เจ้าก็แล้วกัน!”
ชิงเสวียนจัดการสั่งสอนอีกฝ่ายในทันที ผลึกซวนจำนวนนับไม่ถ้วนได้ถูกปาใส่คนของคุณชายเหล่านั้น ทำให้พวกเขาไม่อาจตั้งรับได้ทัน
ปัง ปัง ปัง!
คนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง คนผู้นี้สวมอาภรณ์เก่าขาดรุ่งริ่งราวกับขอทานก็มิปาน แต่เมื่อลงมือจัดการกลับมีผลึกซวนจำนวนนับไม่ถ้วน แบบนี้จะเป็นคนยากจนได้อย่างไร
คุณชายผู้นั้นโกรธจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด เขาทอดมองไปยังชิงเสวียนแล้วกล่าวด้วยท่าทางโกรธแค้น “นี่เจ้ากล้าโจมตีข้าทีเผลอรึ จัดการมันให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
“ที่นี่คือภูเขาหนานหลิง ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเจ้าคิดอยากจะต่อสู้ก็ต่อสู้ได้ เจ้าจงเก็บความคิดไร้สาระของเจ้ากลับไปเสีย ไม่อย่างนั้นข้าจะถีบเจ้าลงเหวไปเสียประเดี๋ยวนี้”
อาภรณ์สีแดงฉานดุจเปลวเพลิง ดวงตาที่สามารถแผดเผาผู้ที่ถูกจ้องมองได้ ท่าทางสง่าและน่าเกรงขามเช่นนี้ ทั่วทั้งราชวงศ์ตงหวงก็มีเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น
“คุณชายจูเชว่!”
“คุณชายจูเชว่!”
“……”
คุณชายผู้เย่อหยิ่งผู้นั้นก็หน้าถอดสีไปในทันที “คุณชายจูเชว่!”
คนของเขาเองก็รู้สึกตกใจไม่แพ้กัน สถานที่แห่งนี้เป็นดินด้วย ก็กลายเป็นจุดสนใจของผู้อื่นไม่น้อย
ไป๋จิ่งเยว่เองก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงซึ่งก็มีผุ้คนรู้จักเป็นจำนวนไม่น้อย ทว่ามู่เฉียนซีฉู่หลีและชิงเสวียนนั้นไม่มีผู้ใดรู้จัก ดังนั้นจึงมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เริ่มถกเถียงกันขึ้น
“คุณชายจูเชว่มาลงสมัครพร้อมกับคนพวกนั้นด้วยตัวเองเลย ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นผู้ใดกันแน่!”
“คุณชายจูเชว่ให้ความสำคัญขนาดนี้ จะต้องมีพรสวรรค์ขั้นสูงอย่างแน่นอน”
“…”
ไม่นานนักพวกเขาก็ได้มาถึง เบื้องหน้าศิลาจารึกหนานหลิง มีคนจำนวนไม่น้อยที่ผ่านการทดสอบแล้ว บ้างก็เดินกลับออกมาด้วยสีหน้าผิดหวังเพราะไม่ผ่านการทดสอบ บ้างก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจเนื่องจากผ่านการทดสอบ
“คุณชายจูเชว่!” มีผู้อาวุโสจำนวนหนึ่งที่เป็นผู้คุ้มกันศิลาจารึกหนานหลิงได้เข้ามาทักทายจูเชว่
จูเชว่เองก็เอ่ยถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง มีคนขึ้นไปถึงชั้นเก้าแล้วหรือยัง?”
พวกเขากล่าวตอบ “ไหนเลยจะมีคนไปถึงชั้นเก้าได้มากมายขนาดนั้นล่ะ คุณชายจูเชว่ใช่ว่าจะไม่รู้ ตั้งแต่ศิลาจารึกหนานหลิงปรากฏขึ้น ก็มีเพียงสามคนเท่านั้นที่ขึ้นไปยังชั้นเก้าได้”
“แต่ครั้งนี้ก็มีผู้มากความสามารถอยู่ไม่น้อย ตอนนี้มีห้าคนที่สามารถขึ้นไปบนชั้นแปดได้แล้ว”
จูเชว่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ออ! เป็นใครกันบ้าง ไหนว่ามาสิ!”
“คนแรกเป็นตู๋กูล่างจากสำนักหลางซิง คนที่สองคือ จากซ่งหมิงเยว่ แล้วก็…”
เพื่อที่ตู๋กูล่างจะเป็นผู้ที่ได้เปรียบ เขาจึงมาทำการทดสอบเป็นคนแรกตั้งแต่เช้าตรู่ เรื่องที่เขาได้ขึ้นไปบนชั้นแปดแล้วจูเชว่ก็ทราบดี
เมื่อจุเชว่เอ่ยถามสถานการณ์ในตอนนี้เรียบร้อยแล้ว ก็เป็นคราของพวกมู่เฉียนซีแล้ว
จูเชว่กล่าว “ซีซี ไปกันเถอะ! ขึ้นไปที่ชั้นเก้าเลย ถึงตอนนั้นตู๋กูล่างจะต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
มู่เฉียนซีพยักหน้าแล้วกล่าว “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”
พวกเขาทั้งสองพูดจาโดยไม่มีความถ่อมตนแม้แต่น้อย มีคนจำนวนไม่น้อยที่ได้ยิน จากนั้นก็พากันกระซิบกระซาบในทันที
“คุณชายจูเชว่มั่นใจในตัวเด็กคนนั้นมากขนาดนี้เลยหรือ!”
“จะขึ้นไปบนชั้นเก้าหรือ เป็นไปไม่ได้กระมัง? ข้าว่าเด็กนั่นสู้คุณชายตู๋กุไม่ได้สักนิด”
“…”
ถึงแม้คนทั้งสองจะมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ทว่าพวกเขาก็คิดว่าสองคนนั้นเพียงแค่พูดจาโอ้อวดไปก็เท่านั้น อย่างไรเสียในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ก็มีเพียงสามคนเท่านั้นที่ขึ้นไปยังชั้นเก้าได้
มู่เฉียนซีเดินไปเบื้องหน้าศิลาจารึกหนานหลิง จากนั้นศิลาจารึกนี้ก็ได้ดูดวิญญาณของนางเข้าไป ไม่นานนักมู่เฉียนซีก็ได้มาโผล่ในอีกมิติหนึ่ง
นี่เป็นชั้นที่หนึ่งของศิลาจารึกหนานหลิง เบื้องหน้ามีคู่ต่อสู้ปรากฏอยู่คนหนึ่ง คนผู้นี้มีพลังอยู่ในระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับหนึ่งเท่านั้น
คู่ต่อสู้ในระดับนี้สำหรับมู่เฉียนซีแล้ว ก็ไม่ได้มีความน่าเกรงขามแต่อย่างใด
มู่เฉียนซีเริ่มขับเคลื่อนพลังวิญญาณธาตุวายุ จากนั้นนางจึงจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พลังวายุกักขังวิญญาณ”
ปัง!
อีกฝ่ายถูกโจมตีจนพ่ายแพ้ไปภายในชั่วพริบตา ผู้ที่สามารถผ่านด่านชั้นหนึ่งไปได้อย่างรวดเร็วนั้นมีจำนวนไม่น้อย ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดรู้สึกตกตะลึงเท่าใดนัก!
ทว่าเมื่อพบว่ามู่เฉียนซีสามารถผ่านด่าน ๆ ต่างจนไปถึงชั้นเจ็ดได้ด้วยความเร็วอันน่าประหลาด ทุก ๆ คนก็ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง “นะ…นี่มันจะเร็วเกินไปหรือไม่! เร็วกว่าตอนที่ตู๋กูล่างผ่านด่านชั้นอื่น ๆ ไปถึงชั้นเจ็ดเสียอีก”
.
.