ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1899 เป็นเรื่องตลก เรื่อง ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ
- Home
- ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ
- ตอนที่ 1899 เป็นเรื่องตลก เรื่อง ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ
จิตสำนึกของมู่เฉียนซีถูกดูดออกมาจากศิลาจารึกหนานหลิงแล้ว และทุกคนต่างก็มองไปยังมู่เฉียนซีอย่างพร้อมเพียง
“ผลออกมาเป็นเช่นไรบ้าง?”
“นางทำสำเร็จแล้วจริง ๆ หรือ?”
“ข้าดูแล้วว่ามีโอกาสถึงเก้าส่วนที่จะไม่มีทางสำเร็จ! แต่ถึงแม้จะไม่สำเร็จก็ขึ้นไปถึงชั้นที่เก้าได้เชียวนะ”
เพียงไม่นาน ยอดของศิลาจารึกหนานหลิงก็มีป้ายหยกชิ้นหนึ่งปรากฏออกมา และป้ายหยกชิ้นนั้นก็พุ่งไปทางมู่เฉียนซี
“จุดสูงสุดของศิลาจารึกหนานหลิงก็คือตราสัญลักษณ์บรรลุชั้นเก้าสมบูรณ์ นี่…” ผู้พิทักษ์อาวุโสกล่าวอย่างตื่นตกใจ
“ตราสัญลักษณ์บรรลุชั้นเก้าสมบูรณ์ นางทำสำเร็จแล้ว!”
“หรือจะพูดได้ว่า นางเอาชนะผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับเก้าทั้งเก้าคนได้ ที่จริงแล้วนางมีความสามารถมากเพียงใดกันแน่นะ!”
“อย่างน้อยก็ต้องเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับเก้า และคาดว่าน่าจะไปถึงระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับเก้าขั้นสูงสุดแล้ว?”
“ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับเก้าขั้นสูงสุด ไม่ใช่ว่าจะไล่ตามองค์หญิงหลินหลางทันแล้วอย่างนั้นหรือ อายุของนางดูท่าแล้วจะยังไม่ถึงยี่สิบเลยด้วยซ้ำ นะ…นี่มันจะเก่งเกินไปแล้วนะ!”
ไม่ว่าพวกเขาจะเหลือเชื่อมากเพียงใด แต่ตราสัญลักษณ์แผ่นนั้นก็ยังคงตกลงมาบนมือของมู่เฉียนซีอยู่ดี
ตราสัญลักษณ์ของชั้นที่แปดเป็นสีเงิน ส่วนตราสัญลักษณ์ของชั้นที่เก้าเป็นสีทอง และตราสัญลักษณ์ของบรรลุชั้นเก้าสมบูรณ์นั้นเป็นสีดำสนิท
ผู้พิทักษ์อาวุโสได้มาเป็นพยานการท้าทายของอัจฉริยะเช่นนี้ มันทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก พวกเขากล่าวว่า “การสมัครในวันนี้สิ้นสุดลงแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันไปได้แล้ว!”
และในเวลานี้ ฉู่หลีก็เดินออกมา
เขากล่าวว่า “ข้าต้องการที่จะทดสอบ!”
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้กัน? เวลาตั้งมากมายก่อนหน้านี้ไม่ยอมไปทดสอบ แต่จะมาทดสอบเอาเวลานี้เนี่ยนะ”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านผู้อาวุโส ท่านให้ฉู่หลีเข้ารับการทดสอบเถอะ! บางทีอาจจะมีคนที่บรรลุชั้นเก้าสมบูรณ์อีกคนหนึ่งก็เป็นได้นะ! สามารถกลายเป็นพยานของคนที่บรรลุชั้นเก้าสมบูรณ์ของหอหนานหลิงได้ถึงสองคนเช่นนี้ เมื่อถึงตอนนั้นต้องทำให้ผู้อาวุโสท่านอื่นอิจฉาท่านเป็นแน่!”
เมื่อมู่เฉียนซีพูดเช่นนี้ ก็ทำให้ผู้อาวุโสไม่โกรธเคืองถึงเพียงนั้นอีกแล้ว
“เข้าไปถึงชั้นที่เก้าหรือ? พรสวรรค์เช่นเจ้ายังใช้เวลานานถึงขนาดนี้ แล้วเจ้าเด็กน้อยนี่ต้องการไปทดสอบ เราไม่ต้องรอทั้งคืนเลยหรืออย่างไร พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่เถอะ!”
“ใช้เวลาไม่นานหรอก!” หลังจากที่ฉู่หลีพูดประโยคนี้ออกมา เขาก็เริ่มลงมือทันที
ผู้พิทักษ์อาวุโสกล่าวว่า “เจ้าหนูนี่มันยังไงกันนะ! เจ้าจะดื้อด้านเช่นนี้ไม่ได้! เจ้า…”
แม้ว่าผู้พิทักษ์อาวุโสกำลังพูดอยู่ แต่ก็ไม่อาจที่จะลากฉู่หลีออกมาได้ เขาจึงกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ว่า “เพื่อเห็นแก่แม่สาวน้อยผู้นี้ ชายชราเช่นข้าจะยอมยุ่งอีกสักพักหนึ่งก็แล้วกัน”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ต้องลำบากผู้อาวุโสทุกท่านแล้ว ที่ข้ายังพอมียาหวนคืนอยู่บ้าง และมันก็สามารถบรรเทาความเหนื่อยล้าของพวกท่านได้ พวกท่านจะลองดูสักหน่อยหรือไม่?”
ยาหวนคืนไม่ได้เป็นยาที่อยู่ในระดับสูงเท่าไรนัก สามารถพบเห็นได้ทั่วไป ทว่ามันก็เป็นถึงยาลูกกลอนอยู่ดี! และราคาไม่ได้ถูกเลย แต่ก็ไม่ได้มีผู้ใดที่รู้สึกว่าโชคดีเท่าไรที่ได้กินยาลูกกลอนเช่นนี้
แม่สาวน้อยผู้นี้ใจกว้างนัก และผู้อาวุโสทุกท่านก็ไม่ได้คิดว่ามู่เฉียนซีจะสามารถวางยาพิษอะไรได้ เพราะท้ายที่สุดแล้วก็เป็นคนที่คุณชายจูเชว่พามาเอง
หลังจากที่ผู้อาวุโสสองสามคนได้กินยาลูกกลอนเข้าไปก็รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าทันที และความเหนื่อยล้าก็ถูกกวาดออกไปจนหมด จนดูเหมือนว่าจะสามารถเฝ้าอยู่ได้ถึงสามวันติตต่อกันโดยไม่ต้องพักผ่อนเลยก็ได้
พวกเขาจ้องมองไปที่มู่เฉียนซีด้วยดวงตาที่เป็นประกาย “แม่นางน้อย ผลของยาหวนคืนนี้ดีมากเลยทีเดียว!”
มู่เฉียนซีคลี่ยิ้มจนตาหยีพลางกล่าวว่า “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว นี่เป็นยาหวนคืนที่หอหมอปีศาจทำออกมาเชียวนะ”
มู่เฉียนซีใช้โอกาสนี้ในการโฆษณาเล็ก ๆ น้อย ๆ เมื่อตอนที่ผู้อาวุโสสองสามท่านนั้นได้สติกลับคืนมา ก็มองไปยังศิลาจารึกหนานหลิงนั้น และต่างพากันตกตะลึงเป็นอย่างมาก
“ชั้นที่หนึ่ง ชั้นที่สอง…ชั้นที่เจ็ด ชั้นที่แปด ชั้นที่เก้า…”
ความรวดเร็วเช่นนี้ช่างทำให้คนตกใจจนตาแทบจะถลนออกมาได้เลยจริง ๆ และดูเหมือนว่าแต่ละชั้นจะถูกสังหารไปในพริบตาเดียว อีกทั้งเจ้าเด็กน้อยนั่นก็ไม่ได้หยุดพักเลยแม้แต่ครู่เดียว หลังจากที่ท้าทายชั้นที่เก้าเรียบร้อยแล้ว ฉู่หลีก็ออกมา
ตราสัญลักษณ์สีดำสนิทชิ้นนั้นลอยมาอยู่ในมือของฉู่หลี และคนอื่นก็ราวกับกำลังฝันอยู่อย่างไรอย่างนั้น
สาวน้อยชุดม่วงผู้นั้นก็แปลกประหลาดมากพออยู่แล้ว ไม่คิดเลยว่าจะมีคนที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านางเสียอีก
เหล่าผู้อาวุโสจ้องมองไปที่ฉู่หลี เด็กหนุ่มผู้นี้ไม่เปิดเผยกลิ่นอายสู่ภายนอก แต่พวกเขากลับสัมผัสได้ถึงอันตรายบางอย่าง
พวกเขากล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เจ้าหนู จะ…เจ้าคงไม่ได้เป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์หรอกใช่หรือไม่?!”
แน่นอนว่าผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตไม่อาจที่จะทำมันได้อยู่แล้ว และมีเพียงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่ทำได้
“การที่คนมีความสามารถระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์เช่นเจ้ามาเข้าร่วมในครั้งนี้มันจะเป็นการกลั่นแกล้งเหล่าอัจฉริยะในตอนนี้มากไปสักหน่อย เจ้าพวกนั้นอาจจะร้องไห้ออกมาเลยก็ได้”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “อายุของฉู่หลีก็ได้ตามกฎเกณฑ์ เหตุใดถึงไม่สามารถเข้าร่วมได้ หรือว่ามีกฏที่ว่าผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถเข้าร่วมได้เช่นนั้นหรือ”
แน่นอนว่าไม่มีกฏเช่นนี้อยู่แล้ว ทางตอนใต้ของราชวงศ์ตงหวง หรือแม้แต่ทั่วทั้งราชวงศ์ตงหวง ก็มีน้อยคนนักที่จะสามารถบรรลุขั้นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ได้ตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสามสิบเช่นนี้
แม้แต่อัจฉริยะอันดับหนึ่งของแดนซวนเทียนอย่างองค์หญิงมู่หลินหลางก็ยังไม่ได้เป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์เลยด้วยซ้ำ
แน่นอนว่ามีบางคนที่มีโอกาสไปถึงจุดสุงสุดในรวดเดียวได้ แต่ทว่าคนเช่นนั้นก็ไม่มีทางที่จะเข้าร่วมงานชุมนุมเล็กน้อยเท่านี้หรอก
“แน่นอนว่าไม่ใช่อยู่แล้ว!” ท่านผู้อาวุโสตอบกลับ
แต่ทว่าพวกเขารู้สึกสงสารเหล่าอัจฉริยะที่เข้าร่วมการชุมนุมครั้งนี้เล็กน้อย เพราะคาดว่าน่าจะต้องโดนทุบตายเป็นแน่
หลังจากที่ทดสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เพียงแค่รอให้งานชุมนุมเริ่มขึ้นก็พอแล้ว มู่เฉียนซีกล่าวว่า “กลับกันเถอะ!”
“อื้ม!”
ในตอนที่พวกเขากำลังจะลงจากเขา ก็มีร่างสองร่างที่สามารถพุ่งทะยานผ่านมาอย่างกะทันหัน
“เป็นพวกเจ้านี่เอง ที่มารังแกน้องชายของข้า”
ผู้นำมาก็คือชายที่สวมชุดคลุมที่ผ้าปักดิ้นสีทองคนหนึ่ง และตอนนี้คนกลุ่มหนึ่งก็จ้องมองไปที่พวกของมู่เฉียนซีด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
“น้องชายของเจ้าเป็นผู้ใดกัน?” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชา
“พี่ใหญ่ เป็นพวกเขา!” ในเวลานี้ มีใครบางคนวิ่งเข้ามาอย่างกระหืดกระหอบ นั่นไม่ใช่คนที่ถูกลิงหนานหลิงขโมยป้ายหยกไปอย่างนั้นหรือ
“ผู้ที่รังแกน้องชายของเจ้าไม่ใช่พวกข้า แต่เป็นลิงหนานหลิงที่อยู่บนเขาหนานหลิงโน้น หากเจ้าต้องการที่จะแก้แค้นให้น้องชายแล้วละก็ เจ้าก็ไปหาพวกมันเถิด!” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างหยอกล้อ
แต่คนที่เป็นผู้นำนั้นกลับไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย “น้องชายของข้าบอกว่าพวกเจ้ารังแก เช่นนั้นก็คือการรังแก! วันนี้พวกเจ้าจะต้องขอโทษเขา ไม่เช่นนั้นข้าไม่มีทางยอมปล่อยพวกเจ้าไปแน่”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “เจ้าเป็นถึงพี่ชายคนหนึ่งก็ต้องรู้ว่าความสามารถของน้องชายตนเองว่าไร้ประโยนชน์แค่ไหนสิ สติปัญญาก็มีปัญหา อย่าปล่อยให้เขาออกมาเดินเพ่นพ่านข้างนอกเลย! มิฉะนั้นตอนโดนลิงรังแกแล้วจะมาหาแพะรับบาปเช่นนี้อีก เจ้านี่ช่างเป็นคนที่ดูงานยุ่งเสียจริง ๆ”
“เจ้านี่ช่างกล้าหาญเสียจริง ๆ ดูท่าแล้วพวกข้าคงจะต้องสั่งสอนเจ้าสักหน่อยแล้วล่ะ!”
“ครั้งนี้คุณชายของพวกเราเข้ารับการทดสอบจากศิลาจารึกหนานหลิงและเข้าไปถึงชั้นที่เจ็ด และพรสวรรค์เช่นนี้ก็สามารถเข้าสู่สามสิบอันดับแรกในครั้งนี้ได้”
“คุณชายของพวกเราเป็นถึงนายน้อยของเจ้าสำนักเซียวไห่แห่งกองกำลังระดับสี่ พวกเจ้าทำตัวให้มันฉลาดหน่อยเถอะ ขอโทษมาซะจะได้ไม่ต้องเจ็บตัว”
มีคนอยู่ไม่น้อยที่ออกมาพร้อมกับพวกของมู่เฉียนซี เนื่องจากว่าการทดสอบของวันนี้เพิ่งจะสิ้นสุดลง มันจึงทำให้พวกเขาได้ยินคำพูดที่น่าขันของพวกคนเหล่านี้
ชั้นที่เจ็ดแล้วทำไม่อย่างนั้นหรือ? กลุ่มของพวกเขามีสองคนที่ไปถึงชั้นที่แปด และยังมีอีกสองคนที่เก่งกาจยิ่งกว่า ด้วยการบรรลุชั้นที่เก้าได้
ด้วยความสามารถของชั้นที่เจ็ดนี้หากมองในสายตาคนอื่นก็ถือได้ว่าเก่งกาจมากทีเดียว แต่ทว่าสำหรับพวกเขาทั้งสี่คนแล้วน่าจะไม่พอที่จะอยู่ในสายตาอย่างสิ้นเชิง
สำนักเซียวไห่แห่งกองกำลังระดับสี่ถือว่าไม่เลวเลย แต่ทว่าก็เป็นเพียงแค่กองกำลังระดับสี่ธรรมดาเท่านั้น และคนของคุณชายจูเชว่ก็คงจะไม่ใส่ใจมันแน่นอน
แต่ทว่าคนเหล่านี้อาศัยข้อได้เปรียบเช่นนี้ในการกดขี่ผู้อื่น และมันก็กลายเป็นเรื่องตลกไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
การแสดงออกที่แปลกประหลาดของคนอื่น ได้ถูกเซียวซ่านสังเกตเห็นเข้าแล้ว เขากล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “พวกเจ้าหัวเราะอะไรกันน่ะ?”
.
.