ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1900 ความคิดหนึ่ง
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นกำลังหัวเราะสิ่งใดอยู่ ทว่าเซียวซ่านก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างยิ่ง เขาต้องการให้ผู้คนเหล่านี้รับรู้ถึงความแข็งแกร่งของเขา
สิ้นเสียงเขาก็ทะยานขึ้นสู่ท้องนภา แล้วพุ่งเข้าหาชิงเสวียนอย่างรวดเร็ว
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพราะคนคนนี้ ล้วนเป็นความผิดของเขา!
หากไม่ใช่เพราะคนผู้นี้สวมอาภรณ์เก่าจนขาดรุ่งริ่งเหมือนขอทานละก็ น้องชายของเขาก็คงจะไม่เข้าใจผิด แล้วต้องกลายเป็นที่หัวเราะเยาะของผู้อื่นเช่นนี้อย่างแน่นอน
เมื่อพบว่าอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาโจมตีอย่างกะทันหัน ชิงเสวียนก็ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยอยู่อย่างเคย ภายในชั่วพริบตากระบี่ปีศาจก็ออกมาจากฝัก
กระบี่ปีศาจอันน่าเกรงขามผ่าลงมากลางอากาศ ความเร็วนั้นราวกับสายฟ้าก็มิปาน เซียวซ่านรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง!
จะเป็นไปได้อย่างไร? กระบี่ของเจ้านั่นอันตรายถึงเพียงนี้เชียวรึ
เซียวซ่านนำอาวุธป้องกันศักดิ์สิทธิ์ออกมาต้านกระบี่ไว้
ปัง!
บนอาวุธป้องกันศักดิ์สิทธิ์ปรากฎร่องรอยไว้อย่างชัดเจน
เซียวซ่านกล่าว “เมื่อครู่ข้าประเมินเจ้าต่ำไป ต่อจากนี้ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าข้าเป็นใคร!”
เซียวซ่านลงมือโจมตีอีกครั้ง เขาระเบิดพลังผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับเจ็ดออกมา ชิงเสวียนเองก็เช่นกัน
ปัง!
ทั้งสองเข้าปะทะกันอย่างรุนแรง พลังของคนทั้งสองอยู่ในระดับที่เทียบเท่ากัน
คนอื่นต่างก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง “เขาเป็นเพียงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับเจ็ดเท่านั้นเองหรือ?”
“พลังของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับเจ็ดก็สามารถขึ้นมาถึงชั้นแปดได้อย่างนั้นหรือ สุดยอดไปเลย!”
“……”
อะไรนะ? ชั้นแปด!
เมื่อคนของสำนักเซียวไห่ได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็ไม่อยากจะเชื่อเป็นอย่างยิ่ง พลังนั้นแข็งแกร่งกว่าคุณชายของพวกเขาเสียอีก
เซียวซ่านกล่าวเยาะเย้ย “ก็เพียงแค่โชคดีเท่านั้น ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้”
ปัง!
ทว่ายิ่งต่อสู้กันไปเรื่อย ๆ เซียวซ่านก็ยิ่งตกอยู่เป็นรอง
เขาเปรียบดั่งดอกไม้ที่ถูกปลูกขึ้นในห้องอุ่น ทว่าชิงเสวียนนั้นเปรียบดั่งกระบี่หยกที่ผ่านลมพายุอาบโลหิต ผ่านการรบราฆ่าฟันมานับไม่ถ้วนก็มิปาน
ถึงแม้มองภายนอกแล้วทั้งศักยภาพและพลังวิญญาณจะเทียบเท่ากัน ทว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายแพ้หรือชนะ ขณะนี้ก็เป็นที่ประจักษ์แล้ว
ขณะนี้กระบี่ปีศาจได้แผ่ซ่านไอสังหารออกมา ไอสังหารนี้ทำให้เซียวซ่านมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นทั่วแผ่นหลัง เขารู้สึกหวาดหวั่นอยู่ในใจเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่กล้าต่อสู้กับชิงเสวียนอีกต่อไปแล้ว
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกเจ้าจะยืนบื้อกันอยู่ทำไม? รีบไปล้อมเจ้านั่นไว้แล้วจัดการมันซะ!”
คนของเขาก็รีบเข้าไปล้อมชิงเสวียนไว้ในทันที
การยืมมือผู้อื่นมาจัดการคู่ต่อสู้เช่นนี้ ไม่ได้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความน่าเกรงขามของตนเองแม้แต่น้อย วันนี้เขาจะต้องเอาชนะหนึ่งในคนเหล่านี้ให้ได้
เซียวซ่านทราบดีว่าคนผู้นี้ไม่อาจเอาชนะได้ง่าย ๆ ส่วนบุรุษชุดดำผู้นั้น…
เซียวซ่านทอดมองไปยังฉู่หลี ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงความอันตรายอย่างไร้สาเหตุ สุดท้ายแล้วเขาก็ได้จับจ้องไปที่มู่เฉียนซี
เด็กนั่นดูเหมือนจะอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น พลังของนางคงจะสูงไม่เท่าไรนัก เช่นนั้นเป็นนางก็แล้วกัน!
วันนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็จะต้องเอาชนะใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านี้ให้ได้ เขาจะต้องสร้างชื่อเสียงก่อนการชุมนุมผู้มากฝีมือเมืองหนานหวังจะเริ่มขึ้นให้ได้
เมื่อเซียวซ่านเปลี่ยนเป้าหมายแล้ว เขาก็พุ่งเข้าหามู่เฉียนซีไปในทันที
“เจ้าไม่คู่ควรที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของข้า ข้าจะดวลวรยุทธ์กับแม่นางผู้นั้นแทน”
เมื่อเป้าหมายเปลี่ยนแปลงไปเป็นแม่สาวน้อยผู้วิปริต ทุก ๆ คนก็อดรู้สึกขำเสียมิได้ นี่มัน…
สมแล้วที่เป็นคนตระกูลเดียวกัน น้องชายของเขาไม่เพียงแต่ไม่พกสมองออกมาจากเรือน เขาเองก็ไม่พกสมองออกจากเรือนเช่นกัน
สาวน้อยผู้นี้ได้ขึ้นไปยังชั้นเก้าจนได้รับตราสัญลักษณ์บรรลุชั้นเก้าสมบูรณ์ นางวิปริตเสียยิ่งกว่าบุรุษหนุ่มชุดเขียวนั่นเสียอีก การที่เขาจะไปต่อสู้กับนาง ก็มิสู้กลิ้งลงภูเขาไปเองเสียจะดีกว่า
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเซียวซ่านแล้ว มู่เฉียนซีก็เริ่มขับเคลื่อนพลังวิญญาณขึ้นในทันที
เมื่อเซียวซ่านทราบว่ามู่เฉียนซีเป็นเพียงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ดนั้น เขาก็รู้สึกว่าเขาเลือกถูกคนแล้ว
ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ดเป็นระดับที่ต่ำกว่าเขาอยู่มาก สำหรับเขาแล้วก็นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่ดีเป็นอย่างยิ่ง เซียวซ่านพกพาความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม
“อะไรนะ? ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ดอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่! ข้ามองผิดไปหลายระดับขั้นใช่หรือไม่!”
“แต่ถึงแม้จะต่ำลงไปอีกหลายระดับ ทว่าก็เป็นเพียงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ดเท่านั้น จะเป็นไปได้อย่างไร?”
พวกเขาคิดว่าผู้ที่จะสามารถผ่านการทดสอบไปถึงชั้นเก้าของศิลาจารึกหนานหลิงได้อย่างสมบูรณ์แบบนั้น อย่างน้อย ๆ จะต้องเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับเก้า ผลปรากฎว่าสิ่งที่พวกเขาได้รับรู้นั้นห่างไกลจากสิ่งที่พวกเขาคิดไว้มากเหลือเกิน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ผลทดสอบของศิลาจารึกหนานหลิงไม่สามารถบ่งบอกถึงพลังและความสามารถของคนคนหนึ่งได้ แต่นี่มันก็เกินความเป็นจริงไปมาก”
“เป็นเพราะพลังวิญญาณแข็งแกร่งพอ จึงสามารถผ่านการทดสอบมาได้อย่างนั้นหรือ แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็สามารถยืนหยัดมาได้นานถึงตอนนี้เชียวนะ”
ทุกคนต่างก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ!
เมื่อดาบของเซียวซ่านพุ่งเข้าโจมตีมู่เฉียนซีอย่างไม่ลดละ มู่เฉียนซีก็สามารถหลบหลีกได้อย่างไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด
แกร่ก แกร่ก แกร่ก!
กลับกลายเป็นบันไดจำนวนไม่น้อยบนภูเขาเหล่านั้นที่แหลกละเอียดจากฝีมือของเซียวซ่าน
พลังและความสามารถของเซียวซ่านด้อยกว่าคู่ต่อสู้ที่อยู่ในชั้นเจ็ดเหล่านั้นเป็นเท่าทวี มู่เฉียนซีคร้านที่จะมาเสียเวลากับเขาอีก นางจึงขับเคลื่อนพลังวิญญาณธาตุวายุ แล้วโจมตีออกไปในทันที!
“พลังจันทราไร้คู่!”
ปัง!
มู่เฉียนซีเพียงโจมตีออกไปแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ก็ทำให้เซียวซ่านเพลี้ยงพล้ำไปในชั่วพริบตา เขากลิ้งลงจากภูเขาไปราวกับลูกหนังลูกหนึ่งก็มิปาน
“ท่านพี่”
“คุณชาย!”
พวกเขาร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง ผลปรากฏว่าร่างสีดำก็ได้กวาดเอาพวกเขาลงภูเขาตามเซียวซ่านไปด้วยเช่นกัน
และผู้ที่ลงมือจัดการก็คือ ฉู่หลีนั่นเอง
เขากล่าว “ศิษย์น้อง พวกเราไปกันเถอะ!”
“อื้ม!”
เมื่อได้เห็นกลุ่มคนเหล่านั้นแล้ว คนอื่น ๆ ก็ชะงักงันกันไปชั่วขณะ
“เพียงโจมตีแค่ครั้งเดียวก็จัดการผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับเจ็ดได้แล้ว นางเป็นเพียงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ดเองไม่ใช่หรือ? ใช่หรือเปล่า? ข้าจะต้องตาฝาดเห็นบำเพ็ญภูตขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ดตัวปลอมแน่ ๆ”
“แปลกประหลาดเกินไปแล้ว! หากผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตในใต้หล้านี้จะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ แล้วคนอื่น ๆ จะยังมีชีวิตกันต่อไปได้อย่างไร”
“……”
เมื่อพวกเขากลิ้งลงสู่ตีนภูเขาแล้ว พวกของมู่เฉียนซีก็ได้หายลับไปแล้วเช่นกัน พวกเขาจึงทำได้เพียงก่นด่าสาปแช่งอยู่ที่ตีนภูเขาเท่านั้น
เมื่อได้พบเจอกับสหาย หลังจากผ่านการทดสองแล้ว พวกเขาก็ได้มารับประทานอาหารกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
มู่เฉียนซีทอดมองไปยังชิงเสวียนแล้วกล่าว “พลังของเจ้าเพิ่มพูนขึ้นเร็วมากเลยนะ!”
“ถูกเจ้ากระตุ้นอย่างไรเล่า หากช้าไปก็คงไม่ได้!” ชิงเสวียนกล่าวตอบ
ไป๋จิ่งเยว่กล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “คนที่ถูกกระตุ้นคือข้า ก่อนหน้านี้ลำดับพลังของข้าสูงที่สุด แต่ตอนนี้ไม่เพียงแค่เทียบเท่าซีไม่ได้เท่านั้น แต่ยังเกือบถูกพี่ชิงเสวียนไล่ตามทันแล้วด้วย”
“ซีซี อาหารมาแล้ว! ข้าคีบอาหารให้ซีซี” จูเชว่ขยับเข้ามาแล้วกล่าวด้วยท่าทางกระตือรือร้น
เขาไม่ชอบให้ซีซีไปพูดจาหยอกล้อกับคนเหล่านี้เลยสักนิด หึ!
พวกเขาอยู่พุดคุยกันครู่หนึ่ง จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับโรงเตี๊ยมไป คนทั้งสองที่ถูกกระตุ้นก็คิดจะลอบฝึกฝนต่อไปอย่างลับ ๆ แล้วค่อยมาพบเจอกันในวันประลองอีกครั้ง
ส่วนมู่เฉียนซีครั้นกลับมาถึงหอหมอปีศาจแล้ว นางก็กล่าวกับจูเชว่ “จูเชว่ ข้ามีอยู่วิธีหนึ่ง?”
ขนตาอันเปรียบดั่งปีกผีเสื้อของจูเชว่ก็กระพริบขึ้นลงเล็กน้อย เขากล่าวด้วยท่าทางตื่นเต้น “ซีซี เจ้ามีความคิดเห็นอันใดต่อข้า? ความคิดเห็นอันใดเจ้าว่ามาตามสบาย ไม่ว่าจะเป็นความคิดอันใดข้าก็จะทำให้เจ้าพอใจให้ได้”
มู่เฉียนซีรู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อย “รบกวนเจ้าช่วยฟังข้าให้เข้าใจก่อนจะได้หรือไม่”
จูเชว่กล่าวด้วยท่าทางไร้เดียงสาเป็นอย่างยิ่ง “ข้าก็ฟังเข้าใจแล้วนี่! ซีซีมีความคิดเกี่ยวกับข้า เจ้าคิดอยากจะล้มทับข้าดี? หรือว่ากระโจนเข้าใส่ข้าดีล่ะ?”
มู่เฉียนซีจึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ลำดับรายชื่อของศิลาจารึกหนานหลิงทำให้ข้าคิดว่า ผู้รอบรู้ข่าวสารอย่างเจ้าสามารถทำลำดับรายชื่อในเขตอำนาจต่าง ๆ ได้! อย่างเช่นลำดับรายชื่อผู้มากความสามารถของทิศใต้ ลำดับรายชื่อผู้มากความสามารถของราชวงศ์ตงหวง ลำดับรายชื่อผู้มากความสามารถของแดนซวนเทียน แล้วก็ยังมีนักปรุงยา อาวุธต่าง ๆ อีก...”
“ให้ผู้คนได้รับรู้ถึงลำดับรายชื่อของผู้มากความสามารถเหล่านี้ ในขณะเดียวกันชื่อเสียงของเจ้าก็จะยิ่งเลื่องลือไปไกลอีกด้วย หลังจากนี้การค้าขายก็จะขยายใหญ่ไปเรื่อย ๆ เงินที่ได้ก็จะยิ่งมากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน”
มู่เฉียนซีเอ่ยถาม “ความคิดนี้เป็นอย่างไร?”