ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1902 ทำไมจะไม่กล้า
เหยียนนั่งลงอย่างมีเสน่ห์ ส่วนมู่เฉียนซีดูเกียจคร้านอีกทั้งยังดูไม่มีสนใจอะไรเลยด้วยซ้ำ และมีเพียงฉู่หลีที่เหมือนคนไร้ตัวตนอย่างไรอย่างนั้น
งานชุมนุมอัจฉริยะในครั้งนี้ ทั้งสามคนนี้คืออัจฉริยะที่อยู่บนจุดสูงสุด
ซึ่งตู๋กูล่างกลับรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก “การสมัครเพื่อทดสอบเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่น เดิมทีแล้วมันมีค่าอะไรอย่างนั้นหรือ? มันไม่มีทางที่จะยืนยันความสามารถของคนคนหนึ่งได้เลยด้วยซ้ำ รอให้ถึงตอนแข่งขันแบ่งคะแนนก่อนเถอะ พวกเขาก็จะได้รู้ว่าตนเองนั้นโง่เขลาเพียงใด ตอนนี้ยิ่งภูมิใจมากเท่าไร หลังจากนี้ไปก็จะยิ่งอับอายมากเท่านั้น”
ซ่งหมิงเยว่กล่าวว่า “ข้าก็รู้สึกว่าการทดสอบของศิลาจารึกหนานหลิง ไม่สามารถที่จะตัดสินทั้งหมดได้เช่นกัน”
เมื่อทุกคนเข้าไปในสนามประลองแล้ว ลำดับต่อมาผู้ตัดสินก็เข้ามาในสนามประลอง
ในบรรดาพวกเขามีทั้งรองเจ้าสำนักของกองกำลังระดับสี่ ผู้พิทักษ์ของหอหนานหลิง และยังมีคุณชายจูเชว่ด้วย
พวกเขาได้ส่งคำเชิญไปยังผู้รับผิดชอบของหอหมอปีศาจด้วยเช่นกัน แต่ครั้งนี้คุณชายจูเชว่สะดวกที่จะเป็นผู้ช่วยจัดการให้แทน
เนื่องจากว่าในเวลานี้หอหมอปีศาจต้องขยับขยายต่อไป ฉะนั้นโม่ซวนจึงกำลังยุ่งวุ่นวายมาก!
ทันทีที่คุณชายจูเชว่มาถึงที่สนามประลอง ก็ได้ดึงดูดสายตาของผู้คนมากมาย ถึงอย่างไรชายผู้นี้ก็เป็นคนที่มีทั้งเงิน และพลังอำนาจที่แข็งแกร่งมาก
และสายตาของคุณหนูเซี่ยโหวที่หยิ่งทนง ก็อดจับจ้องอยู่ที่จูเชว่ด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อไม่ได้
หากสถานที่แห่งนี้ไม่มีคนอยู่มากมายถึงเพียงนี้แล้วละก็ คาดว่านางคงจะต้องพุ่งตัวเข้าไปแล้วเป็นแน่
“คุณชายจูเชว่ช่างมีน้ำใจที่ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ!”
เมิ่งเสี่ยวชิงกล่าวว่า “พี่เซี่ยโหวชอบคุณชายจูเชว่หรือ?”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ผู้ใดจะไม่ชื่นชอบคุณชายจูเชว่บ้างเล่า” เซี่ยโหวจือตอบกลับ
ตู๋กูล่างจ้องมองไปที่จูเชว่อย่างโกรธเคือง เพราะเจ้าหมอนี่ไปร่วมมือกับหอหมอปีศาจ จึงทำให้พวกเขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก และสำนักหลางซิงของพวกเขาไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปเป็นแน่
เหยียนเข้าไปใกล้มู่เฉียนซีพลางกระซิบกระซาบว่า “น้องซีเอ๋อร์ เป็นอย่างไรบ้าง? ไม่มีทางที่จะเผยข้อบกพร่องออกมาแน่! แล้วคนที่ข้าต้องหาล่ะ!”
มู่เฉียนซีพยักหน้าเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ก็พอได้อยู่!”
ชายชราที่มีผมงอกคนหนึ่งลุกยืนขึ้น และเริ่มประกาศกฎของการแข่งขันในครั้งนี้
ค่ายกลถูกเปิดการใช้งาน ทั่วทั้งสนามประลองโบราณได้ถูกเปิดออก และสนามการประลองก็มีทั้งหมดเก้าชั้น
จากนั้นเขาก็เริ่มพูดถึงกฎของการประลองในครั้งนี้ขึ้นมา “การประลองในครั้งนี้ พวกเจ้าสามารถที่จะท้าทายคู่ต่อสู้คนใดก็ย่อมได้! อย่างเช่นคนที่อยู่ชั้นที่หนึ่งท้าทายคนที่อยู่ชั้นที่หนึ่ง เช่นนั้นเจ้าก็จะต้องประลองที่สนามประลองชั้นที่หนึ่ง หากเจ้าท้าทายชั้นที่สอง ก็ต้องไปชั้นที่สอง! โดยที่จะคำนวนตามอันดับที่สูงกว่าของทั้งสองฝ่าย”
“หากเจ้าท้าประลองสำเร็จ ก็สามารถแลกเปลี่ยนระดับป้ายหยกของอีกฝ่ายได้ หากคนที่อยู่ชั้นที่หนึ่งพ่ายแพ้การต่อสู้ ก็จะไม่มีสิทธิ์ในการแข่งขันต่อไปได้”
“และผู้ที่เหลืออยู่หนึ่งร้อยคนสุดท้าย ก็จะมีสิทธิ์ได้เข้าไปในหอหนานหลิง ส่วนการจัดลำดับ แน่นอนว่าต้องนับจากชั้นที่เก้าลงไปอยู่แล้ว”
“เวลานี้ การแข่งขันเริ่มขึ้นได้แล้ว!”
ทันทีที่คำพูดของผู้อาวุโสสิ้นสุดลง คนที่เตรียมตัวอย่างกระตือรือร้นเรียบร้อยแล้วเริ่มท้าทายคู่ต่อสู้ที่พวกเขาต้องการจะต่อสู้ด้วยทีละคน มีบางคนที่อุ่นเครื่องอยู่ที่ชั้นหนึ่ง และมีบางคนที่ท้าทายไปยังศัตรูที่อยู่ชั้นเหนือกว่า
ในเวลานี้ คนที่อยู่ชั้นแปดคนหนึ่งกล่าวขึ้นมาว่า “ตู๋กูล่าง กล้าออกมาสู้กันสักยกหรือไม่?”
ทุกคนต่างประหลาดใจเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนมาท้าทายตู๋กูล่างได้ และเขาผู้นั้นก็เป็นถึงลูกศิษย์อัจฉริยะที่มีความสามารถอันไม่ธรรมดาของกองกำลังระดับสี่เชียวนะ
ตู๋กูล่างกล่าวอย่างหยิ่งยโสว่า “เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า แต่อุ่นเครื่องก่อนสักหน่อยก็ไม่เลวเช่นกัน”
เขาได้สบประมาทคู่ต่อสู้ของเขาอย่างสิ้นเชิง ซึ่งมันก็ทำให้คู่ต่อสู้ของเขาโกรธเคืองเป็นอย่างมาก
“ตู๋กูล่าง เจ้าอย่าได้ดูถูกข้าเกินไปนักเลย”
ทั้งสองคนได้ร่อนลงไปบนสนามประลองชั้นที่แปด นั่นเป็นเพราะพวกเขาต่างก็เป็นคู่ต่อสู้ระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับที่แปดด้วยกันทั้งคู่นั่นเอง และทันใดนั้นการปะทะครั้งใหญ่ก็ได้ระเบิดออกมา
แต่น่าเสียดาย ที่ใช้เพียงสิบกระบวนท่า ตู๋กูล่างก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้แล้ว
ตึง!
ผู้ที่พ่ายผู้นั้น ทำได้เพียงแค่ออกไปจากชั้นแปดเท่านั้น
ผู้คนต่างประหลาดใจ “เห็นได้ชัดว่าระดับของทั้งคู่ไม่ต่างกันเท่าไรนัก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าตู๋กูล่างจะเอาชนะได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนี้”
“ความสามารถของเขาน่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว คงต้องเว้นระยะสักหน่อยแล้วล่ะ!”
“ดูท่าแล้วน่าจะไม่มีคนของชั้นที่แปดที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ มีความเป็นไปได้มากว่าเขาจะขึ้นไปยังชั้นที่เก้าเป็นแน่”
ต่อมาก็มีคนท้าทายมากมาย ตัวอย่างเช่นมีคนจากชั้นที่เจ็ดมาท้าทายไป๋จิ่งเยว่
บุคคลผู้นั้นก็เป็นหนึ่งในคนที่มีชื่อเสียงพอ ๆ กับไป๋จิ่งเยว่ แต่ใครจะไปคาดคิดว่าไป๋จิ่งเยว่จะบรรลุผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับแปดก่อนเขาได้เล่า?
เพียงแต่เขาพึ่งจะเข้ามาเท่านั้น และเขาก็มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะได้
เงาร่างสีขาวพุ่งทะยานออกมา เขาพยักหน้าเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ตกลง!”
นอกจากนี้ยังมีคนที่ท้าทายชิงเสวียนด้วย แต่ถึงอย่างไรชิงเสวียนก็อยู่ท่ามกลางเหล่าศิษย์ของสำนักใหญ่ราวกับคนธรรมดาที่ไร้ตัวตนอยู่แล้ว
ชิงเสวียนตอบรับคำท้า ในตอนที่คนอื่นได้รู้ว่าเขามีความสามารถเพียงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับเจ็ดเท่านั้นก็ยิ่งตื่นตกใจเป็นอย่างมาก
“เพิ่งเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับเจ็ดหรือ? ตอนลงสมัครคงจะโชคดีมากจนเข้าไปถึงชั้นที่แปดได้สินะ”
“แน่นอนว่าเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว”
ชิงเสวียนกลายเป็นคู่ต่อสู้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดจากคนที่อยู่ชั้นเจ็ด
และชั้นที่เก้าก็ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ พวกเขาไม่รู้เบาะแสที่ชัดเจนของทั้งสามคนนั้น จึงไม่กล้าที่จะท้าทายตามอำเภอใจ
ในเวลานี้ เซี่ยโหวจือก็ลุกยืนขึ้นแล้วกล่าวว่า “เหยียนเหลียนเจีย ข้าต้องการที่จะท้าทายเจ้า เจ้ากล้ารับคำท้าหรือไม่?”
“มีสิ่งใดที่ข้าไม่กล้าบ้างเล่า?” ร่างสีแดงที่พราวเสน่ห์นั้นพุ่งขึ้นไปบนสนามประลองอย่างน่าหลงใหล ท่าทางที่น่าหลงใหลและทรงเสน่ห์เหลือล้นนั้นทำให้ผู้คนต่างก็รู้สึกคลั่งไคล้และเคลิบเคลิ้มไปกับมัน
ผู้คนต่างจ้องมองไปที่เหยียน และทำราวกับว่ามองไม่เห็นคุณหนูเซี่ยโหวอย่างไรอย่างนั้น ฉะนั้นคุณหนูเซี่ยโหวจึงพุ่งทะยานขึ้นไปอย่างเกรี้ยวกราด พลางกล่าวว่า “ข้าจะทำให้เจ้าอับอาย*ให้ได้ นางปีศาจจิ้งจอกนี่!”
เหยียนยิ้มอย่างมีเสน่ห์ “สวย*อย่างนั้นหรือ เดิมทีข้าน้อยก็สวยมากอยู่แล้วนะ!”
(*ที่ทั้งสองใช้คือคำว่า 好看 Hǎokàn มีความหมายว่า สวย แต่ก็สามารถใช้ในความหมายที่ว่า สนุก, ขายหน้า, อับอาย ได้เช่นกัน เป็นการเล่นคำ)
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง!
เสียงกระดิ่งที่เต็มไปด้วยพลังอันทรงเสน่ห์นั้นดังก้องกังวานขึ้นมา เซี่ยโหวจือกล่าวอย่างเยาะเย้ยว่า “มันเป็นเพียงกลลวงลึกลับเท่านั้น คุณหนูเช่นข้าจะกลัวได้อย่างไร?!”
แต่ทว่าหลังจากเสียงกระดิ่งดังขึ้นสามครั้ง เซี่ยโหวจือก็ถูกทำให้ลุ่มหลงไปอย่างสิ้นเชิง และแทนที่จะโจมตีเข้าใส่เหยียน นางกลับทำให้ตนเองต้องบาดเจ็บแทนเสียได้
“กรี๊ดดด!” นางตื่นตกใจเป็นอย่างมาก ผลสุดท้ายก็ถูกเหยียนเตะจนกระเด็นลอยออกไป
เหยียนกล่าวอย่างเยาะเย้ยว่า “อ่อนแอเกินไปแล้ว ไม่มีความหมายเลยสักนิด”
“น่ารังเกียจ!” เซี่ยโหวจือโกรธเคืองเป็นอย่างมาก เคล็ดวิชามหาเสน่ห์นี้ไม่เพียงแต่มีผลกับกับผู้ชายเท่านั้น ไม่คิดว่าจะมีผลกับนางด้วยเช่นกัน
ทุกคนต่างเหลือบมองไปที่พลังการต่อสู้อันแข็งแกร่งของเหยียนเหลียนเจีย พลังมหาเสน่ห์นั่นเป็นการโจมตีทางจิตวิญญาณทำให้คนยากที่จะป้องกันได้ หากไม่อยู่ในระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ก็คงไม่มีผู้ใดกล้าต่อสู้กับนางเป็นแน่!
ถึงแม้ว่าจะอยู่ในระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม แต่เมื่อมาเผชิญหน้ากับนางก็น่าจะต้องระมัดระวังตัวมากเช่นกัน
ตู๋กูล่างกำหมัดแน่น เหยียนเหลียนเจียรับมือยากมาก และเขาก็ไม่อาจที่จะลงมือกับคนผู้นี้ได้ เช่นนั้นทำได้เพียงลงมือกับอีกสองคนที่เหลือเท่านั้นแล้ว
“พี่ซ่ง!” ตู๋กูล่างมองไปทางซ่งหมิงเยว่ที่อยู่ข้างกาย ซึ่งเขาเป็นคนที่รอบครอบและหน้าตาดีมากคนหนึ่ง
หากลงมือแล้วละก็ต้องมีความมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะได้อย่างแน่นอน ฉะนั้นจึงไม่อยากที่จะให้ซ่งหมิงเยว่ไปทดสอบความสามารถของทั้งสองคนนั้น
ซ่งหมิงเยว่กล่าวว่า “ท่านพี่ตู๋กู ข้าเข้าใจดี เพียงแต่ครานี้ถือว่าท่านพี่ตู๋กูเป็นหนี้บุญคุณข้าครั้งหนึ่งก็แล้วกัน”
“ตกลง!”
ซ่งหมิงเยว่ชําเลืองมองไปยังคนที่อยู่ชั้นเก้าทั้งสองคนนั้น เขาไม่มีทางที่จะไปต่อสู้กับเหยียนเหลียนเจียได้อยู่แล้ว และชายผู้สวมชุดคลุมดำแม้ว่าจะนิ่งเงียบ แต่กลับให้ความรู้สึกที่อันตรายอย่างน่าประหลาด เช่นนั้น…
มีเพียงแค่แม่นางน้อยผู้นั้นคนเดียวแล้ว
ซ่งหมิงเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางมู่ ข้าขอท้าทายเจ้า ได้หรือไม่?”
ผู้คนต่างพากันประหลาดใจเป็นอย่างมาก ซ่งหมิงเยว่ก็เริ่มที่จะท้าท้ายแล้วเช่นกัน
มู่เฉียนซีลุกยืนขึ้นพลางกล่าวว่า “ได้สิ!”
“ในที่สุดก็มีคนต้องการที่จะท้าทายข้าเสียที ข้านั่งอยู่ตรงนี้ช่างน่าเบื่อหน่ายเหลือเกิน!”
เมื่อกล่าวจบ มู่เฉียนซีก็พุ่งทะยานไปยังสนามประลองชั้นที่เก้าทันที และซ่งหมิงเยว่ก็ไปด้วยเช่นกัน
“แม่นางมู่ โปรดระวังด้วย ข้าจะเริ่มลงมือแล้ว!” ซ่งหมิงเยว่กล่าวเตือนอย่างมีความเป็นสุภาพบุรุษมาก
.