ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1910 วีรบุรษขี่ม้าขาว
อัจฉริยะอันดับหนึ่งของดินแดนทางทิศใต้แห่งราชวงศ์ตงหวง แน่นอนว่าต้องเป็นมู่เฉินซีอยู่แล้ว
ส่วนในพื้นที่อื่น ๆ นั้น ผู้ที่อยู่ในอันดับแรกล้วนเป็นอัจฉริยะของสุดยอดกองกำลังระดับสี่ทั้งนั้น
และอันดับหนึ่งของราชวงศ์ตงหวง แน่นอนว่าต้องเป็นองค์หญิงหลินหลางหรือก็คือมู่หลินหลางนั่นเอง
ตอนนี้มู่เฉินซีอยู่ลำดับที่สิบสาม ในรายชื่ออัจฉริยะของราชวงศ์ตงหวงทั้งหมด
แม้ว่าจะสามารถเอาชนะผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับแปดคนหนึ่ง และกลายเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของดินแดนทางทิศใต้ อีกทั้งยังอยู่ในลำดับที่สิบสามได้ แต่ทุกคนกลับยังคงมีความรู้สึกว่าคุณชายจูเชว่ดูจะยกย่องมู่เฉินซีมากเกินไปหน่อยอยู่ดี
ถึงฝีมือของมู่เฉินซีจะเก่งกาจมากขนาดไหน แต่นางก็เป็นเพียงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตเท่านั้น
และแม้แต่คนที่มีเรื่องต้องจัดการมากมายอย่างมู่หลินหลาง ในเวลานี้ก็ได้เห็นรายการจัดลำดับรายชื่อเหล่านี้แล้ว
“คิดไม่ถึงเลยว่าจะทำรายชื่อเช่นนี้ออกมา จูเชว่แสดงความอ่อนแอของข้าออกมาอีกแล้วอย่างนั้นหรือ? ถึงเขาจะรู้จักกาลเทศะ แต่…”
นิ้วมือที่เรียวบางนั้นเลื่อนผ่านไปยังรายชื่อในลำดับที่เก้า และชื่อที่อยู่บนกระดาษแผ่นนั้นก็หายไปในพริบตา
“มู่เฉินซี อายุยังไม่ถึงสิบแปดปี จอมภูตพลังธาตุวายุ มีความสามารถเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับแปด แต่ทว่ามีความสามารถในการต่อสู้อย่างก้าวกระโดดเป็นที่สุด เนื่องจากสามารถที่จะต่อสู้กับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับแปดได้ และในอนาคตก็ยังไร้ขีดจำกัด…”
แม้ว่าอัจฉริยะอันดับแรกของราชวงศ์ตงหวง จูเชว่จะปล่อยให้มู่หลินหลางห้อยอยู่ตรงนั้นไปก่อน แต่สำหรับศักยภาพและพรสวรรค์ของมู่เฉียนซีเขากลับให้การประเมินไว้สูงเป็นอย่างมาก ซึ่งมันก็เหนือกว่ามู่หลินหลางมากเลยทีเดียว
จิตสังหารปรากฏออกมาจากมู่หลินหลางอย่างไม่ได้มีการปกปิดแต่อย่างใด หลังจากนั้นนางจึงกล่าวว่า “ช่วงนี้สำนักหลินเยว่กำลังทำอะไรอยู่กันแน่? รอจนกว่ารายชื่อการจัดลำดับจะปรากฏออกมาในครั้งต่อไป ข้าหวังว่าชื่อนี้ จะไม่อยู่ในลำดับรายชื่อของอัจฉริยะอีกแล้ว รวมไปถึงชื่อเหยียนเหลียนเจียนั่นด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ! ฝ่าบาท!”
“ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่มาขวางเส้นทางของข้า ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อีก” มู่หลินหลางกล่าวออกมาอย่างชั่วร้าย
ถึงแม้ปรารถนาที่จะกำจัดมู่เฉินซีให้ได้โดยเร็ว แต่มู่หลินหลางรู้สึกว่าตัวประกอบธรรมดาเช่นนี้ยังไม่จำเป็นที่นางจะต้องลงมือด้วยตนเอง
ในเวลาเช่นนี้สามารถเอาสำนักหลินเยว่มาใช้ประโยชน์ได้ ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้พวกเขาก็มีประโยชน์มากเลยทีเดียว
อันที่จริงหลังงานชุมนุมอัจฉริยะ แน่นอนว่าคนของสำนักหลินเยว่ก็สังเกตเห็นมู่เฉินซีแล้ว
แต่พวกเขาคิดว่าตู๋กูล่างจะสามารถจัดการคนผู้นี้ได้ ทว่าพวกเขากลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะได้รับความพ่ายแพ้เช่นนี้
การพ่ายแพ้ครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จัดการมู่เฉินซีไม่ได้ แต่ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของมู่เฉินซีเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อย ๆ ซ้ำยังแพร่สะพัดไปจนถึงหูองค์หญิงหลินหลาง และทำให้องค์หญิงหลินหลางไม่พอใจพวกเขาอีกด้วย
“เจ้าพวกผู้ชายเฮงซวยของสำนักหลางซิงมีแต่คนที่ไร้ประโยชน์ทั้งนั้น โอกาสดี ๆ เช่นนี้กลับจัดการนางเด็กน้อยนั่นไม่ได้ บัดซบจริง ๆ!” คนของสำนักหลินเยว่ก็โมโหมากเช่นกัน
“ตอนที่อยู่ดินแดนทางทิศใต้มีคุณชายจูเชว่คอยคุ้มครองอยู่ทำให้โอกาสในการลงมือของพวกเรามีไม่มากเท่าไรนัก แต่ทว่าภายในหอหนานหลิงจะต้องเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมมากอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลาคงจะไม่มีใครสามารถปกป้องอยู่ข้างกายนางได้ คราวนี้ จะต้องสำเร็จเป็นแน่”
“ขอรับ!”
รายชื่ออัจฉริยะทำให้ทั่วทั้งราชวงศ์ตงหวงตกอยู่ในความโกลาหล และจูเชว่ต่างก็รู้ดีว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงอย่างไรบ้าง
“ซีซี ข้าคาดว่าสำนักหลินเยว่อาจจะนั่งกันไม่ติดแล้ว พวกนางจะต้องพยายามคิดหาทางลงมือกับเจ้าเป็นแน่ ฉะนั้นเจ้าจะต้องระวังให้มากนะ”
มู่เฉียนซีมองไปทางจูเชว่แล้วกล่าวว่า “เหตุใดเจ้าถึงไม่บอกตนเองว่าต้องระวังบ้าง ในลำดับที่สามของรายชื่อก็คือเจ้านะ”
“ไม่ง่ายเลยที่พวกเขาจะยืนยันที่อยู่ของข้าได้ และถึงอย่างไรข้าก็มีถึงสองตัวตน ซีซีแต่ของเจ้านั้นไม่เหมือนกัน”
“หากพวกเขาต้องการที่จะเข้ามา ก็ให้มาเถอะ!” แววตาของมู่เฉียนซีฉายแววเย็นยะเยือกออกมา
“เราต้องตรวจสอบความสามารถของสำนักหลินเยว่และสำนักหลางซิง และรอโอกาส หากมีโอกาสที่จะทำลายพวกเขาได้ เช่นนั้นมันคงจะเงียบสงบมากขึ้นไม่น้อยเลย” มู่เฉียนซีกล่าวกับจูเชว่
จูเชว่กล่าวตอบว่า “ซีซี สำนักหลินเยว่และสำนักหลางซิงนี้สำหรับมู่หลินหลางแล้วมันไม่ได้มีความหมายเลย แต่อย่างน้อยที่สุดก็เป็นสถานที่ที่มู่หลินหลางให้การสนับสนุนอยู่ หากจัดการมันแล้วละก็ มู่หลินหลางอาจจะโกรธเคืองมากก็เป็นได้”
“ดังนั้นข้าจึงเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้น แต่การพัฒนาของข้าก็ยังล่าช้าอยู่ดี ซึ่งการจะจัดการสำนักหลางซิงโดยที่อาศัยข้าเพียงลำพัง หรือจะเพิ่มซวนเข้าไปด้วย ก็น่าจะต้องสู้กันจนตัวตายและหนีไปไหนไม่รอดแน่ ฉะนั้นจึงไม่ได้มีการเคลื่อนไหวใด ๆ เลย”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เช่นนั้นหากเพิ่มหอหมอปีศาจเข้าไปด้วยล่ะ!”
“มีโอกาสที่จะชนะได้ แต่ทว่าการจะทำลายกองกำลังที่ไร้ค่าของลูกน้องมู่หลินหลาง ทำให้พวกเราต้องเผยไม้ตายออกมา ซึ่งมันจะเสียหายอย่างหนัก อีกทั้งยังไม่คุ้มค่าเลยด้วย! ฉะนั้นขยะเหล่านั้นจึงไม่คุ้มค่าพอให้พวกเราทำเช่นนั้น ข้าดูแลเรื่องข่าวกรอง ซวนดูแลเรื่องปรุงยา ความจริงแล้วกำลังคนของพวกเรามีไม่เพียงพอ และเรื่องที่เล็กน้อยเพียงเท่านี้ก็เป็นสิ่งที่ข้าไม่อยากยอมรับเลย แต่ว่ามันก็คือเรื่องจริง!” จูเชว่กล่าวอย่างฝืนยิ้ม
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “การร่วมมือกันของทั้งสามฝ่ายก็ยังไม่ได้ เช่นนั้นหากเพิ่มพันธมิตรเข้าไปด้วยล่ะ?”
จูเชว่กระซิบกระซาบว่า “หากเพิ่มพันธมิตรเข้ามาอีกละก็ เช่นนั้นข้าและซวนก็จะพยายามคิดหาหนทางดูอีกครั้ง”
“อื้ม!”
…
สามวันต่อมา ในตอนรุ่งสางที่พระอาทิตย์เพิ่งจะสาดส่องก็ได้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เหยียนที่แต่งองค์ทรงเครื่องอย่างน่าหลงใหลเป็นพิเศษปรากฏตัวอยู่หน้าประตูห้องของมู่เฉียนซี จากนั้นก็กล่าวกับมู่เฉียนซีด้วยรอยยิ้มว่า “น้องซีเอ๋อร์ พวกเราต้องออกเดินทางไปหอหนานหลิงกันได้แล้ว”
“เช้าขนาดนี้เลยหรือ?” มู่เฉียนซีขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ใช่แล้ว! ตาเฒ่าเหล่านั้นเตรียมการเช้าขนาดนี้ เพราะไม่อยากให้พวกเราได้นอนกันอย่างเต็มอิ่ม” จูเชว่กล่าวอย่างไม่พอใจ
เมื่อใกล้ถึงเวลา พวกเขาทั้งสามจึงออกเดินทาง แต่ทว่าในตอนที่ใกล้จะถึงเขาหนานหลิง พวกเขากลับถูกคนที่สวมหน้ากากใส่ชุดคลุมดำกลุ่มหนึ่งขวางเอาไว้
เหยียนกล่าวอย่างดูถูกว่า “หมาที่ดีจะไม่ขวางทาง รีบไสหัวกลับไปยังที่ที่เจ้านายของพวกเจ้าอยู่ซะ! หรืออยากให้ข้าเอาหัวสุนัขของพวกเจ้าส่งไปให้เจ้านายของพวกเจ้าแทนอย่างนั้นหรือ?”
“ฆ่า!” คนเหล่านี้ พ่นคำพูดออกมาเพียงคำเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นก็เคลื่อนไหวอย่างเฉียบขาดและฉับพลัน
เหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “วันนี้ข้าตื่นเช้ามากเกินไป ฉะนั้นจึงอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก อีกทั้งที่นี่ยังเป็นดินแดนทางทิศใต้ด้วย คิดที่จะลงมือที่นี่ ถือว่ารนหาที่ตายโดยแท้”
“กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง!” เสียงกระดิ่งเก้าชั้นดังขึ้นมา จากนั้นก็มีร่างเงาสีแดงสองสามร่างพุ่งออกมา และความแข็งแกร่งของคนเหล่านี้ก็ยังไม่มากพอ
เหยียนร่อนลงมาอยู่ข้างกายของมู่เฉียนซีพลางกล่าวว่า “น้องซีเอ๋อร์ พวกเราไม่ต้องลงมือเองแล้ว พักก่อนเถอะ! กล้าลงมือที่เมืองหนานหวางได้ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะทำให้พวกเราได้รู้ว่าดอกไม้นั้นจะสีแดงขนาดไหน?”
นักฆ่าเหล่านี้ได้ต่อสู้กับเหล่าองค์รักษ์ของเหยียน
แต่เห็นได้ชัดว่าเส้นทางนี้ไม่ได้เงียบสงบมากเท่าไรนัก เนื่องจากด้านหน้ามีคนอีกกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวออกมา
ดูก็รู้ว่าคนเหล่านี้ไม่ต้องการให้พวกเขาไปถึงเมืองหนานหลิงอย่างราบรื่น
ครืนนนน!
“ซีเอ๋อร์!”
“ลูกพี่!”
พวกเขาที่กำลังรับมือกับคนเหล่านี้ ก็เจอเข้ากับไป๋จิ่งเยว่และชิงเสวียนเข้าพอดี และพวกเขาก็เข้าร่วมการต่อสู้ด้วย
หลังจากนั้นก็มีคนอื่นมาด้วย แต่เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับตน หากพวกของมู่เฉินซีเจอกับอันตรายที่นี่ เมื่อตอนที่เข้าไปในหอหนานหลิงพวกเขาก็จะสามารถลดคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งไปได้ถึงสองสามคนเลยทีเดียว
“กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง!” แน่นอนว่าก็มีคนที่ถูกเหยียนล่อลวงจิตวิญญาณมาได้เช่นกัน และยังเข้ามาช่วยเหลืออย่างไม่กลัวตายอีกด้วย
“ผู้ใดกล้าทำร้ายเหยียนเหลียนเจียก็ลองดูสิ?”
“สาวงามเหยียน ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว”
“หากพวกเจ้ากล้าทำร้ายนางแล้วละก็ เช่นนั้นก็ต้องข้ามศพของข้าไปเสียก่อน!”
ปัง ปัง ปัง!
การต่อสู้ที่ดุเดือดปะทุขึ้น อัจฉริยะเหล่านี้โดยปกติแล้วไม่ได้มาเพียงลำพัง แต่จะมีอาจารย์และมีองครักษ์ที่คอยติดตามมาด้วย
เช่นนั้นถึงแม้ว่านักลอบสังหารเหล่านี้จะมีความสามารถที่แข็งแกร่งมาก ก็ยังคงเสียเปรียบมากอยู่ดี
ช่างเป็นฉากที่เหมือนวีรบุรษขี่ม้าขาวเสียจริง และมันก็เป็นฉากการแสดงที่น่าทึ่งมากเลยทีเดียว จากนั้นมู่เฉียนซีก็มองไปทางเหยียนอย่างล้อเลียน
ฟิ้ว!
ในเวลานี้ มีลูกธนูที่แหลมคมดอกหนึ่งก็พุ่งออกไป
เป้าหมายในการโจมตีของลูกธนูดอกนั้นไม่ใช่มู่เฉียนซี แต่กลับเป็นคนที่ต่อสู้น้อยที่สุดอีกทั้งขี้เกียจจะต่อสู้มากที่สุดอย่างฉู่หลี
“คุณชายฉู่ ระวัง!” ทันใดนั้นก็มีร่างสีขาวร่างหนึ่งพุ่งออกไป
.
.