ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1914 ฉู่หลีถูกขัง
เขารู้ตนเองได้เป็นอย่างดี ในตอนที่มู่เฉินซีเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ดเขายังสู้ไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนางที่เลื่อนขึ้นจนกลายเป็นระดับแปดในตอนนี้เลย อีกทั้งยังมีคู่ต่อสู้ที่ความสามารถไม่ได้อ่อนแออีกสองคนด้วย
ซ่งหมิงเยว่จึงตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว เขาเลือกที่จะออกมาจากหอหนานหลิงในทันที เพราะที่นี่มีโอกาสขอสละสิทธิ์โดยสมัครใจได้
แต่ว่าตู๋กูล่างที่ต้องตายอย่างไม่ทันได้เตรียมใจนั้น นั่นเพราะมั่นใจว่ามู่เฉินซีไม่อาจสังหารตนได้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีความคิดที่จะขอสละสิทธิ์โดยสมัครใจ
ซ่งหมิงเยว่หายวับไปอย่างรวดเร็ว และนี่ก็ทำให้ไป๋จิ่งเยว่กังวลใจเล็กน้อย
“ซีเอ๋อร์ ซ่งหมิงเยว่ออกไปแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นเกรงว่าสำนักหลางซิงคงจะรู้ว่าเจ้าเป็นคนฆ่าตู๋กูล่าง และพวกเขาจะต้องมาหาเรื่องเจ้าเป็นแน่”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อข้าบอกว่าไม่กลัว นั่นก็แน่นอนว่าข้าไม่กลัวมันจริง ๆ หากพวกคนของสำนักหลางซิงคิดจะมาหาเรื่องข้า ก็ให้พวกเขามาเถอะ!”
“พวกเราไปกันเถอะ! ที่นี่ยังมีห้องโถงใหญ่อื่น ๆ ที่ต้องบุกฝ่าไปอีกมากมาย พวกเราบุกทะลวงไปด้วยกันน่าจะง่ายขึ้นหน่อย” มู่เฉียนซีกล่าวกับพวกเขา
“ตกลง!”
เมื่อถึงตอนนี้ ก็มีคนที่ถูกคัดออกมาแล้วไม่น้อย แต่ทว่าคนที่อยู่ในลำดับสูงสุดเหล่านั้นยังไม่มีใครถูกคัดออกมาเลย
อีกทั้งพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่า ในบรรดาคนที่ถูกคัดออกเร็วที่สุด จะมีซ่งหมิงเยว่อยู่ในนั้นด้วย
สีหน้าของซ่งหมิงเยว่ในเวลานี้ซีดเผือด และยังมีท่าทางที่ดูหวาดกลัวเป็นอย่างมากด้วย
แน่นอนว่าเขาไม่ได้บอกทุกคนไปตามตรงว่ามู่เฉินซีเป็นคนที่ฆ่าตู๋กูล่าง แต่เตรียมที่จะไปแอบฟ้องอยู่แล้ว
ห้องโถงเหล่านี้ มีความยากที่จะบุกฝ่าไปมากขึ้นเรื่อย ๆ
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี แต่ในตอนที่พวกเขาปล้นห้องโถงได้แล้ว ชิงเสวียนก็ถูกทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส จนเขาต้องออกจากหอหนานหลิงไป
บนร่างกายของไป๋จิ่งเยว่ที่ถูกย้อมไปด้วยสีเลือด เขากล่าวว่า “หอหนานหลิงมีสิบแปดห้องโถง ข้าบุกทะลวงเข้าไปมากกว่าเก้าห้องโถง ซึ่งมันก็เกินความคาดหมายของข้ามากแล้ว จากนี้หากมีอันตราย ซีเอ๋อร์เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ”
“ชั้นที่เจ็ดนี้คิดไม่ถึงว่าจะแบ่งเป็นสิบแปดห้องโถงโดยมีอาวุธเป็นส่วนประกอบ ถึงแม้ว่าหอหนานหลิงแห่งนี้จะเป็นสถานที่ที่ไว้สำหรับฝึกฝนและหาประสบการณ์ แต่ข้าว่ามันเหมือนคลังอาวุธแห่งหนึ่งมากกว่า” มู่เฉียนซีกล่าว
“ไม่มีคนที่ขึ้นไปเหนือกว่าชั้นที่เจ็ดได้เลย ดังนั้นหอหนานหลิงที่จริงแล้วคืออะไรกันแน่? ต่างไม่มีใครรู้”
“ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม? ก็พุ่งชนเข้าไปเถอะ!”
โถงที่สิบสาม เป็นโถงขวาน
หัวของขวานที่เป็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ครึ่งเทพนั้นใหญ่เป็นพิเศษ หากถูกมันโจมตีเข้าละก็ มีความเป็นไปได้มากว่าต้องกลายเป็นสองท่อนแน่
สถานการณ์นี้มีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ครึ่งเทพที่มีจิตสังหารที่รุนแรงถึงเพียงนี้ ถึงอย่างไรก็อันตรายมากจริง ๆ และไป๋จิ่งเยว่ก็จำเป็นที่จะต้องเลือกหลบออกไป
เขากล่าวว่า “ซีเอ๋อร์ ข้าไม่อาจทะลวงผ่านด่านไปกับเจ้าได้แล้ว เจ้าจะต้องระวังด้วย”
“รอฟังข่าวดีตอนที่ข้าทะลวงผ่านได้สำเร็จแล้วก็แล้วกัน!” มู่เฉียนซีกล่าว
“พลังวายุกักขังวิญญาณ!”
“พลังวายุจันทราไร้คู่!”
ทันทีที่ไป๋จิ่งเยว่ออกไป มู่เฉียนซีก็จำต้องพยายามต่อสู้กับมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ครึ่งเทพที่ดุร้ายเหล่านี้อย่างสุดความสามารถ และการประลองฝีมือที่น่าตื่นเต้นก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว
ตูมมมม!
ที่ทางเข้าห้องโถงธนู มีหญิงสาวสองคนเดินเข้ามา
“น้องเมิ่งเก่งมากจริง ๆ หากมีน้องเมิ่งอยู่ด้วยพวกเราจะต้องสามารถผ่านชั้นที่เจ็ดไปได้อย่างปลอดภัยแน่นอน” เซี่ยโหวจือกล่าวอย่างตื่นเต้น
เมิ่งเสี่ยวชิงกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ท่านพี่หญิงเซี่ยโหวจะชื่นชมข้าเกินไปแล้ว ข้าเพียงแค่โชคดีเท่านั้นเอง”
“ความเก่งกาจของน้องเมิ่ง ไม่ได้เป็นเพราะโชคช่วยอย่างแน่นอน”
ตอนที่พวกนางอยู่ตรงประตูทางเข้าของโถงธนู ก็ได้เจอกับร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่ง และคนผู้นี้ก็คือฉู่หลีนั่นเอง
ฉู่หลีกำลังพักผ่อนอยู่ที่ทางเข้าของโถงธนู ราวกับว่าไม่รีบร้อนที่จะบุกฝ่าผ่านไป เมื่อเมิ่งเสี่ยวชิงมองเห็นเขา ดวงตาของนางก็เปล่งประกายระยิบระยับขึ้นมาทันที จากนั้นนางก็เดินเข้าไป!
“คุณชายฉู่ คุณชายฉู่ท่านตื่นเถอะ!”
“คุณชายฉู่ ท่านบาดเจ็บอย่างนั้นหรือ?”
“ฉู่…”
เซี่ยโหวจือกล่าวว่า “น้องเมิ่ง เจ้าจะอ่อนโยนเกินไปแล้ว ดูข้านะ!”
“ฉู่หลี ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้ เจ้ายังมีชีวิตอยู่ไหม? น้องเมิ่งของข้ากำลังเรียกเจ้าอยู่ เจ้าไม่ได้ยินอย่างนั้นหรือ? รีบตื่นขึ้นมาเร็วเข้า!” เซี่ยโหวจือบุ่มบ่ามยิ่งกว่าเมิ่งเสี่ยวชิงมากมายนัก และนางก็ได้ตรงเข้าไปแสดงทักษะราชสีห์คำรามใส่ฉู่หลี
ฉู่หลีลืมตาทั้งสองข้างขึ้น และดวงตาที่ไม่แยแสผู้ใดคู่นั้นก็สว่างวาบขึ้น พลังที่น่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมาหลังจากการสะบัดมือเพียงครั้งเดียวและมันก็ได้ทำให้เซี่ยโหวจือลอยกระเด็นออกไป
“หนวกหู!” คำพูดที่ถูกพ่นออกมานั้นเย็นชามาก จนทำให้รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว
“เจ้า…” เมื่อเซี่ยโหวจือตะเกียกตะกายขึ้นมาได้ก็คิดที่จะไปหาเรื่องฉู่หลี แต่ว่าในเวลานี้นางกลับพูดไม่ออกเล็กน้อย
เมิ่งเสี่ยวชิงที่มีความกล้าค่อนข้างมาก ได้เดินไปข้างหน้าแล้วกล่าวว่า “คุณชายฉู่ ท่านพี่หญิงเซี่ยโหวไม่ได้มีเจตนาที่จะรบกวนท่าน พวกเราเพียงแค่เป็นห่วงคุณชายฉู่เท่านั้น หากมีสิ่งใดที่ทำให้คุณชายฉู่ไม่พอใจ ข้าต้องขอโทษท่านแทนท่านพี่หญิงเซี่ยโหวด้วย”
ฉู่หลีกวาดสายตาไปโดยรอบ ศิษย์น้องของเขายังมาไม่ถึงที่นี่ แต่กลับมีหญิงสาวที่น่ารำคาญถึงสองคนมาแทน
เมิ่งเสี่ยวชิงกล่าวว่า “ห้องโถงทั้งสิบแปดห้องในชั้นเจ็ดของหอหนานหลิงบุกฝ่าไปได้ยากเป็นอย่างมาก ยิ่งไปได้ไกลมากเท่าไรก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น ตอนนี้หญิงสาวอย่างพวกเราทั้งสองก็บุกฝ่ามาได้ถึงแปดห้องแล้ว และคงจะเป็นเรื่องยากมากหากคิดที่จะผ่านห้องโถงธนูห้องที่เก้านี้ไปได้ ในตอนนี้ได้มาพบคุณชายฉู่ ท่านจะฝ่าไปด้วยกันกับพวกเราได้หรือไม่?”
ฉู่หลีรีบกล่าวตอบอย่างทันควันว่า “ไม่สนใจ!”
“ข้าว่าเจ้าไม่ได้ไม่สนใจหรอก แต่เป็นเพราะไม่กล้ามากกว่า! มิเช่นนั้นคงไม่รออยู่ด้านนอกไม่เข้าไปเช่นนี้หรอก หญิงสาวอย่างพวกเราทั้งสองต่างก็ผ่านกันมาแปดห้องแล้ว เจ้าผ่านมากี่ห้องแล้วล่ะ?” เซี่ยโหวจือกล่าวอย่างหยิ่งยโส
“ไม่สนใจ ไม่เข้าไป พวกเจ้ารีบหายไปเสียที!”
“ไม่เข้าไปหรือ?” พวกนางทั้งสองประหลาดใจเล็กน้อย
ฉู่หลียังไม่ได้บุกทะลวงเข้าไปสักห้องเลยจริง ๆ เนื่องจากเขารู้สึกว่ามันวุ่นวายเกินไป อีกทั้งเขายังไม่สนใจมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ครึ่งเทพที่อยู่ภายในนี้เลยแม้แต่น้อย
เขาอยู่ที่ห้องโถงที่ใหญ่ที่สุดมาแต่แรก ถึงอย่างไรสุดท้ายแล้วก็จะได้เจอกับศิษย์น้อง เช่นนั้นเขาจึงเลือกที่จะไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
“เจ้านี่ช่างเป็นคนขี้ขลาดจริง ๆ แล้วยังกล้าบอกว่าเป็นอัจฉริยะอันดับสองอีกหรือ น้องเมิ่งของข้าเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเจ้า แล้วดูท่าทีของเจ้าสิ? คราวนี้เจ้าจะต้องเคลื่อนไหวไปพร้อมกับพวกเรา ถึงแม้จะไม่มีประโยชน์แต่ก็ยังเป็นโล่ให้พวกเราในโถงธนูได้!” เซี่ยโหวจือกล่าวอย่างเย่อหยิ่งและก้าวร้าว
ฉู่หลีทำแค่เพียงมองนางอย่างเย็นชา และยังขี้เกียจเกินกว่าจะพูดกับเซี่ยโหวจืออีกด้วย
จากนั้นเมิ่งเสี่ยวชิงก็กล่าวด้วยท่าทางน่าสงสารว่า “คุณชายฉู่ไม่ยอมที่จะช่วยพวกเราจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ยอม ไสหัวไปซะ!” ฉู่หลีกล่าวอย่างเย็นชา
เมิ่งเสี่ยวชิงกล่าวว่า “แต่ว่า ข้าอยากที่จะให้คุณชายฉู่ไปด้วยกันจริง ๆ เช่นนั้นก็คงต้องล่วงเกินท่านแล้ว”
และสิ่งที่ทำให้คนประหลาดใจก็คือ การที่เมิ่งเสี่ยวชิงแอบลอบโจมตีฉู่หลีอย่างกะทันหัน
ร่างสีดำสว่างวาปขึ้น และฉู่หลีก็หลบหลีกทันที
เซี่ยโหวจือกล่าวว่า “น้องเมิ่ง ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว!”
หญิงสาวทั้งสองคนร่วมมือกันจัดการฉู่หลี และฉู่หลีที่เริ่มจะรำคาญก็ได้โจมตีกลับ แต่เมิ่งเสี่ยวชิงสามารถหลบการโจมตีนั้นได้ ส่วนเซี่ยโหวจือถูกทำให้บาดเจ็บอย่างน่าเวทนาเล็กน้อย
“คุณชายฉู่ ท่านจะต้องตอบรับข้าแน่” อยู่ ๆ เมิ่งเสี่ยวชิงก็หัวเราะขึ้นมา และนางก็หัวเราะอย่างมีความตั้งใจบางอย่างอีกด้วย
ตูมมมมม!
จู่ ๆ สถานที่แห่งนี้ก็มีค่ายกลขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหัน และฉู่หลีก็ถูกขังไว้กลางค่ายกลขนาดใหญ่นี้
แววตาที่อันตรายของฉู่หลีจ้องมองไปที่เมิ่งเสี่ยวชิง พลังที่บ้าคลังทะลักออกมา แต่ทว่ากลับหมดหนทางที่จะทำให้ค่ายกลขนาดใหญ่นี้แตกออกได้
เมิ่งเสี่ยวชิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายฉู่ ค่ายกลขนาดใหญ่นี้เสี่ยวชิงเตรียมไว้ให้ท่านเป็นพิเศษเลย ความแข็งแกร่งของท่านยิ่งแข็งแกร่งเท่าไร การพันธนาการของค่ายกลขนาดใหญ่นี้ก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น ขอเพียงท่านยอมที่จะบุกฝ่าไปด้วยกันกับข้า ข้าก็จะปล่อยท่านออกมาดีหรือไม่?”
ฉู่หลีกวาดตามองไปที่นางอย่างเฉยเมย เมิ่งเสี่ยวชิงกล่าวอย่างน้อยอกน้อยใจเล็กน้อยว่า “คุณชายฉู่ ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะลงมือกับท่านจริง ๆ ความจริงแล้วท่าทางที่เมินเฉยที่ท่านทำกับข้า มันทำให้ข้าเสียใจมากเหลือเกิน”
“ท่านไม่รู้หรอก ว่าข้าชอบท่านมากจริง ๆ หลังจากที่ประลองกับท่านคราวนั้น ข้าก็ตกหลุมรักท่านอย่างลึกซึ้งไปแล้ว”
.
.