ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1917 เผ่าปีศาจบริสุทธิ์
มู่เฉียนซีจ้องมองไปทางฉู่หลีอย่างประหลาดใจเล็กน้อย “ศิษย์พี่หรือว่าท่านก็ใช่อย่างนั้นหรือ?”
“ข้าไม่ใช่ ร่างกายนี้ของข้าเป็นมนุษย์ แต่ทว่าก่อนหน้านี้ ข้าเป็นเผ่าปีศาจบริสุทธิ์ และยังสามารถใช้พลังของปีศาจได้ด้วย” ฉู่หลีกล่าวตอบ
“ศิษย์พี่ ความจำของท่านฟื้นกลับมาแล้วหรือ?”
“มันยังไม่ได้ฟื้นกลับมาอย่างสมบูรณ์ และยังไม่แน่ใจว่ามังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างอยู่ที่ใดกันแน่? แต่ก็ใกล้แล้วล่ะ ศิษย์น้องรออีกหน่อยเถอะ!” ฉู่หลีกล่าวตอบ
“อื้ม!”
หลังจากที่มู่เฉียนซีและฉู่หลีร่วมมือกัน ห้องโถงที่เหลืออีกสองสามห้องของมู่เฉียนซีนั้นก็เสร็จสมบูรณ์ไปอย่างราบรื่น
และต่อไปมู่เฉียนซีก็ต้องขึ้นไปยังชั้นที่แปด แต่ทว่าฉู่หลียังเหลือห้องโถงใหญ่อีกสองสามห้องที่ยังไม่ได้บุกเข้าไป ดังนั้นจึงต้องการที่จะบุกต่อไป
“ศิษย์น้องรอข้าก่อนนะ!”
หลังจากนั้นฉู่หลีก็ไปฝ่าด่านอย่างไม่พอใจเท่าไรนัก
เหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ข้างนอกในเวลานี้ต่างก็ตื่นตกใจกันหมดแล้ว “มีคนสามารถผ่านด่านทดสอบสิบแปดห้องโถงของชั้นที่เจ็ดได้แล้ว อีกทั้งยังไปยังชั้นที่แปดแล้วด้วย!”
“พระเจ้า! ที่จริงแล้วเป็นใครกัน? เหตุใดถึงสามารถทำได้?”
“……”
แต่ละคนต่างก็เผยสีหน้าที่เหลือเชื่อออกมา และยากที่จะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงไปได้
ต่อมา ก็มีคนกล่าวอย่างตกใจขึ้นมาอีกว่า “มีคนขึ้นไปได้อีกคนแล้วหรือ?”
มู่เฉียนซีกำลังรอฉู่หลีอยู่ที่ชั้นที่แปด และผลก็คือ มีร่างสีแดงร่างหนึ่งร่อนลงมาอยู่ในระดับสายตาของนาง
“ห้องโถงสิบแปดห้องนั้นช่างยุ่งยากจริง ๆ ในที่สุดก็ผ่านมันทั้งหมดมาได้อย่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว”
ในตอนที่พร่ำบ่นอยู่นั้น นางก็ได้เห็นร่างที่คุ้นเคย หลังจากนั้นจึงกล่าวอย่างดีอกดีใจว่า “น้องซีเอ๋อร์ น้องซีเอ๋อร์ เจ้ากำลังรอข้าอยู่อย่างนั้นหรือ?”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ข้ากำลังรอศิษย์พี่อยู่! แล้วก็รอเจ้าไปด้วย”
เหยียนหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ฮ่า ฮ่า ฮ่า! คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าหมอนั่นจะยังไม่มา คงไม่ใช่ว่าไม่ผ่านหรอกนะ! เมื่อถึงเวลาข้าก็จะสามารถใช่เหตุผลนี้ในการแก้ไขลำดับอัจฉริยะได้ และสุดท้ายอันดับที่สองก็จะกลายเป็นของข้า”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ในตอนที่ข้าบุกฝ่าไปได้มากกว่าครึ่ง ศิษย์พี่กลับไม่ได้เคลื่อนไหวใด ๆ เลย นั่นก็เพราะกำลังรอข้าอยู่ เช่นนั้นถึงได้ล่าช้าไปเล็กน้อย”
เหยียนรู้สึกโมโหขึ้นมา “อันที่จริงทำอย่างนั้นก็ได้นี่นา! ทำไมข้าถึงคิดไม่ได้กันนะ แม้ว่าการทำเช่นนี้จะช้าไปเสียหน่อยแต่ก็สามารถรอและทะลวงด่านไปด้วยกันกับน้องซีเอ๋อร์ได้ ตอนที่ข้าฝ่าด่านมาเพียงลำพังมันช่างน่าเบื่อมากเหลือเกิน”
“ก็เจ้ามันโง่!” น้ำเสียงที่ราบเรียบเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังของเหยียน
คิดไม่ถึงว่าแม้ฉู่หลีจะใช้ความเร็วที่สูงที่สุดแล้ว แต่ก็ยังเหลือบททดสอบอีกหลายห้องเลยทีเดียว ดังนั้นเขาจึงใช้ความรุนแรงอย่างถึงที่สุดในการทะลวงผ่านด่านมา
“คนที่สาม นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีคนที่สาม”
“มีสามคนที่เข้าไปถึงชั้นที่แปด หรือว่าจะเป็นคนที่เข้าไปถึงชั้นเก้าสมบูรณ์ของศิลาจารึกหนานหลิงทั้งสามคนนั้นอย่าง มู่เฉินซี เหยียนเหลียนเจีย และก็ฉู่หลี!”
“นั่นมันก็ไม่แน่หรอก เพราะคุณหนูใหญ่ของตระกูลข้ายังไม่ออกมาเลย บางทีอาจจะเป็นคุณหนูของพวกข้าที่ขึ้นไปก็ได้”
“ศิษย์พี่ใหญ่ตู๋กูล่างแห่งสำนักหลางซิงของพวกข้าก็ยังไม่ออกมา ศิษย์พี่ของพวกเราต้องไต่ขึ้นไปถึงชั้นแปดได้อย่างราบรื่นแน่”
“……”
คนมากมายที่อยู่ด้านนอกต่างพากันคาดเดา แต่ในเวลานี้มู่เฉียนซี และพรรคพวกได้ไต่ขึ้นมาถึงชั้นที่แปดแล้ว ชั้นที่แปดนี้ดูจะเงียบสงบและดูเหมือนว่าจะไม่อันตราย แต่ทว่ากลับไม่มีสิ่งของอื่นเลย
หลังจากที่พวกเขาวนรอบชั้นที่แปดรอบหนึ่งโดยไร้เบาะแส ทันใดนั้นทั่วทั้งท้องฟ้าของชั้นที่แปดก็เปลี่ยนกลายเป็นสีแดงเข้ม ต่อมาก็มีลูกบอลเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนลอยออกมาจากอากาศ
“น้องซีเอ๋อร์ ระวัง!”
ตูมมมม!
ลูกบอลเพลิงเหล่านี้ตกลงมาจากท้องฟ้าราวกับฝนห่าใหญ่อย่างไรอย่างนั้น และเมื่อตกลงบนพื้นก็เกิดหลุมขนาดใหญ่นับไม่ถ้วน
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!
พวกเขาหลบหลีกอย่างรวดเร็วพลางสกัดกั้นมันเอาไว้ การโจมตีของของเล่นเหล่านี้ไม่แข็งแกร่งเท่าไรนัก ดังนั้นจึงไม่อาจสร้างความเสียหายแก่พวกเขาได้
แต่ทว่า…
เหยียนกล่าวว่า “นี่มันไม่มีจุดสิ้นสุดจริง ๆ จุดประสงค์ของการทดสอบในชั้นนี้คืออะไรกันแน่! จะให้หลบลูกบอลเพลิง ก็ไม่เห็นมันจะมีความท้าทายเลยแม้แต่น้อย”
มู่เฉียนซีตอบกลับไปว่า “บางทีอาจจะดูว่าจะสามารถยืนหยัดไปได้นานแค่ไหนก็ได้!”
เมื่อฉู่หลีต้องเผชิญหน้ากับลูกไฟนี้ เขาก็ได้ใช้พลังปีศาจแห่งความมืดนั้นห่อหุ้มร่างกายของตนเองแล้วนั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง โดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน และลูกบอลเพลิงเหล่านั้นก็ไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้
เขาถามว่า “ศิษย์น้อง ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่?”
มู่เฉียนซีตอบว่า “ไม่เป็นไร ข้ารับมือได้!”
ลูกบอลเพลิงนี้ไม่แข็งแกร่งเลยจริง ๆ แต่ทว่าหากโจมตีเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ก็น่ารำคาญมากอยู่ดี ทั้งยังหาต้นตอของมันไม่เจออีกด้วย
หลังจากที่เวลาผ่านไปนานมากแล้ว แต่ลูกบอลเพลิงเหล่านี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเสียที มู่เฉียนซีกล่าวว่า “หรือว่าจะไม่เกี่ยวกับเวลาที่ต้องยืนหยัด เช่นนั้นจะต้องทำอะไรกันแน่ล่ะ?”
เหยียนกล่าวว่า “อย่างไรก็มาจนถึงชั้นแปดแล้ว ข้าไม่อาจยอมแพ้ไปทั้งอย่างนี้ได้หรอก ข้าไม่เชื่อว่ามันจะชั่วร้ายขนาดนั้นแน่นอน!”
เหยียนพุ่งทะยานขึ้นไปกลางอากาศ และเมื่ออยู่กลางอากาศแล้วกลับยิ่งอันตรายมากขึ้นไปอีก
ในเวลานี้ เขาจำเป็นที่จะต้องใช้พลังวิญญาณธาตุอัคคีไปสกัดกั้นมันเอาไว้ ด้วยการโจมตีไฟด้วยไฟ
ปัง ปัง ปัง!
ทันใดนั้นเปลวเพลิงนับไม่ถ้วนก็สว่างวาบขึ้นกลางอากาศ
เหยียนใช้พลังวิญญาณธาตุอัคคี ขณะที่มู่เฉียนซีก็ระเบิดพลังวิญญาณธาตุอัคคีออกมาเช่นกัน นางใช้พลังวิญญาณธาตุอัคคีห่อหุ้มลูกบอลเพลิงเหล่านั้นขึ้นมา และทำให้พลังของพวกมันกระจายหายไป
การทำเช่นนี้ทำให้รู้สึกสบายมากขึ้นไม่น้อย แต่นางกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าลูกบอลเพลิงเหล่านี้ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งความเร็วยังเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เหยียน มีความเปลี่ยนแปลงแล้ว! ใช้ธาตุอัคคีควบคุมลูกบอลเพลิงเหล่านี้”
ในสถานการณ์ที่ไร้เบาะแสเลยแม้แต่น้อยเช่นนี้ การมีความเปลี่ยนแปลงย่อมดีกว่าไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลย อย่างน้อยก็สามารถทำให้นางได้ค้นพบกฎเกณฑ์บางอย่างได้
เหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ได้ ข้าจะเชื่อฟังน้องซีเอ๋อร์”
พวกเขาทั้งสองคนมีความคุ้นเคยต่อการควบคุมธาตุอัคคีเป็นอย่างดี การจัดการกับลูกบอลเพลิงเหล่านี้จึงง่ายดายเป็นอย่างมาก เมื่อรอให้จำนวนลูกบอลเพลิงเหล่านี้ถึงจุดสูงสุด ทั้งมู่เฉียนซีและเหยียนก็เริ่มที่จะรับมือกับสิ่งเหล่านี้ไม่หวาดไม่ไหวแล้ว
แต่ทว่า ด้วยความพยายามเพียงชั่วพริบตา พวกเขาก็ได้มาถึงอีกสถานที่แห่งหนึ่งเสียแล้ว
เหยียนกล่าวอย่างตื่นตะลึงเล็กน้อย “นี่คือชั้นที่เก้า พวกเรามาถึงชั้นที่เก้าแล้ว”
“น่าจะเป็นชั้นที่เก้าไม่ผิดแน่!”
“ผู้อาวุโส ท่านผู้อาวุโส ชั้นที่เก้าในเวลานี้มีคนขึ้นไปถึงสองคนแล้ว ชั้นที่เก้า…”
“จริงด้วย! มีคนขึ้นไปถึงชั้นที่เก้าแล้วจริง ๆ มองไม่ผิดแน่!”
“ที่ชั้นเก่ามีคลังสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของหอหนานหลิง แต่กลับไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นมาก่อน ตอนนี้คลังสมบัตินั้นในที่สุดก็จะปรากฏแก่สายตาชาวโลกแล้ว”
เหยียนบ่นพึมพำว่า “นี่คือชั้นเก้าที่มีชื่อเสียงอย่างนั้นหรือ? ได้ยินมาว่าสมบัติที่ล้ำค่าของหอหนานหลิงอยู่ที่ชั้นเก่าแห่งนี้ แล้วเหตุใดข้าถึงไม่เห็นอะไรเลยล่ะ!”
จากนั้นก็มีเสียงที่ดังกึกก้องเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “พวกเจ้ายังไม่ผ่านด่านของชั้นที่เก้าเลย แน่นอนว่าจะต้องไม่เห็นคลังสมบัตินั้นอยู่แล้ว”
มู่เฉียนซีถามว่า “ท่านผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าบททดสอบของชั้นที่เก้าคือสิ่งใดอย่างนั้นหรือ?”
“การทดสอบของชั้นที่เก้านี้แน่นอนว่าต้องเป็น การที่พวกเจ้าต้องเรียนรู้ทักษะขั้นหนึ่งของข้าก่อน เช่นนั้นถึงจะได้รับการยอมรับจากข้าได้”
เหยียนกล่าวว่า “ขอบังอาจถามว่าทักษะของท่านผู้อาวุโสคืออะไรอย่างนั้นหรือ?”
ผู้อาวุโสท่านนี้กล่าวว่า “สามารถผ่านสี่ชั้นแรกมาได้ หมายความว่าคนที่เข้ามานั้นมีความตั้งใจที่แรงกล้า สามารถผ่านชั้นที่ห้าและชั้นที่หกมาได้ หมายความว่าพลังในการต่อสู้และความสามารถไม่เลว ผ่านชั้นที่เจ็ดมาได้ หมายความว่ามีความสามารถในการนำอาวุธต่าง ๆ มาดัดแปลงไว้ใช้งาน และมีความเฉียบคมที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอาวุธทั้งสิบแปดชนิด สามารถผ่านชั้นที่แปดมาได้ หมายความว่าสามารถที่จะควบคุมธาตุอัคคีได้ถึงจุดที่สมบูรณ์แบบแล้ว”
“ด้วยเหตุผลนี้ หรือว่าพวกเจ้าจะยังเดาไม่ออก ว่าทักษะของผู้อาวุโสเช่นข้าคืออะไร?”
เหยียนกำลังครุ่นคิด แต่ทว่ามู่เฉียนซีกลับคิดออกแล้ว
“ผู้อาวุโสเป็นนักหลอมอาวุธ!”
“ถูกต้อง!” ผู้อาวุโสตอบอย่างพึงพอใจมาก
เหยียนกล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโส ท่านต้องการให้ข้าเรียนหลอมอาวุธหรือ ขะ…ข้าไม่มีพรสวรรค์เลยนะ! แล้วก็ไม่อยากเรียนด้วย”
“น้องซีเอ๋อร์ของข้าก็เป็นเพียงนักปรุงยา และไม่เคยเรียนหลอมอาวุธมาก่อนเช่นกัน! ดูท่าการไต่มาถึงชั้นที่เก้าในครานี้ พวกข้าจะมาอย่างเปล่าประโยชน์เสียแล้ว”
.
.