ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1924 มู่หรงอาละวาด
วันรุ่งขึ้น มู่เฉียนซีได้สอบถามถึงที่อยู่ของมู่หรงโช่ว และคนในสมาคมก็รีบพานางไปอย่างกระตือรือร้น ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่นานก็มาถึงแล้ว
“แม่นางมู่ ศิษย์พี่มู่หรงไม่ชอบให้มีคนไปรบกวนเขา เช่นนั้นข้าขอไม่เข้าไปก็แล้วกัน” ศิษย์น้องผู้นี้กล่าวอย่างนอบน้อม
“อื้ม!”
มู่เฉียนซีเดินเข้าไปข้างใน และค้นพบว่ามู่หรงโช่วไม่แม้แต่จะปิดประตูห้องเลยด้วยซ้ำ
“มู่หรงโช่ว!”
“มู่หรง…”
ประตูได้ถูกลมพัดเปิดออก มู่เฉียนซีมองไปเห็นว่ามู่หรงโช่วนอนหลับอยู่บนโต๊ะหนังสือ โดยมีรูปภาพและหนังสือต่าง ๆ ตกเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น
มู่เฉียนซีเห็นว่าสิ่งของที่วาดอยู่บนรูปภาพนั้นก็คือขนปีกหงส์ทมิฬที่นางหลอมออกมาเมื่อวานนี้ นี่เขากำลังศึกษาว่าขนปีกหงส์ทมิฬหลอมออกมาอย่างไรเช่นนั้นหรือ?
การแสดงออกของเขาเมื่อวานนี้เรียบเฉยเป็นอย่างมาก แต่กลับคาดไม่ถึงว่าเขาจะใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถศึกษาอยู่ที่นี่ ถึงอย่างไรก็น่าเสียดายที่ไม่อาจศึกษาวิจัยออกมาได้
ที่นางสามารถหลอมออกมาได้ นอกจากที่เคยเห็นภาพวาดที่สมบูรณ์แบบแล้ว นางยังได้รับมรดกจากผู้อาวุโสนักหลอมอาวุธท่านนั้นด้วย
พรสวรรค์ในการหลอมอาวุธของมู่หรงโช่วนั้นยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก แต่ทว่าก็ยังไม่เพียงพอที่จะศึกษาอาวุธลับระดับนี้ได้
“ใครน่ะ?” เมื่อค้นพบว่ามีคนบุกรุกเข้ามา ก็มีเสียงที่ดุร้ายเสียงหนึ่งดังขึ้น
และทันในนั้น คลื่นความร้อนก็ได้พุ่งเข้าไปจู่โจมมู่เฉียนซีจากทุกหนทุกแห่ง ซึ่งมันคือการโจมตีด้วยพลังธาตุอัคคีของมู่หรงโช่วนั่นเอง
ร่างสีม่วงสว่างวาบขึ้น และสามารถหลบหลีกการโจมตีนี้ได้ แต่ทว่ารูปภาพที่อยู่บนพื้นกลับไม่ได้โชคดีเช่นนั้น
พรึ่บ!
ทันใดนั้นกระดาษที่อยู่บนพื้นก็ติดไฟขึ้นมา และวิกฤตก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ผลก็คือพวกมันทั้งหมดถูกเผาไปจนสิ้นในทันที
การหลอมอาวุธอย่างต่อเนื่องทำให้สูญเสียพลังวิญญาณไปเป็นอย่างมาก บวกกับเขาได้พยายามคำนวณหลักการในการหลอมขนปีกหงส์ทมิฬอยู่ตลอดทั้งคืน เป็นผลทำให้มู่หรงโช่วหลับไปเพราะความเหน็ดเหนื่อยและในเวลานี้ก็ถูกปลุกขึ้นมาด้วยกลิ่นควันไฟ
“แค่ก แค่ก แค่ก!”
เมื่อเห็นผลงานที่เขามุมานะทำอยู่ทั้งคืนถูกเผาจนไม่เหลือซาก และทั่วทั้งห้องหนังสือต่างก็ถูกเผาไปแล้ว
เขาจึงออกคำสั่งว่า “ยังจะตะลึงอะไรกันอยู่เล่า? ยังไม่รีบมาช่วยกันดับไฟอีก! หนังสือที่ข้ารวบรวมไว้จะถูกเผาไปทั้งหมดแล้ว”
มีร่างสองสามร่างโผล่ออกมาจากในที่ลับ ความสามารถของพวกเขาน่าประทับใจเป็นอย่างมาก อีกทั้งหนึ่งในนั้นยังมีจอมภูตพลังธาตุวารีอยู่อีกด้วย และเพียงไม่นานก็สามารถดับไฟได้แล้ว
แต่ทว่าตอนนี้สีหน้าของมู่หรงโช่วเปลี่ยนเป็นดำคล้ำขึ้นมาแล้ว เขาจ้องไปที่มู่เฉียนซีแล้วกล่าว “ภาพวาดของข้า!”
“เจ้าจะมาคำรามอะไรใส่ข้าเล่า? เป็นเจ้าเองที่เผาพวกมัน ข้าไม่ได้เผาเสียหน่อย” มู่เฉียนซีกล่าว
“ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามากัน?”
“หรือว่าที่อยู่ของมู่หรงโช่วถือเป็นสถานที่ต้องห้าม เข้ามาไม่ได้อย่างนั้นหรือ? ข้าจะมาขอคำแนะนำจากเจ้าสักหน่อย ไม่ได้เลยหรืออย่างไร?”
“ตอนนี้เจ้าไสหัวออกไปจากอาณาเขตของข้าได้หรือยัง?”
“เจ้าไสหัวให้ดูก่อนสิ!”
มู่หรงโช่วมักจะมีใจที่กระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่งต่อการหลอมอาวุธ และเขาก็อารมณ์ไม่ดีมากนักที่งานที่เขาพยายามทำมาตลอดทั้งคืนถูกทำลายไปเช่นนี้ ซึ่งเขาใกล้ที่จะระเบิดเต็มทีแล้ว
พลังธาตุอัคคีที่เป็นราวกับพยัคฆ์ก็มิปานจู่โจมเข้าใส่มู่เฉียนซี นางจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “กำลังคิดที่จะออกกำลังขยับแข้งขยับขาอยู่พอดีเลย! ข้ายินดีมากที่จะเป็นเพื่อนเล่นกับเจ้า”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังธาตุอัคคีที่รุนแรงถึงเพียงนี้ มู่เฉียนซีก็เพียงหมุนเวียนพลังธาตุวายุเพื่อที่จะหลบหลีกมันอย่างแผ่วเบา
มู่หรงโช่วคือผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับเก้าขั้นสูงสุดคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์ทางด้านการหลอมอาวุธหรือพรสวรรค์ทางด้านการฝึกฝน เขาก็อยู่ในระดับสูงทั้งนั้น
ตูมมม!
เมื่อมีความเคลื่อนไหวมาจากทางด้านของมู่หรงโช่ว คนทางด้านนี้จำนวนมากจึงเริ่มสังเกตเห็นและเริ่มให้ความสนใจกับการความเคลื่อนไหวนั้น
“คิดไม่ถึงเลยว่าศิษย์พี่มู่หรงกับแม่นางมู่จะต่อสู้กัน พวกเขาเริ่มต่อสู้กันแล้ว!”
“ถึงแม้ว่าศิษย์พี่มู่หรงจะมีอารมณ์หงุดหงิดมากหากถูกรบกวนตอนกำลังหลอมอาวุธ ทว่าเวลาอื่นก็สามารถเข้ากันได้เป็นอย่างดี เช่นนั้นจะต่อสู้กับแม่นางมู่ได้อย่างไร”
“ดูท่าแล้วเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้จริง ๆ สินะ!”
“คำนี้ก็ไม่ถูกต้อง ถึงเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ เว้นแต่ว่าจะเป็นตัวผู้หนึ่งตัวกับตัวเมียหนึ่งตัว และศิษย์พี่มู่หรงกับแม่นางมู่ก็เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง จริง ๆ ไม่ควรที่จะต่อสู้กันอย่างดุเดือดเช่นนี้!”
“เฮ้อ! หวังว่าทั้งสองคนจะไม่ได้รับบาดเจ็บนะ”
ปัง ปัง ปัง!
ทักษะการโจมตีของมู่หรงโช่วนั้นแข็งแกร่งมาก ฉะนั้นมู่เฉียนซีจึงเลือกที่จะไม่ต่อสู้แบบตัวต่อตัวกับเขา และทำเพียงแค่หลบการโจมตีของเขาก็พอแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “มู่หรงโช่ว เจ้าเหนื่อยหรือยัง?”
เดิมทีมู่หรงโช่วก็ไม่ได้โมโหถึงเพียงนั้นแล้ว แต่ทว่าเมื่อได้ยินมู่เฉียนซีถามอย่างเกรียจคร้านว่าเหนื่อยหรือยังเพียงคำเดียว เขาก็อาละวาดมากขึ้นไปอีก
ปังง!
เมื่อมาถึงตอนสุดท้าย แน่นอนว่ามู่หรงโช่วจะต้องเหนื่อยล้าเต็มทีแล้ว อีกทั้งยังใช้พลังวิญญาณไปจนหมดแล้วด้วย
เขามองไปทางมู่เฉียนซี ด้วยสายตาที่ราวกับจะฆ่าคนได้อย่างไรอย่างนั้น
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ข้าจะบอกว่า สิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่? แม้ว่าจะพยายามตลอดทั้งคืน แต่ทั้งหมดเหล่านี้ก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี! หากเจ้าต้องการที่จะรู้ว่าขนปีกหงส์ทมิฬหลอมออกมาได้อย่างไร เจ้าสามารถที่จะขอคำแนะนำจากข้าได้!”
มู่หรงโช่วกล่าวว่า “หากข้าขอคำแนะนำจากเจ้า เจ้าจะบอกข้าอย่างนั้นหรือ?”
มู่หรงโช่วรู้เป็นอย่างดี มันไม่เคยมีบันทึกอาวุธลับที่วิเศษเช่นนี้มาก่อน และบนโลกใบนี้ยังมีเพียงนักหลอมอาวุธเพียงไม่กี่คนที่สามารถหลอมออกมาได้ อีกทั้งมันยังมีพลังสังหารที่แข็งแกร่งมาก หากมันถูกนำไปใช้ในบางสถานที่ ก็อาจจะให้ผลกระทบอย่างคาดไม่ถึงเลยก็ได้
สิ่งของที่ดีเช่นนี้ จะบอกออกมาตามอำเภอใจได้อย่างไร
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หากเป็นคนทั่วไปแน่นอนว่าข้าไม่บอกอยู่แล้ว แต่หากกลายเป็นคนของข้า ข้าจะบอกเจ้าก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย!”
ทันทีที่คนของสมาคมหลอมอาวุธมาถึงและได้ยินคำพูดนี้ของมู่เฉินซี พวกเขาต่างก็พากันสับสนขึ้นมาเล็กน้อย!
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? แม่นางมู่ชอบศิษย์พี่มู่หรงอย่างนั้นหรือ?
“เจ้าพูดอะไรน่ะ?” สายตาของมู่หรงโช่วลุกโชนขึ้นมาทันที
“นี่เจ้ากำลังเข้าใจอะไรผิดอยู่หรือเปล่า? ข้าบอกว่า หากเจ้ากลายมาเป็นลูกศิษย์ของข้า ข้าก็จะบอกเจ้า!” มู่เฉียนซีกล่าวพลางหัวเราะเบา ๆ ออกมา
“นับถือเจ้าเป็นอาจารย์หรือ ไม่มีทางเสียหรอก!” มู่หรงโช่วกัดฟันกล่าว และทันใดนั้นเขาก็กระโดดและพุ่งตัวตรงไปทางมู่เฉียนซี ผลก็คือเขาอ่อนเพลียเกินไป จนเกือบที่จะล้มลงไปอยู่แล้ว
“คุณชาย!” ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาพยุงเขาเอาไว้ แต่ทว่ายังคงมองไปทางมู่เฉียนซีอย่างโกรธเคืองเป็นอย่างมาก
สำหรับทักษะการหลอมอาวุธของมู่หรงโช่ว เขามีความมั่นใจมากมาโดยตลอด และมีน้อยคนนักที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา การแข่งขันที่เสมอกับมู่เฉินซีเมื่อวานนี้ได้กระตุ้นจิตวิญญาณในการต่อสู้ของเขาขึ้นมา บวกกับขนปีกหงส์ทมิฬนั่นด้วย
วันนี้ทันทีที่ถูกมู่เฉินซียั่วยุอีกครั้ง อารมณ์ที่รุนแรงนี้ของเขาก็ไม่อาจที่จะระงับมันเอาไว้ได้จริง ๆ
มู่เฉียนซีเดินเข้าไปใกล้มู่หรงโช่ว แล้วยิ้มอย่างชั่วร้ายพลางกล่าวว่า “ศิษย์ที่รัก เจ้าพิจารณาดูให้ดีเถิด! แต่ว่าตอนนี้เจ้าไปพักผ่อนสักหน่อยเถอะ”
มู่หรงโช่วกล่าวว่า “จะ…เจ้าพูดอีกรอบซิ!”
มู่หรงโช่วที่อ่อนเปลี้ยกระโจนออกไปราวกับเสือดาวอย่างไรอย่างนั้น คิดอยากที่จะพุ่งเข้าไปกัดที่คอของมู่เฉียนซี แต่ผลก็คือเขารู้สึกง่วงนอนขึ้นมากะทันหัน และดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็ปิดลงอย่างฉับพลัน
“เจ้าทำอะไรคุณชายของพวกเราน่ะ?”
นี่เป็นแรงกดดันในการจู่โจมเป็นของระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ แต่มู่เฉียนซียังคงยืนอยู่เบื้องหน้าของพวกเขาอย่างนิ่งสงบ “ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย เพียงแค่ทำให้เขาหลับไปเท่านั้นเอง ถึงอย่างไรเขาที่โมโหเสียขนาดนี้แล้ว แม้ว่าข้าจะไปแล้วแต่เขาคงไม่ยอมที่จะพักผ่อนดี ๆ หรอก”
หลังจากที่พวกเขาตรวจสอบร่างกายของมู่หรงโช่วแล้ว ก็ค้นพบว่ามู่หรงโช่วเพียงแค่นอนหลับไปเท่านั้น และไม่มีสภาพอย่างอื่นอีก
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “อย่าได้เป็นกังวลขนาดนั้น หรือคิดว่าข้าจะทำร้ายลูกศิษย์อันล้ำค่าของข้าอย่างนั้นหรือ”
“แม่นางมู่ ท่านโปรดเห็นใจสักหน่อย คุณชายมักจะมั่นใจในตนเองเสมอ บนโลกใบนี้คาดว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เขาจะเรียกว่าอาจารย์อย่างเต็มใจได้” ผู้อาวุโสระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ท่านหนึ่งกล่าว
มู่เฉียนซีกล่าวพร้อมกับหัวเราะว่า “พรืดด! ผู้อาวุโสทุกท่านเป็นเหมือนเขาเลย ไม่คิดเลยว่าจะเชื่อจริง ๆ! ข้าเพียงแค่ล้อเขาเล่นเท่านั้นเอง ข้ามีความสามารถมากแค่ไหนข้าเองย่อมรู้ดีแก่ใจ และก็ยังไม่มีความสามารถพอจนถึงขั้นสอนลูกศิษย์ได้ โดยเฉพาะกับลูกศิษย์ที่เป็นอัจฉริยะอย่างมู่หรงโช่วยิ่งแล้วใหญ่”
.
.