ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1925 สมาคมการค้าเฮยอวิ๋น
“แม่สาวน้อยผู้นี้นี่ อารมณ์ของคุณชายไม่ดีจริง ๆ แล้วเจ้ายังมายั่วยุเขาเช่นนี้อีก…เฮ้อ!” ผู้อาวุโสหลายท่านกล่าวอย่างทอดถอนใจ
“พวกท่านไม่ต้องกังวล! ข้าไม่กลัวเขาหรอก! พาเขาไปพักผ่อนสักหน่อยเถอะ! คาดว่าคงจะตื่นตอนหัวค่ำนู้นล่ะ” มู่เฉียนซีกล่าว
“อื้ม!”
และมู่เฉียนซีก็กำลังจะจากไปเช่นกัน เพียงแต่ด้านนอกในเวลานี้มีคนรออยู่มากมาย และพวกเขาต่างก็มองมู่เฉินซีอย่างเลื่อมใส
นางสามารถที่จะเผชิญหน้ากับศิษย์พี่มู่หรงตอนกำลังเกรี้ยวกราดและออกมาโดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังกล้าพูดจาไร้สาระอย่างเรื่องที่ต้องการให้ศิษย์พี่มู่หรงไปเป็นลูกศิษย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่แม้แต่ผู้นำสมาคมก็ยังไม่กล้าที่จะพูดเช่นนี้ออกมาเลย แต่ทว่าแม่นางมู่กลับทำมันลงไปแล้ว
ช่างยอดเยี่ยมมากเลยจริง ๆ!
“เช่นนั้น แม่นางมู่ เจ้าพึ่งจะมาที่นี่เป็นครั้งแรก อยากที่จะออกไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อยหรือไม่!”
“สมาคมนักหลอมอาวุธแห่งนี้สำหรับเจ้าน่าจะอันตรายเกินไปหน่อย หรือว่าเจ้าจะลี้ภัยออกไปที่อื่นก่อน”
“หากศิษย์พี่ตื่นขึ้นมา น่าจะต้องโมโหมากกว่าเดิมเป็นแน่”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ก็ดีเหมือนกัน! เช่นนั้นศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิงนำทางให้ข้าหน่อยได้หรือไม่”
บรรยากาศภายในสมาคมนักหลอมอาวุธค่อนข้างที่จะดีมาก และพวกเขาเหล่านั้นก็กระตือรือร้นมากเลยทีเดียว “ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ไปหาคนที่หนังเหนียวมาสักสองสามคนเถอะ เมื่อถึงตอนที่ศิษย์พี่มู่หรงจะไล่ฆ่าก็ยังพอสามารถขัดขวางไว้ได้สักหน่อย”
“ใช่แล้ว ใช่ ๆ!”
พวกเขาได้แนะนำคนที่ดูหนังเหนียว แข็งแกร่งและดูมีพละกำลังมากสองสามคนมาเป็นผู้นำทางให้กับมู่เฉียนซี และหลังจากนั้นมู่เฉียนซีก็ออกจากสมาคมนักหลอมอาวุธไป
สมาคมนักหลอมอาวุธตั้งอยู่ที่เมืองเจี้ยนเหมินซึ่งเป็นเมืองหลักในดินแดนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของราชวงศ์ตงหวง มู่เฉียนซีจึงกล่าวว่า “ศิษย์พี่ทุกท่าน พาข้าไปกินข้าวที่ร้านอาหารที่ทำอาหารอร่อยและแพงที่สุดของที่นี่ก่อนค่อยคุยกัน”
“นั่นมัน…สิ่งนี้มันจะไม่ทำให้แม่นางมู่สิ้นเปลืองมากเกินไปอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่เป็นไรเลย!”
แต่เมื่อพวกเขาครุ่นคิดดูแล้ว มันก็ใช่ ในหนึ่งวันนางสามารถหลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ตามใจชอบได้มากมายขนาดนั้น แน่นอนว่าแม่นางมู่ต้องไม่ขาดเงินอยู่แล้ว
มู่เฉียนซีลงมืออย่างใจกว้าง ศิษย์พี่เหล่านี้ต่างรู้สึกว่าเมื่อถึงตอนที่ศิษย์มู่หรงมาหาเรื่องแม่นางมู่ พวกเขาจะต้องขัดขวางอย่างแข็งขัน และไม่หวาดกลัวแน่นอน
เพียงแต่หลังมื้ออาหารมู่เฉียนซีก็หยิบเอาแผนที่แผ่นหนึ่งออกมา และให้พวกเขาแยกตัวกันออกไปในแต่ละพื้นที่
พวกเขาเขินอายเล็กน้อย มู่เฉียนซีจึงกล่าวว่า “หากแยกกันแล้วละก็ ตอนที่มู่หรงโช่วต้องการจะตามหาข้าจะได้ไม่ง่ายเท่าไรนัก และข้าก็ไม่ได้เปราะบางถึงขนาดนั้น”
“เช่นนั้นแม่นางมู่เจ้าก็ระวังด้วย หากมีคนที่มีตาแต่หามีแววไม่ต้องการที่จะมารังแกแม่นางมู่ ก็ให้นำเครื่องหมายสัญลักษณ์ของสมาคมนักหลอมอาวุธออกมา และถึงจะเป็นคนของสำนักเจี้ยนเหมินก็ไม่กล้าที่จะไม่ให้เกียรติ”
หลังจากที่แยกทางกับพวกเขาแล้ว มู่เฉียนซีก็ได้เริ่มกวาดของทั้งหมดมาจากร้านขายยาขนาดใหญ่ทั่วทั้งเมืองเจี้ยนเหมิน
แม่นางน้อยที่ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยเช่นนี้ แน่นอนว่าในปีนี้นางเป็นคนแรกที่พวกเถ้าแก่ร้านขายยาเหล่านี้ได้เห็น ซึ่งพวกเขาต่างก็ชื่นชอบเป็นอย่างมาก
หลังจากที่เดินซื้อของจากร้ายขายยาทั้งหมดเสร็จแล้วมู่เฉียนซีก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วคลี่ยิ้มกล่าวว่า “อื้ม! ดูเหมือนว่ามู่หรงโช่วน่าจะตื่นขึ้นมาแล้ว”
ในเมื่อซื้อสมุนไพรวิญญาณแล้ว มู่เฉียนซีก็เตรียมตัวที่จะไปซื้อพวกหินแร่เหล่านั้นด้วย
มีสมาคมการค้าหลอมอาวุธอยู่ที่นี่ด้วย และทั่วทั้งเมืองเจี้ยนเหมินมีสถานที่ที่ซื้อขายหินแร่อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
และสมาคมการค้าเฮยอวิ๋นก็เป็นสถานที่ที่มีหินแร่หลากหลายชนิดที่สุด เพียงแต่ว่าที่ชั้นหนึ่งกลับไม่มีของดีอะไรเลย
มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “เจ้าของร้าน หินแร่คุณภาพดี น่าจะอยู่ชั้นบนใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว! แต่ทว่าจะต้องเป็นนักหลอมอาวุธระดับสูงถึงจะเข้าไปในชั้นที่สองได้ ชั้นที่สองจะต้องเป็นนักหลอมอาวุธชั้นปฐพี ชั้นที่สามเป็นนักหลอมอาวุธชั้นสวรรค์ ชั้นที่สี่เป็นนักหลอมอาวุธขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เช่นนั้น ข้าลองขึ้นไปชั้นที่สี่ดูก่อนแล้วกัน!”
“เฮอะ! ไปชั้นที่สี่! เจ้าไม่ได้ยินหรือว่าต้องเป็นนักหลอมอาวุธขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ถึงจะขึ้นไปชั้นที่สี่ได้? อย่าบอกนะว่าเจ้าเป็นนักหลอมอาวุธขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์” ในเวลานี้ ก็มีเสียงหัวเราะเยาะเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“เถ้าแก่หลิน เจ้าอย่าได้ปล่อยให้หมาแมวเหล่านี้ขึ้นไปยังชั้นบนได้เด็ดขาดเลยนะ คนที่ไม่เจียมตัวนั้นมีมากมายเหลือเกิน”
หญิงสาวผู้งดงามที่อยู่ท่ามกลางบริวารที่รายล้อมคนหนึ่งเดินเข้ามา และเจ้าของร้านหลินคนนั้นก็กล่าวว่า “คุณหนูใหญ่ ท่านมาแล้ว”
“พวกเจ้าแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะปฏิเสธนักหลอมอาวุธขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์?” มู่เฉียนซีกล่าวพลางเลิกคิ้ว
“ไม่คิดเลยว่าจะบอกว่าตนเองเป็นนักหลอมอาวุธขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ เจ้าคิดว่าทุกคนต่างก็เป็นเหมือนพี่มู่หรงที่เป็นอัจฉริยะนักหลอมอาวุธที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้อย่างนั้นหรือ!” คุณหนูท่านนี้กล่าวเยาะเย้ย
ในเวลานี้ ก็มีคนที่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธเคืองเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“มู่เฉินซี ในที่สุดข้าก็หาเจ้าเจอเสียที”
ร่างสีดำสูงใหญ่ร่างหนึ่งพุ่งทะยานเข้ามา อีกทั้งยังมีแรงกดดันที่มหาศาลอีกด้วย
คุณหนูท่านนี้เมื่อเห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของคนที่อยู่เบื้องหน้าก็กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านพี่มู่หรง ท่านมาได้อย่างไร? นี่ท่านมาหาข้าอย่างนั้นหรือ?”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มมว่า “ศิษย์รัก ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว! มีคนมาดูถูกข้า เจ้าว่ามาซิว่าควรทำเช่นไรดี?”
“คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนมาดูถูกเจ้า คนที่ดูถูกเจ้าก็เหมือนกับดูถูกข้ามู่หรงโช่วผู้นี้เช่นกัน” ถึงอย่างไรพวกเขาก็ต่อสู้จนเสมอกัน คำพูดนี้ไม่ผิดแน่นอน
คนที่อยู่ในสมาคมการค้าแห่งนี้ต่างพากันตะลึงงันไป อะไรนะ? คุณชายมู่หรงรู้จักหญิงสาวผู้นี้ และหญิงสาวผู้นี้ก็เรียกคุณชายมู่หรงว่าลูกศิษย์ด้วยอย่างนั้นหรือ?
“มู่เฉินซี เจ้าพูดอะไรนะ? เจ้าลองพูดอีกครั้งซิ?”
“ศิษย์รัก นี่เจ้าชอบให้ข้าเรียกเจ้ามากขนาดนั้นเลยหรือ?”
เวลานี้เส้นเลือดบนกำปั้นของมู่หรงโช่วกำลังกระตุกอย่างบ้าคลั่ง แต่มู่เฉียนซีกลับกล่าวเตือนเขาอย่างเรียบเฉยว่า “อย่าใจร้อน อย่าใจร้อน พื้นที่ของตัวเจ้าเองจะทำลายก็ไม่เป็นไรหรอก? แต่ที่นี่เป็นพื้นที่ของสมาคมการค้าเฮยอวิ๋นนะ! หากเจ้าทำลายเจ้าก็จะต้องชดใช้มันด้วยเงิน”
มู่หรงโช่วจ้องมองมู่เฉินซีด้วยความโกรธเคือง และอยากที่จะลอกหนังมู่เฉินซีผู้นี้ออกมาทั้งเป็นจริง ๆ
มู่เฉียนซีเดินไปถึงข้างกายของมู่หรงโช่วแล้วกล่าวว่า “มู่หรงโช่ว วันนี้เจ้าเดินซื้อแร่หินเป็นเพื่อนข้า เมื่อกลับไปแล้วข้าจะบอกวัตถุดิบในการหลอมขนปีกหงส์ทมิฬทั้งหมดให้แก่เจ้า ข้อตกลงนี้เป็นเช่นไร?”
เมื่อได้ยินข่าวดีอย่างการสามารถได้รับรู้วัตถุดิบทั้งหมดเช่นนี้ ผู้ที่มีความกระตืนรือร้นต่อการหลอมอาวุธอย่างมู่หรงโช่วดูเหมือนว่าจะสงบลงทันที และไม่ได้สนใจคำยั่วยุก่อนหน้านี้ที่เอาแต่เรียกว่าลูกศิษย์ของมู่เฉินซีอีกแล้ว
เพราะสำหรับเขาแล้ว การประสบความสำเร็จในทักษะหลอมอาวุธที่สูงมากขึ้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น
เขากล่าวว่า “เจ้าแน่ใจว่าจะไม่โกหกข้าใช่หรือไม่?”
“แน่นอนว่าไม่มีทางอยู่แล้ว! ถึงอย่างไรข้าก็สู้เจ้าไม่ได้อยู่ดี!”
ในเวลานี้คุณหนูเฮยจ้องมองไปที่มู่เฉียนซีด้วยความโกรธเคือง ที่จริงแล้วหญิงสาวนางนี้เป็นใครกันแน่? เหตุใดคุณชายมู่หรงที่ได้ปฏิบัติต่อนางแตกต่างจากคนอื่นเช่นนี้
ปกติแล้วเขาแทบจะไม่มองคนอื่นเลยด้วยซ้ำ
มู่หรงโช่วกล่าวว่า “มู่เฉินซี ไม่ใช่ว่าเจ้าจะซื้อหินแร่อย่างนั้นหรือ? ยังยืนบื้ออยู่ทำไมล่ะ? ขึ้นไปชั้นที่สี่ ข้างล่างนี้ไม่มีของดีอะไรหรอก”
แค่คิดว่ารอหลังจากที่มู่เฉียนซีซื้อของเสร็จแล้ว เขาก็จะได้รับรู้ถึงส่วนประกอบที่เป็นวัตถุดิบในการหลอมขนปีกหงส์ทมิฬ หัวใจที่อยากจะกลับบ้านของมู่หรงโช่วนั้นก็พุ่งเร็วราวกับลูกศรแล้ว
มู่เฉียนซีตอบกลับว่า “ได้สิ!”
นางกำลังจะขึ้นไปข้างบนกับมู่หรงโช่ว แต่ปรากฏว่ากลับถูกคุณหนูเฮยเข้ามาขวางทางเอาไว้ คุณหนูเฮยกล่าวว่า “ท่านพี่มู่หรง ท่านสามารถขึ้นไปชั้นที่สี่ได้ แต่ทว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่นักหลอมอาวุธขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ ขึ้นไปไม่ได้”
“พี่ชาย! ข้ามีน้องสาวเพียงคนเดียวเท่านั้น และน่าจะไม่มืดมนเช่นเจ้าด้วย อย่าได้มานับญาติส่งเดช!” มู่หรงโช่วกล่าวอย่างเรียบเฉย
สีหน้าของคุณหนูเฮยก็ยิ่งมืดมนมากขึ้นไปอีก น้ำตาพลันเอ่อล้นอยู่บนดวงตาทั้งสองจนเหมือนกับว่านางจะร้องไห้ออกมาอย่างไรอย่างนั้น แม้นางจะคล้ำไปสักเล็กน้อย แต่ทุกวันก่อนออกจากบ้านนางก็เสียเวลาแต่งหน้าอย่างละเอียดอ่อนทุกครั้ง ผิวพรรณก็ดูเหมือนไข่ที่ปลอกแปลือกออกแล้วก็มิปาน แล้วท่านพี่มู่หรงพูดจาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?
“แล้วก็ ข้ามู่หรงโช่วต้องการจะพาใครสักคนขึ้นไปยังชั้นสี่ ดังนั้นก็คงไม่มีผู้ใดกล้ามาขวางทางข้าหรอก!” ในฐานะที่เป็นนักหลอมอาวุธอันดับหนึ่ง ทำให้มู่หรงโช่วเป็นคนป่าเถื่อนเช่นนี้ และสำหรับคนที่มาทำให้เขาต้องเสียเวลา แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้มีมารยาทดีถึงขนาดนั้นอยู่แล้ว
มู่หรงโช่วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ถอยไป!”
.
.