ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1927 คือมู่เฉินซี
ฉินเฟิงจู่กล่าวด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ “เมื่อเร็ว ๆ นี้ข้าได้อบรมสั่งสอนลูกศิษย์ที่หน่วยก้านดีมาได้คนหนึ่ง อีกไม่นานการแลกเปลี่ยนสุดยอดนักหลอมอาวุธของพวกเราสำนักเจี้ยนเหมินกับพวกผู้นำสมาคมนักหลอมอาวุธใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว ฉะนั้นพวกเจ้าอย่าได้ลืมเสียล่ะ”
“แน่นอนว่าไม่ลืมอยู่แล้ว ขอเพียงแค่โช่วเอ๋อร์ไปจะต้องฆ่าพวกเจ้าทั้งหมดได้ภายในพริบตาแน่นอน พวกเจ้าอย่าได้คาดหวังเกินไปนักเลย” ผู้นำสมาคมกล่าว
“หากพวกเจ้าให้มู่หรงโช่วออกโรง แน่นอนว่านั่นถือว่าพวกเจ้ารังแกผู้อื่น! ไม่ได้ ไม่ได้ ลูกศิษย์ของข้าอายุน้อยกว่ามู่หรงโช่วตั้งหลายเดือน ฉะนั้นคนที่เจ้าส่งมาจะต้องอายุน้อยกว่าหรือว่าอายุเท่ากับลูกศิษย์ของข้า ไม่เช่นนั้นมันคือการแกล้งกันชัด ๆ!” ฉินเฟิงจู่กล่าวอย่างไม่พอใจ
“คนอย่างเจ้านี่มียางอายหน่อยจะได้หรือไม่! ในงานแลกเปลี่ยนนักหลอมอาวุธคนของสมาคมนักหลอมอาวุธจำเป็นจะต้องส่งคนที่อายุน้อยกว่าคนของพวกเจ้าตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
“ถึงอย่างไรก็เอาตามนี้ พวกเจ้าจะปล่อยให้เจ้าหนูมู่หรงโช่วผู้นั้นมารังแกลูกศิษย์ของข้าไม่ได้ มิฉะนั้นพวกเราจะไม่ยอมรับ และจะถือว่าสมาคมนักหลอมอาวุธของพวกเจ้าพ่ายแพ้! อย่างไรเสียสุดยอดนักหลอมอาวุธอย่างพวกข้าก็ไม่ได้ชนะมานานมากแล้ว” นี่เป็นการก่อกวนของฉินเฟิงจู่อย่างแท้จริง
พวกเขาถูกมู่หรงโช่วจัดการอย่างโหดเหี้ยมจนน่าสังเวช แม้ว่ามันจะไร้ยางอายแต่พวกเขาก็ไม่อยากถูกมู่หรงโช่วทำร้ายอย่างโหดเหี้ยมอีกแล้ว
“พวกเจ้าคิดว่าสมาคมนักหลอมอาวุธของข้ามีโช่วเอ๋อร์เป็นอัจฉริยะเพียงคนเดียวอย่างนั้นหรือ? จะดูถูกสมาคมนักหลอมอาวุธของข้าเกินไปหน่อยแล้ว ไม่ให้โชว่เอ๋อร์ขึ้นแข่งก็ไม่ต้องให้เขาขึ้น ให้ลูกศิษย์ของสุดยอดนักหลอมอาวุธของพวกเจ้าล้างคอรอให้สะอาดและรออัจฉริยะน้อยของสมาคมนักหลอมอาวุธของข้าไปจัดการได้เลย!” ผูู้นำสมาคมกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจเป็นอย่างมาก
“ตาเฒ่า การที่มั่นใจมากเกินไป เมื่อถึงเวลานั้นอาจจะถูกจัดการอย่างเหี้ยมโหดได้นะ เจ้าเตรียมตัวร้องไห้ได้เลย!” รอยยิ้มที่ชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉินเฟิงจู่
หลังจากที่สนทนาเรียบร้อยแล้ว ฉินเฟิงจู่ก็จากไปด้วยความพึงพอใจเป็นอย่างมาก
ผู้นำสมาคมจ้องมองไปที่แผ่นหลังของพวกเขาแล้วหัวเราะขึ้นมา “ไม่ได้ปล่อยข่าวให้หลุดออกไป และข่าวของพวกเขาไม่เร็วเท่าไรนัก คาดว่าคงจะยังไม่รู้ว่าสมาคมนักหลอมอาวุธของข้ามีอัจฉริยะตัวน้อยที่วิปลาสเหมือนกับมู่หรงโช่วเพิ่มมาอีกคนสินะ!”
“ไปเถอะ! พวกเราไปหามู่เฉินซีแล้วไปปรึกษากับแม่สาวน้อยผู้นั้นกันเถอะ ถึงครั้งนี้โช่วเอ๋อร์จะไม่ได้ออกโรง แต่พวกเขาก็จะต้องพ่ายแพ้อย่างยับเยินอีกแน่นอน”
มู่เฉียนซีจ้องมองผู้นำสมาคมที่ดูมีชีวิตชีวาพลางกล่าวว่า “แข่งขันหลอมอาวุธกับสุดยอดนักหลอมอาวุธของสำนักเจี้ยนเหมินหรือ?”
“ใช่แล้ว!”
“หากพูดตามเหตุผลต้องให้มู่หรงโช่วไปแข่งถึงจะถูก เหตุใดต้องเป็นข้าด้วยเล่า?” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
“เมื่อตอนที่ลูกศิษย์ของสุดยอดนักหลิมอาวุธเหล่านั้นขึ้นแข่งขันก็ถูกโช่วเอ๋อร์จัดการอย่างเหี้ยมโหดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ดังนั้นคราวนี้พวกเขาเลยเอาเรื่องอายุมาเป็นประเด็น และไม่ยอมให้โช่วเอ๋อร์เข้าร่วมด้วย” ผู้นำสมาคมกล่าว
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “แน่นอนว่าไม่มีปัญหาในการเข้าร่วมอยู่แล้ว แต่ข้ากลัวว่าจะก่อปัญหาให้สมาคมนักหลอมอาวุธมากกว่า”
“ปัญหารึ?” ผู้นำสมาคมผงะไปครู่หนึ่ง
“หรือว่าท่านผู้นำสมาคมไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของข้าเช่นนั้นหรือ?” มู่เฉียนซีกล่าว
“มู่เฉินซี มู่เฉินซี…”ผู้นำสมาคมบ่นพึมพำชื่อนี้วนไปวนมา
ชื่อมู่เฉินซีแน่นอนว่าโด่งดังมากในดินแดนทางทิศใต้ของราชวงศ์ตงหวง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ต่อสู้ในงานชุมนุมอัจฉริยะคราวนั้น
“คงไม่ใช่มู่เฉินซีที่ข้าคิดคนนั้นหรอกใช่ไหม! นะ…นี่…”
ทันทีที่มู่เฉียนซีมาถึงสมาคมนักหลอมอาวุธก็ได้แสดงความสามารถในการหลอมอาวุธที่วิปลาสอันทัดเทียมกับมู่หรงโช่วออกมา ดังนั้นแม้ว่าจะมีชื่อที่เหมือนกันมาก แต่ก็ไม่เคยสงสัยว่าจะเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งในรายชื่อของดินแดนทางทิศใต้ผู้นั้น
อย่างไรเสียผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นจอมภูตที่มีพรสรรค์ต้านสวรรค์ผู้นั้น จะสามารถหลอมอาวุธได้ยอดเยี่ยมถึงเพียงนั้นได้อย่างไร?
น่าจะเป็นเพียงชื่อที่เหมือนกันเท่านั้น ซึ่งคนของสมาคมนักหลอมอาวุธต่างก็รู้สึกเช่นนั้น รวมไปถึงผู้นำสมาคมด้วย
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ท่านผู้นำสมาคมเดาได้ถูกต้องแล้ว คนของสมาคมนักหลอมอาวุธไม่มีใครรู้จักข้า แต่ต้องมีคนของสำนักเจี้ยนเหมินที่เป็นกองกำลังระดับสี่เคยเห็นข้าแน่ ข้าได้ทำให้สำนักหลางซิงและตระกูลเซี่ยโหวต้องขุ่นเคืองใจ และคาดว่าพวกเขาจะต้องมาหาเรื่องเป็นแน่”
ผู้นำสมาคมจ้องมองไปที่มู่เฉียนซีอย่างตื่นตะลึง “คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องจริง หัวใจดวงน้อยของข้าตกใจหนักมาก เจ้ายังเป็นคนอยู่เช่นนั้นหรือ?”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ก็เพียงแค่บังเอิญได้รับมรดกหลอมอาวุธมาเท่านั้นเอง ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้เชี่ยวชาญด้านหลอมอาวุธเท่าไรนักหรอก”
ถึงจะได้รับมรดกมา แต่ก็ต้องมีความสามารถและพรสวรรค์ที่จะได้รับมาอยู่ดีนะ! แม่สาวน้อยผู้นี้ช่างน่าทึ่งจริง ๆ ผู้นำสมาคมได้แต่บ่นอยู่ในใจ
ผู้นำสมาคมกล่าวว่า “อย่ากลัว! สำนักเจี้ยนเหมินมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสมาคมของพวกเรามาก และที่นี่ยังไม่ใช่อาณาเขตของสำนักหลางซิงและเจ้าตระกูลเซี่ยโหวอีกด้วย พวกเขาลองมาทำร้ายเจ้าดูสิ? สมาคมนักหลอมอาวุธของพวกเราไม่ใช่ที่ที่จะมายั่วยุได้ง่าย ๆ หรอกนะ”
ทางเดียวที่จะเอาชนะได้ในคราวนี้มีแต่ต้องพึ่งแม่สาวน้อยผู้นี้เท่านั้น แต่ทว่า…พวกเขาไม่สามารถเห็นแก่ตัวมากขนาดนั้นได้
“หากเจ้ารู้สึกว่ามันเสี่ยงอันตรายเกินไปละก็ เจ้าสามารถปฏิเสธได้ ข้าสามารถให้คนอื่นออกโรงแทนได้! ถึงอย่างไรนี่มันก็อันตรายเกินไปอยู่ดี”
มู่เฉียนซีกล่าวตอบว่า “ข้าไม่ได้กลัวพวกเขา เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่ใช้ชื่อมู่เฉินซีนี้ และยังใช้ใบหน้าเช่นนี้มาที่สมาคมนักหลอมอาวุธหรอก หากท่านผู้นำสมาคมไม่กลัวว่ามันจะก่อปัญหาให้กับสมาคมนักหลอมอาวุธ ข้าก็ยินดีที่จะเข้าร่วมด้วย! และข้าจะช่วยนำชัยชนะมามอบให้สมาคมนักหลอมอาวุธให้ได้อย่างแน่นอน”
“ดี! แม่สาวน้อยเช่นเจ้ายังไม่กลัว แล้วพวกข้าสมาคมนักหลอมอาวุธมีอะไรต้องกลัวกันเล่า!” ผู้นำสมาคมกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลังจากที่ยืนยันคนที่เลือกได้แล้วก็ให้นางไปเตรียมตัว และแม้ว่ามู่หรงโช่วจะไม่สามารถเข้าร่วมได้ แต่ผู้นำสมาคมก็ยังไปหาเขาอยู่ดี
ผู้นำสมาคมกล่าวกับเขาว่า “การไปงานแลกเปลี่ยนการหลอมอาวุธกับสุดยอดนักหลอมอาวุธ พวกเขาไม่อนุญาตให้เจ้าเข้าร่วม ข้าเลยให้แม่สาวน้อยมู่เฉินซีผู้นั้นไปเข้าร่วมแทนแล้ว”
“อื้ม!”
“แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้ไปแข่งขัน แต่ก็ไปคอยสนับสนุนอยู่ที่สนามได้นะ! ถือว่าให้เกียรติสักหน่อย”
“ข้าต้องการที่จะวิจัยขนปีกหงส์ทมิฬ ไม่มีเวลาไปหรอก” มู่หรงโช่วปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาเป็นอย่างมาก
“ข้าเองก็มีความสนใจต่อของเล่นชิ้นนั้นเช่นกัน อย่างนั้นเจ้าอยู่ศึกษามันไปเถอะ! ถึงอย่างไรการแข่งขันคราวนี้สุดยอดนักหลอมอาวุธก็ต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัยอยู่แล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วง เช่นนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องไปก็ได้ เพราะอย่างไรคนของสุดยอดนักหลอมอาวุธทุกคนก็ไม่อยากที่จะเจอเจ้าเท่าไรนักหรอก” ในเมื่อเขาไม่อยากไปผู้นำสมาคมก็ไม่บังคับเช่นกัน
ถึงแม้ท่านผู้นำสมาคมจะบอกว่าความสามารถของลูกศิษย์ของสุดยอดนักหลอมอาวุธของสำนักเจี้ยนเหมินเหล่านั้นจะสู้มู่หรงโช่วไม่ได้ และมู่เฉียนซีก็สามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย แต่ทว่านางก็ไม่อยากที่จะประมาทเลินเล่อ อีกทั้งยังขอคำแนะนำจากท่านผู้นำสมาคมอย่างถ่อมตน
นางรู้ว่าจุดอ่อนของตนเองอยู่ตรงไหน? และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะชดเชยมันให้ได้
“แม่สาวน้อยมู่ เจ้านี่เป็นอัจฉริยะจริง ๆ น่ากลัวเสียยิ่งกว่าเจ้าหนูโช่วเอ๋อร์เสียอีก!”
เขามองออกว่าช่วงเวลาในการเรียนหลอมอาวุธของมู่เฉินซีนั้นสั้นมาก และถึงจะไม่เพียงพอ แต่อาศัยพลังจิตอันกล้าแกร่งและความรู้ในการหลอมอาวุธที่สั่งสมเอาไว้ จนสามารถทำถึงขนาดนี้ได้ มันก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว
หากมีเวลาฝึกฝนนานกว่านี้ ความสำเร็จที่ได้จะต้องน่าทึ่งมากกว่านี้เป็นแน่
ผู้นำสมาคมสั่งสอนมู่เฉียนซีอย่างอดทน และแล้ววันที่ต้องไปงานแลกเปลี่ยนการหลอมอาวุธกับสุดยอดนักหลอมอาวุธของสำนักเจี้ยนเหมินก็มาถึงแล้ว
ผู้นำสมาคมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ออกเดินทาง! ไปสำนักเจี้ยนเหมินกันเถอะ”
สิ่งที่เรียกว่าการชุมนุมแลกเปลี่ยนนั้นก็คือ การที่สมาคมนักหลอมอาวุธและยังมีสุดยอดนักหลมอาวุธของสำนักเจี้ยนเหมินเลือกลูกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของตนเองออกมา เพื่อทำการแข่งขันหลอมอาวุธกัน
คนที่สมาคมนักหลอมอาวุธเลือกออกมาให้เข้าร่วมการแข่งขันก็คือมู่เฉินซี แม้ว่านางจะมาเป็นครั้งแรก แต่ความสามารถของนางนั้นไม่ต้องพูดถึง จึงไม่มีผู้ใดคัดค้าน
ถึงแม้จะมีการแข่งขันเพียงคนเดียว แต่กลับมีคนมากมายที่มารับชมการแข่งขันนี้ และฝูงชนของสมาคมนักหลอมอาวุธต่างก็มาถึงภายในสำนักเจี้ยนเหมินกันอย่างแน่นขนัดแล้ว
“เป็นเจ้า!”
“ท่านพี่มู่หรงล่ะ? เหตุใดท่านพี่มู่หรงถึงไม่ได้มาด้วย?” ทันทีที่มาถึงประตูทางเข้าของสำนักเจี้ยนเหมิน ก็ได้มีเสียงแหลมสูงเสียงหนึ่งดังขึ้นมา และคนผู้นี้ก็คือคุณหนูที่เจอในสมาคมการค้าเฮยอวิ๋นนั่นเอง
.
.