ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1939 อย่าเรียกท่านพี่
“ก็คือสิ่งนี้!” จากนั้นปลายนิ้วของนางก็จรดลงที่ระหว่างคิ้วของฉงหมิง และมรดกของผู้อาวุโสเหลือไว้ก่อนหน้านี้ก็ถูกมอบให้ฉงหมิงทันที
ในฐานะที่ฉงหมิงเป็นนักหลอมอาวุธคนหนึ่ง อีกทั้งยังมีพรสวรรค์เป็นอย่างมาก และความทุ่มเทที่มากกว่าของเขา ก็ยิ่งเหมาะสมกับมรดกของท่านผู้อาวุโสนี้มากกว่า
ชั่วขณะหนึ่ง ฉงหมิงรู้สึกปวดร้าวไปทั่วทั้งศีรษะ และภายในสมองของเขาก็เหมือนมีหลายสิ่งหลายอย่างอยู่ข้างในมากมาย
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เขาประหลาดใจเป็นอย่างมาก นี่เป็นมรดกที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตของนักหลอมอาวุธท่านหนึ่ง
เขารู้จักปรมาจารย์นักหลอมอาวุธอยู่หลายท่าน แต่ทว่ามันกลับไม่ง่ายเลยที่จะเชิญปรมาจารย์นักหลอมอาวุธระดับนี้มาได้ และสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ก็สามารถทำให้ทักษะการหลอมอาวุธของเขายกระดับสูงขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น
เมื่อฉงหมิงได้รับทั้งหมดไปเรียบร้อยแล้ว มู่เฉียนซีก็คลายมือออก
“จะ…เจ้า…” ฉงหมิงมองไปที่มู่เฉียนซีด้วยความตกใจ และทำท่าทางว่าไม่อยากเชื่อ
มรดกเช่นนี้ ไม่คิดเลยว่านางจะมอบให้เขาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ พวกเขาทั้งสองคนต่างก็ยังรู้จักกันไม่ถึงสิบวันเลยด้วยซ้ำ
“เจ้าอย่าคิดว่ามอบมรดกนี้ให้ข้าแล้วเจ้าจะซื้อข้าได้ ข้าจะบอกเจ้าไว้เลย มันไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก!” ฉงหมิงกล่าวพลางจ้องไปที่มู่เฉินซี
“อื้ม! ข้าก็ไม่ได้ไร้เดียงสาถึงขนาดที่คิดว่าเมื่อมอบมรดกนี้ให้เจ้าแล้ว เจ้าก็จะเชื่อใจข้าหรอก”
“มรดกเช่นนี้ เจ้ามามอบให้คนอื่นตามอำเภอใจเช่นนี้ เจ้าช่างไร้เหตุผลเสียจริง ๆ เจ้าประเมินสมบัติอันแสนล้ำค่ายิ่งนี้ต่ำเกินไปหน่อยแล้ว” เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งสงบของนาง กลับทำให้ฉงหมิงยิ่งโมโหมากขึ้นไปอีก
เขาคิดว่าความรู้สึกมันไม่คุ้มค่าเลย ที่ปรมาจารย์นักหลอมอาวุธท่านนั้นได้มอบมรดกเช่นนี้ให้กับผู้หญิงคนนี้
มู่เฉียนซีถามเขากลับว่า “เช่นนั้นเจ้าก็บอกข้าหน่อย ในโลกใบนี้ยังมีคนที่เหมาะสมจะได้รับมรดกชิ้นนี้มากกว่าเจ้าอีกหรือไม่?”
ฉงหมิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็กล่าวอย่างโอ้อวดว่า “แน่นอนว่าไม่มีอยู่แล้ว เมื่อมาเทียบกับข้าแล้วยังห่างชั้นอีกไกลนัก!”
“ก็นั่นน่ะสิ ข้าคิดว่าเจ้าเหมาะสมจึงได้มอบมรดกนี้ให้เจ้า! ข้าคิดว่าตอนแรกจูเชว่ก็อยากจะมอบมรดกนี้ให้เจ้าเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ใช่นักหลอมอาวุธจึงเอามันมาไม่ได้” มู่เฉียนซีกล่าว
“เจ้าทำเช่นนี้ก็เพื่อเจ้าจูเชว่นั่นอย่างนั้นหรือ ใครใช้ให้เจ้าหมอนั่นยุ่งเรื่องที่ไม่ควรยุ่งกัน อย่างไรเสียพวกเราก็เป็นคู่แข่งกันอยู่ดี” ฉงหมิงกล่าวอย่างโกรธเคือง
“แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงแค่นั้น แต่ข้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นนักหลอมอาวุธที่ยอดเยี่ยมมากคนหนึ่งต่างหาก!”
“เจ้ามอบมรดกชิ้นนี้ให้กับข้า เจ้าไม่กลัวว่าทักษะการหลอมอาวุธของข้าจะแซงหน้าเจ้าหรือไร! หรือว่าเจ้ากำลังดูถูกข้า คิดว่าถึงแม้ข้าจะได้รับมรดกเหมือนกันกับเจ้า แต่ข้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าอยู่ดี”
มู่เฉียนซีหัวเราะพลางกล่าวว่า “ฉงหมิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าหอหมอปีศาจทำอะไร?”
เมื่อเปลี่ยนหัวข้ออย่างกระทันหันอีกทั้งยังค่อนข้างไกลตัวสักหน่อย เขาจึงกล่าวว่า “ที่ไป๋เจ๋อดูแลหรือ แน่นอนว่าต้องเป็นการขายยาลูกลอนอยู่แล้วสิ! คิดว่าข้าจะไม่รู้แม้แต่เรื่องแค่นี้หรือ!”
“ดังนั้น งานหลักของข้าก็คือนักปรุงยา และไม่ใช่นักหลอมอาวุธ ถึงแม้ว่าเจ้าจะแซงหน้าข้าได้ ข้าก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติ!” มู่เฉียนซีกล่าวตอบ
“นะ…นักปรุงยา! เจ้าหลอกข้า เป็นไปไม่ได้หรอก” ฉงหมิงแสดงท่าทางเหลือเชื่อออกมา
“หากเจ้าคิดว่าไม่ได้ก็สามารถไปถามจูเชว่กับไป๋เจ๋อได้ เท่านี้เจ้าก็จะรู้ความจริงแล้ว ข้าไม่จำเป็นที่จะต้องหลอกเจ้า”
สีหน้าของฉงหมิงเวลานี้บิดเบี้ยวเป็นอย่างมาก ราวกับว่าถูกโจมตีอย่างรุนแรงก็มิปาน
ทะ…ทักษะหลอมอาวุธของเขาแพ้ให้กับนักปรุงยาคนหนึ่ง
นักปรุงยา…นี่มันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย!
แต่หากเป็นเช่นนี้แล้วละก็ เช่นนั้นก็สามารถอธิบายเรื่องทั้งหมดได้แล้ว เห็นได้ชัดว่านางสามารถหลอมอาวุธวิญญาณระดับสูงได้ แต่กลับดูท่าทางเหมือนเป็นคนไม่ค่อยมีประสบการณ์เท่าไรนัก?
และทั้งหมดนั่นก็เป็นเพราะว่า นางเป็นเพียงแค่เป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการหลอมอาวุธที่น่าเหลือเชื่อ แต่กลับเป็นนักปรุงยาคนหนึ่ง นางจึงไม่ได้หลอมอาวุธเป็นประจำเท่านั้นเอง
เขามองไปทางมู่เฉียนซีพลางกล่าวว่า “ข้าอยากอยู่เงียบ ๆ อยากอยู่เงียบ ๆ…”
“ข้าจะไปจัดการมรดกเหล่านี้เสียหน่อย อีกสองสามวันเจอกัน!”
ฉงหมิงที่ถูกโจมตีอย่างรุนแรงก็ได้พุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วสูงสุด
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ดูท่าแล้วเจ้าเด็กนี่คงต้องใช้เวลาในการแยกแยะสักหน่อย เช่นนั้นข้าก็จะได้มีเวลาศึกษาวิจัยอาวุธลับอื่นได้พอดี”
ไป๋เจ๋อเป็นนักปรุงยาอัจฉริยะคนหนึ่ง ถึงทักษะการปรุงยาของเขาจะสู้มู่เฉียนซีไม่ได้ แต่เขาก็ยังใจเย็นอยู่มาก เพราะความจริงแล้วทักษะการปรุงยาของมู่เฉียนซีทิ้งห่างเขาไปไกลมากเหลือเกิน
แต่ทว่ากลับฉงหมิงนั้นไม่เหมือนกัน ทักษะการหลอมอาวุธของมู่เฉียนซีกับเขานั้นไม่ต่างกันเท่าไรนัก แต่ทว่ากิจการหลักของนางกลับไม่ใช่สิ่งนี้ และมันก็ทำให้คนที่มั่นใจในตนเองมาตลอดเช่นเขาถูกโจมตีเข้าเสียแล้ว
แม้ว่าจะถูกโจมตี แต่ตอนที่เขาได้ไปวิเคราะห์มรดกทั้งหมดที่ได้รับมา เขาก็ได้เดินออกมาจากภายในแรงกดดันนั้นอย่างรวดเร็ว การตั้งใจศึกษาวิจัยนี้ทำให้เขาลุ่มหลงมัวเมาอยู่กับการหลอมอาวุธ และทิ้งเรื่องทั้งหมดนั้นเอาไว้เบื้องหลัง
เมื่อผ่านไปสามวัน ฉงหมิงก็กระโจนเข้ามาอย่างรีบร้อน เขากล่าวว่า “นางผู้หญิงบ้า พรสวรรค์ด้านการหลอมอาวุธดีเช่นนี้คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะละทิ้งการหลอมอาวุธ ปรุงยามีอะไรดีกัน หากตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าเรียนรู้การหลอมอาวุธ เจ้าจะต้องกลายเป็นนักหลอมอาวุธแห่งดินแดนทวยเทพได้อย่างแน่นอน”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ข้าก็อยากเรียนหลอมอาวุธเช่นกัน ฉะนั้นคุณชายฉงหมิงโปรดชี้แนะข้าด้วย! แต่ข้าก็ไม่มีทางยอมแพ้เรื่องการปรุงยาแน่นอน”
“เจ้าบ้าไปแล้ว ทำไมโลภเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวว่าทั้งสองอย่างนี้มันจะไม่ต่างกัน และสุดท้ายก็ไม่ได้มีด้านไหนยอดเยี่ยมที่สุดหรอกหรือ”
“เช่นนั้นเจ้าก็คิดมากเกินไปแล้ว อย่างน้อยข้าก็กลายเป็นนักปรุงยาที่แข็งแกร่งมากที่สุดแน่นอนอยู่แล้ว” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าเจ้าไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน?” ฉงหมิงก็ไม่อาจควบคุมความคิดของคนอื่นเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะค่อนข้างเสียดายในพรสวรรค์การหลอมอาวุธของนางก็ตาม
“รีบไปที่ห้องหลอมอาวุธเถอะ ข้าได้รับแรงบันดาลใจใหม่จากการได้รับมรดกของท่านปรมาจารย์ผู้นั้น และอาวุธลับเหล่านั้นก็เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับข้า เพียงแต่ว่าอาวุธลับเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งของที่ปรมาจารย์ท่านนั้นคิดค้นขึ้นมา อันที่จริงแล้วเจ้าทำมันออกมาได้อย่างไรกัน?”
“แน่นอนว่าจากที่อื่นอยู่แล้ว!”
มู่เฉียนซีได้บอกอาวุธลับดั้งเดิมแต่ละชนิดให้กับฉงหมิงได้รู้ หลังจากนั้นทั้งสองก็เริ่มศึกษาค้นคว้า และทำการปรับแก้ตามสถานการณ์ของแดนซวนเทียน จึงทำให้พลังของอาวุธลับเหล่านี้เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นไปอีก
ในช่วงเวลานั้นทั้งสองคนมีเหตุที่ไม่ลงรอยกันบ้าง บางครั้งก็เกิดเรื่องทะเลาะกันเล็กน้อย หรือไม่ก็โมโหกันขั้นรุนแรง หากไม่ใช่เพราะอยากหลอมอาวุธ คาดว่าทั้งสองน่าจะเปิดศึกต่อสู้กันหลายร้อยรอบแล้ว
อย่างไรเสียที่กระหายที่จะต่อสู้ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนนั้นรุนแรงมาก แต่ทว่าทุกคนกลับสังเกตเห็นถึงความแตกต่างจากตัวคุณชายของพวกเขาได้ ดูเหมือนว่าตอนนี้คุณชายของพวกเขาจะมีชีวิตชีวาขึ้นเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังไม่ดูแข็งกระด้างเหมือนหินแร่ก้อนหนึ่งอีกแล้ว
นอกจากจะหลอมขนปีกหงส์ทมิฬ แมงมุมพิษพันกรงเล็บแล้ว แล้วยังมีโลหิตโพธิสัตว์ ธนูเทพจูเก๋อและอาวุธลับอื่น ๆ ก็ได้ถูกหลอมออกมาด้วย ทั้งสองร่วมมือกันสร้างและปรับแต่ง ถึงจะมีบางอย่างก็เคยหลอมที่ดินแดนทั้งสี่ทิศ แต่ทว่าของเหล่านั้นก็ไม่อาจเอามาเปรียบเทียบกับตอนนี้ได้เลย
มู่เฉียนซีแอบคิดว่า ‘รอให้พวกเขามาถึงซวนเทียน นางจะต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดด้วยอุปกรณ์ที่แข็งแกร่งชุดใหม่นี้อย่างแน่นอน’
หลังจากที่หลอมเสร็จเรียบร้อย ฉงหมิงก็ยังคงมีท่าทางที่ไม่พึ่งพอใจอยู่ “ไม่มีแล้วจริง ๆ หรือ?”
“ข้าจะบอกให้นะท่านพี่ ข้าได้นำสิ่งของที่ล้ำค่าที่สุดบอกเจ้าไปจนหมดแล้ว นี่เจ้าคิดจะถามอีกกี่รอบกันแน่ฮะ! ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้ายังมีความจำเป็นที่จะต้องปิดบังเอาไว้อีกหรือไร?” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างจนปัญญา
เจ้าหมอนี่เป็นนักหลอมอาวุธที่ปัญญาอ่อนจริง ๆ!
“มู่เฉินซี อย่ามาเรียกข้าว่าท่านพี่ ข้ามีน้องสาวเพียงคนเดียว และนางก็ไม่ใช่คนกวนประสาทอย่างเจ้าแน่นอน!” ฉงหมิงหล่าว
มู่เฉียนซีกรอกตาแล้วกล่าวว่า “ใครอยากจะมีพี่ชายที่อารมณ์ร้ายมากเช่นนี้อย่างเจ้ากัน ข้าเพียงแค่เรียก ๆ ไปเท่านั้นเอง”
“แม้ว่าเจ้าจะไม่มีต้นแบบอาวุธลับอย่างอื่นอีกแล้ว หรือว่าพวกเราที่หลอมอาวุธลับขั้นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพได้มากมายถึงเพียงนี้จะไม่สามารถสร้างของใหม่ขึ้นมาได้อย่างนั้นหรือ? ข้ารู้สึกว่าพรสวรรค์ของคุณชายอย่างข้าต้องทำได้อย่างแน่นอน เช่นเราไปลองทำกันเถอะ!”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เอาที่เจ้าสบายใจเถอะ!”
และในตอนที่ฉงหมิงกำลังจะไปหลอมอาวุธลับใหม่ ทันใดนั้นก็มีกลิ่นคาวเลือดโชยออกมา “คุณชาย! คุณชาย!”
.
.