ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1983 ข้าก็คิดถึงเจ้า
ในตอนที่มู่เฉียนซีกำลังมุ่งหน้าไปทางนั้น ก็ได้ค้นพบว่ามีผู้แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อยกำลังตรงไปทางนั้นด้วยเช่นกัน และเมื่อยิ่งเข้าใกล้จำนวนคนก็ยิ่งหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ
บางคนที่มีความสามารถสูง ก็เหาะไปบนอากาศด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าแลบอย่างไรอย่างนั้น
และมีบางคนที่นั่งสัตว์ศักดิ์สิทธิ์บินได้ระดับสูงไป
พลังศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างนี้ ดึงดูดผู้คนให้เข้ามาไม่น้อยเลยทีเดียว
มู่เฉียนซีบ่นพึมพำว่า “มีการแข่งขันไม่น้อยเลย ดูท่าคงต้องให้จิ่วเยี่ยมาแล้วล่ะ”
จำเป็นที่จะต้องเอามังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างมาให้ได้ โดยห้ามมีข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องให้ผู้ที่มีความสามารถแข็งแกร่งที่สุดเป็นคนไปต่อสู้
ในขณะที่มู่เฉียนซีกำลังคิดเช่นนั้นอยู่ แสงสีฟ้าอ่อนก็ปรากฏออกมา และมู่เฉียนซีก็ผงะไปครู่หนึ่ง
คิดอยากจะให้เขามาจริง ๆ แต่เขากลับแย่งนำหน้าไปก่อนก้าวหนึ่งเสียแล้ว
“ใครน่ะ?” ฉงหมิงกล่าวอย่างตกใจ
พลังอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ซ่านออกมา และสำหรับคนผู้นี้พิฆาตวิญญาณก็ลงมือโดยไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย
จิ่วเยี่ยได้เกี่ยวเอวของมู่เฉียนซีเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่งในขณะที่หลบหลีกการโจมตีของพิฆาตวิญญาณ และมู่เฉียนซีก็รู้สึกได้ว่ากำลังถูกกลิ่นอายที่ตนเองคุ้นเคยปกคลุมเอาไว้
แต่ความเย็นยะเยือกนั้นกลับทำให้รู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก มู่เฉียนซีเงยหน้าขึ้นไปสบตากับดวงตาสีฟ้าเย็นยะเยือกคู่นั้น แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “จิ่วเยี่ย เจ้ามาได้บังเอิญจริง ๆ เลย!”
“ปล่อยมือซะ!” พิฆาตวิญญาณกล่าวอย่างโกรธเคือง
เปลวเพลิงที่น่าสะพรึงกลัวนั้นกลิ้งไปมา จิ่วเยี่ยจึงเหลือบมองไปอย่างเย็นชา จากนั้นพลังแห่งความมืดก็ทะลักออกมา และเตรียมที่จะกวาดล้างไปยังคนที่รกหูรกตาเหล่านั้น
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “พิฆาตวิญญาณ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะเริ่มการต่อสู้นะ! รอให้จิ่วเยี่ยฟื้นตัวได้แล้ว เจ้าจะประลองกับเขาเมื่อไรก็ได้ ตอนนี้เจ้าก็หักห้ามใจหน่อยเถอะ”
พิฆาตวิญญาณกล่าวว่า “ดูท่าลูกแมวน้อยจะมั่นใจในตัวเขามากนะ เขาจะไปสามารถฟื้นตัวอย่างรวดเร็วขนาดนั้นได้อย่างไร!”
“เจ้าคิดผิดแล้ว ข้ามีความมั่นใจในตัวข้าเองต่างหากล่ะ”
สีหน้าของพิฆาตวิญญาณเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาอยากจะต่อสู้ อยากจะฆ่าคน ซึ่งมันไม่สามารถที่จะควบคุมได้อย่างสมบูรณ์
พลังวิญญาณของมู่เฉียนซีแผ่กระจายออกไป และได้บีบบังคับให้พิฆาตวิญญาณที่เกือบจะคลั่งอยู่แล้วให้กลับไปยังมิติจิตวิญญาณเสีย ซึ่งพิฆาตวิญญาณก็กำลังจะระเบิดอยู่มะรอมมะร่อแล้ว
“ลูกแมวน้อย เจ้านี่…เจ้านี่ช่างดีจริง ๆ เลย! พอหวงจิ่วเยี่ยมาเจ้าก็ทิ้งขว้างข้าอย่างไม่ใยดี เขามีดีอะไรกันฮะ?”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ข้าก็แค่ไม่อยากให้พวกเจ้าต้องมาเปลืองแรงในเวลาที่สำคัญเช่นนี้ อย่าโกรธไปเลยน่า”
“จะให้ข้าไม่โกรธได้อย่างไรกัน!” ยิ่งมู่เฉียนซีพูดพิฆาตวิญญาณก็ยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก
จิ่วเยี่ยกวาดมองไปที่คนสองสามคนที่อยู่บริเวณโดยรอบเหล่านั้น จากนั้นก็ดึงมู่เฉียนซีแล้วหายวับไป…
“อื้อ!” ริมฝีปากของนางถูกผนึกไว้อย่างไม่คาดคิด และจิ่วเยี่ยก็ใช้วิธีการเช่นนี้ถ่ายทอดความคิดถึงอันยาวนานของเขาส่งไปยังนาง
แขนทั้งสองข้างของมู่เฉียนซีกอดเขาเอาไว้แน่น และดูราวกับว่าทั้งสองจะจุมพิตกันตราบสิ้นดินฟ้าอย่างไรอย่างนั้น
ฉงหมิงกล่าวว่า “เป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งมาก และไม่ได้อ่อนแอไปกว่าพิฆาตวิญญาณผู้นั้นเลย”
สีหน้าของจูเชว่มืดมนลงทันที ฉงหมิงกล่าวว่า “ผู้ชายคนนั้นแข็งแกร่งขนาดนี้แต่กลับตาบอดไปหน่อยนะ!”
“ฮู้ว!” ในที่สุดมู่เฉียนซีก็ถูกปล่อยออกมาจากการคุมขัง และนางที่หายใจได้อย่างยากลำบากก่อนหน้านี้ก็รีบหายใจเข้าอย่างรวดเร็ว
จิ่วเยี่ยกระซิบที่ข้างหูมู่เฉียนซีว่า “อีกรอบได้หรือไม่?”
“ไม่ได้แล้ว!” มู่เฉียนซีจ้องเขม็งไปที่เขาอย่างดุดัน
ด้วยเหตุนี้ดวงตาทั้งคู่ของจิ่วเยี่ยจึงเอาแต่จ้องมองไปที่มู่เฉียนซี และสายตาเช่นนี้ก็ทำให้หัวใจของมู่เฉียนซีเต้นเร็วมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
มู่เฉียนซีโน้มขยับเข้าไปใกล้จิ่วเยี่ย จากนั้นก็เขย่งปลายเท้าแล้วกล่าวว่า “หากจะเอาอีกรอบก็ให้ข้าเป็นคนเริ่มดีหรือไม่? เพราะว่าข้าก็คิดถึงเจ้าเช่นกัน! จิ่วเยี่ย”
ริมฝีปากทั้งสองประกบกันอีกครั้ง เนื่องจากว่าหาสุสานของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างเจอแล้ว อีกทั้งมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างที่ตามหายังอยู่ไม่ไกลเช่นนี้ มันทำให้นางมีความสุขมาก
ในเมื่อมีความสุขขนาดนี้แล้ว จะปล่อยตัวสักหน่อยก็จะเป็นอะไรไปล่ะ?
การที่มู่เฉียนซีเป็นคนลงมือเอง แน่นอนว่าทำให้จิ่วเยี่ยยิ่งมีความสุขมากขึ้นไปอีก และเขามีความสุขยิ่งกว่าการหามังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างเจอเสียอีก
หลังจากที่ผ่านไปเนิ่นนาน มู่เฉียนซีก็กล่าวถามขึ้นมาว่า “จิ่วเยี่ยเจ้าได้รับรู้ข่าวไว้มากเลยนะ! สุสานของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างปรากฏขึ้นแล้ว และมันก็ส่งผลกระทบมากเลยทีเดียว”
“อื้ม! จื่อโยวส่งข่าวมา ข้าก็เลยมาทันที” ในทันทีที่ได้รับข่าวนั้น เขาก็ไม่คิดที่จะรออีกต่อไป
มู่เฉียนซีดึงเขาเอาไว้แล้วกล่าวว่า “คราวนี้พวกเรามีความตั้งใจว่าจะเอากระดูกมังกรของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างมาให้ได้ แต่ทว่าต้องมาตกลงกันก่อน ว่าเจ้าจะไม่ทำเรื่องที่เกินกำลังตนเอง และอย่าปล่อยให้คำสาประเบิดออกมาจนสูญเสียการควบคุมไปอีก”
เมื่อเผชิญหน้ากับคำเตือนของมู่เฉียนซี มุมปากของจิ่วเยี่ยก็ยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย พลางกล่าวว่า “ตกลง! ข้าจะเชื่อฟังซีทุกอย่าง”
“หากกลัวว่าคำสาปของเจ้าหมอนี่จะปะทุขึ้นมาละก็ เช่นนั้นก็มอบหน้าที่มาให้ข้า! แค่ไปแย่งเอากระดูกมังกรของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างมาเท่านั้นเอง มันไม่ใช่ของที่หายากถึงขนาดนั้นเสียหน่อย แค่ให้ข้าจัดการก็พอแล้ว จะให้เขามาอีกทำไม?” พิฆาตวิญญาณที่ถูกละเลยมานานก็ทนเหงาไม่ไหวจนต้องเอ่ยปากออกมา
“นี่ไม่ได้เป็นการรับประกันว่าปลอดภัยแน่นอนอย่างนั้นหรือ?”
“มีข้าไม่มีเขา หากเขาอยู่ละก็ ข้าก็จะไม่เคลื่อนไหวอย่างแน่นอน และข้าก็ไม่อยากจะแก้คำสาปให้เขาเลยสักนิดด้วย” พิฆาตวิญญาณกล่าวตอบ
มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “เจ้าต้องการเช่นนี้จริง ๆ ใช่หรือไม่?”
“นั่นยังต้องพูดอีกหรือ! ลูกแมวน้อย ข้าไม่ชอบหวงจิ่วเยี่ย และก็ไม่ชอบมาก ๆ ด้วย”
“เช่นนั้นพิฆาตวิญญาณเจ้าก็ไปพักผ่อนเสียเถอะ! ข้าจะหาทางจัดการมันเอง เพราะแม้ว่าข้าจะเป็นเจ้านายของเจ้า หรือแม้ว่าข้าอยากที่จะอยากได้กระดูกมังกรของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างมากเพียงใด แต่ข้าก็ไม่อาจบีบบังคับให้เจ้าทำเรื่องที่ขัดต่อความรู้สึกของเจ้าได้อยู่ดี”
“ลูกแมวน้อย ควาเห็นอกเห็นใจคนอื่นเช่นนี้ของเจ้าทำให้ข้าอยากจะฆ่าเจ้าจริง ๆ หรือเจ้าไม่ได้คิดว่าเพราะเหตุใดข้าถึงเกลียดเขาอย่างนั้นหรือ?”
“ระหว่างผู้ที่แข็งแกร่งมักจะมีความเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน และขัดแย้งซึ่งกันและกัน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติมากอยู่แล้ว” มู่เฉียนซีกล่าวตอบ
พิฆาตวิญญาณไม่อยากพูดอะไรอีกต่อไปแล้ว…
พิฆาตวิญญาณเงียบและไม่สนใจนางอีก มู่เฉียนซีจนปัญญาแล้วกล่าวกับจิ่วเยี่ยว่า “จิ่วเยี่ย พวกเรารีบไปกันเถอะ! จะได้รู้ว่าสถานการณ์ของสุสานศักดิ์สิทธิ์เป็นเช่นไรบ้าง?”
“อื้ม!”
เมื่อจูเชว่เห็นว่ามู่เฉียนซีกลับมาแล้วก็กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ซีซี เจ้ากลับมาแล้ว”
และมันก็เป็นผลให้เขาถูกสายตาที่เย็นยะเยือกกวาดมองมา และความรู้สึกเย็นยะเยือกนั้นก้ทำให้เขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว จูเชว่กำหมัดแน่นแล้วกล่าวว่า “ซีซี ไม่แนะนำสักหน่อยหรือ?”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “นี่คือหวงจิ่วเยี่ย…”
“ซีคือคู่หมั้นของข้า!” ก่อนที่มู่เฉียนซีจะแนะนำต่อ จิ่วเยี่ยก็ประกาศความเป็นเจ้าของและสิทธิทั้งหมดออกมาก่อนเสียแล้ว
จิ่วเยี่ยไม่เชี่ยวชาญในการเข้าใจผู้อื่น แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่าเขาไม่ชอบที่ผู้ชายเหล่านี้จ้องมองมาที่ซีเลย
หากว่านี่ไม่ใช่เพื่อนของซีแล้วละก็ เขาก็คงทำให้พวกเขาเหล่านี้สลายหายวับไปในทันทีแล้ว
จูเชว่กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนั้นจะจัดงานแต่งกันเมื่อไรล่ะ! ซีซีอย่าลืมที่จะชวนข้าไปดื่มเหล้ามงคลด้วยนะ!”
มู่เฉียนซีตอบกลับว่า “ได้สิ! เมื่อถึงตอนนั้นจะขาดเจ้าไม่ได้อย่างแน่นอน”
ภายในใจของจูเชว่รู้สึกขมขื่นเป็นอย่างมาก หรือว่าจะไม่มีโอกาศแล้วจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?
ที่นั่นคือป่าแห่งหนึ่ง เหล่าใบไม้ภายในป่าเวลานี้เต็มไปด้วยพลังแห่งแสงสว่าง อีกทั้งสมุนไพรวิญญาณนานาชนิดที่อยู่ภายในป่าก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วมากอีกด้วย
และผลของพลังแห่งแสงสว่างนี้ ก็ทำให้คนมายังที่แห่งนี้กันอย่างมากมาย
จูเชว่กล่าวว่า “ซีซี ข้าจะไปสอบถามข้อมูลเสียหน่อย ลองดูว่ามีกองกำลังมามากเท่าใดแล้ว อีกทั้งมียอดฝีมือมากมายแค่ไหน! ถึงอย่างไรการรู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็จะชนะร้อยครั้งแน่นอน”
“ตกลง!”
ไป๋เจ๋อและฉงหมิงกล่าวว่า “ข้าจะไปรับคนของพวกเรา ไว้เจอกันที่จุดนัดพบนะ”
พวกเขาจำเป็นต้องจากไป เพราะกลิ่นอายของจิ่วเยี่ยนั้นอันตรายเป็นอย่างมาก และพวเขาก็ไม่ชอบที่จะเป็นก้างขวางคอเช่นนี้ด้วย
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “คราวนี้ราชวงศ์ตงหวงจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน จิ่วเยี่ยเจ้าพาคนมาด้วยหรือไม่?”
คนยิ่งมากก็ยิ่งดี เพราะจะได้หลีกเลี่ยงไม่ให้คนของราชวงศ์ตงหวงที่มีคนมากมารังแกคนน้อยอย่างพวกเขา
จิ่วเยี่ยกล่าวว่า “อื้ม! ข้าให้จื่อโยวไปจัดการแล้ว เพียงแต่ว่าเขามาช้าเกินไปหน่อย”
หากจื่อโยวรู้ว่าตนเองถูกทอดทิ้งคาดว่าจะต้องร้องไห้จนตายเป็นแน่ เพราะเจ้ามีผู้พิทักษ์นิรันดร์ผู้เป็นเจ้าของมิติคอยทำหน้าที่เชื่อมโยงอยู่ก็ต้องมาเร็วกว่าแน่นอนอยู่แล้ว ส่วนเขาต้องเหาะเพื่อทะลุผ่านมายังที่นี่ ไหนจะต้องเตรียมกองกำลังคนอีก แล้วจะให้เร็วถึงเพียงนั้นได้อย่างไรกันล่ะ!
ช่างเป็นทรราช ที่ไร้มนุษยธรรมเสียจริง ๆ!
.
.