ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1996 เช่นนี้ถูกแล้ว
พรวด!
และในเวลานี้ มู่หลินหลางก็ถูกทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว
เลือดสด ๆ ย้อมเสื้อคลุมของนางจนเป็นสีแดงฉาน และก่อนที่นางจะได้เห็นว่าผู้ใดกันแน่ที่เป็นคนที่ทำร้ายนางอย่างหนักเช่นนี้ นางก็ได้ใช้มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพมิติเคลื่อนย้ายตนเองหลบหนีออกมาอย่างรวดเร็วเสียแล้ว
ทั้งตัวของเฟิงอวิ๋นซิวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น ถึงฝ่าบาทจะไม่รู้ว่าผู้ใดคือคนลงมือ แต่ตัวเขานั้นรู้มันเป็นอย่างดี
ดูเหมือนว่าทั้งตัวของเข้าจะได้รับการโจมตีอย่างหนักหน่วงก็มิปาน อีกทั้งร่างเงาของเขาก็ได้สูญเสียการควบคุมไปแล้ว เช่นนี้แล้วเขาจะยังคงมีคุณสมบัติที่จะอยู่ข้างกายของฝ่าบาทได้อีกอย่างนั้นหรือ?
เฟิงอวิ๋นซิวจากไปอย่างตื่นตะลึง จากนั้นเขาก็ไล่ตามมู่หลินหลางออกไป
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมู่เฉียนซี เมื่อครู่นี้คนผู้นั้นลงมืออย่างรวดเร็วเป็นอย่างมาก และเพียงชั่วพริบตาเดียวเขาคนนั้นก็หายวับไปทันที
ถึงคนอื่นจะไม่ทันได้สังเกตเห็น แต่มู่เฉียนซีกลับรู้ว่าคนที่ลงมือผู้นั้นเป็นใคร? เพราะมันก็คือร่างเงาของอวิ๋นซิวนั่นเอง
มู่หลินหลางรู้ดีว่าหากร่างเงาและร่างต้นอย่างอวิ๋นซิวร่วมมือกัน พลังในการสังหารนั้นจะรุนแรงเป็นอย่างมาก
และถึงนางจะได้ออกคำสั่งให้อวิ๋นซิวใช้พลังของร่างเงาแล้ว แต่คาดว่านางเองก็คงไม่เคยคิดเช่นกัน ว่าร่างเงาของอวิ๋นซิวจะโจมตีนางได้
เดิมทีมู่หลินหลางรู้ว่าตามสัญชาตญาณแล้วร่างเงาของอวิ๋นซิวไม่สามารถทำร้ายนางได้ เพราะแม้ว่าร่างจริงจะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับมิตรภาพของพวกเขาก่อนหน้านี้ แต่ทว่าร่างเงากลับยังมีความจำนั้นอยู่
แต่กลับไม่คิดมาก่อนเลยว่าร่างเงาจะเริ่มโจมตีมู่หลินหลาง เพราะเรื่องนี้มันอยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิง
มู่เฉียนซีจ้องมองไปยังร่างเงาสีดำสนิทที่หายลับตาไป พลางกล่าวว่า “อวิ๋นซิว เจ้าอย่าทำเรื่องบ้า ๆ อย่างการประกาศออกไปด้วยตนเองเชียวล่ะ มิเช่นนั้นด้วยอารมณ์ของมู่หลินหลางหากนางได้รู้ว่าร่างเงาของเจ้าทำร้ายนางแล้วละก็ นางไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่”
“ฝ่าบาท!” การที่มู่หลินหลางได้รับบาดเจ็บและหายตัวไป ทำให้คนอื่นตกตะลึงเป็นอย่างมาก
พวกเขาเองก็อยากที่จะหนีไปเช่นกัน แต่ทว่าพวกเขาได้ประเมินศัตรูที่อยู่เบื้องหน้านี้ต่ำเกินไปแล้ว และหากตกเป็นเป้าหมายของเขา พวกเขาจะรอดพ้นจากชะตากรรมแห่งการทำลายล้างนี้ได้อย่างไรกัน?
“ท่านอ๋องจิ่วเยี่ย ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”
ไม่ว่าพวกเขาจะร้องขอความเมตตาอย่างจริงใจมากเพียงใด แต่จิ่วเยี่ยก็ยังคงลงมืออย่างไม่มีความเมตตาเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายก็กำจัดพวกเขาไปจนไม่เหลือซาก
ครืนนน!
มีเสียงสะเทือนดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น
ตอนนี้มิติของสุสานมังกรของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างเริ่มไม่เสถียรเป็นอย่างยิ่ง และมันก็กำลังจะพังทลายลงมาแล้ว!
ผลลัพธ์เช่นนี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าแปลกเลย เพราะพลังและจิตวิญญาณของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างต่างนำมาใช้ฟื้นฟูกระดูกหัวมังกรของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างไปจนสิ้นหมดแล้ว อีกทั้งตอนนี้ร่างของมันก็ได้กลายเป็นความว่างเปล่าเนื่องจากพลังของของจิ่วเยี่ยไปแล้วด้วย และตอนนี้ก็ไม่มีพลังอำนาจใดที่คอยค้ำจุนสถานที่แห่งนี้เอาไว้อีกต่อไป
ทันใดนั้น จิ่วเยี่ยก็มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าของมู่เฉียนซีอย่างกะทันหัน ก่อนจะดึงมู่เฉียนซีมาไว้ในอ้อมแขนของเขา
ในขณะที่มิติโดยรอบกำลังปั่นป่วน แต่มันก็ไม่สามารถส่งผลกระทบใดต่อมู่เฉียนซีได้เลยแม้แต่น้อย
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “จื่อโยว เอาพวกเขาทั้งหมดออกไปด้วย”
การลงมือของจิ่วเยี่ยนั้นมีการเลือกปฏิบัติ คนของมู่หลินหลางเหล่านั้นต่างตายกันหมดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่พวกของจูเชว่กลับถูกทำให้หมดสติไปเท่านั้นเอง
จื่อโยวกล่าวอย่างรันทดว่า “งานที่ต้องใช้แรงแถมยังไร้ค่าเช่นนี้ เหตุใดต้องให้ข้าเป็นคนทำด้วย? คนงาม เจ้ารังแกข้าอย่างนั้นหรือ”
ทันทีที่จื่อโยวบ่นจบ เขาก็ได้รับสายตาที่เย็นชาของท่านอ๋องของพวกเขาตอบกลับมาในทันที
“ซีให้เจ้าพูดอะไรอย่างนั้นหรือ? เจ้าแค่ทำมันก็พอแล้ว”
มุมปากของจื่อโยวกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย และก็ได้แต่กร่นด่าอยู่ภายในใจเท่านั้น เยี่ยยังไม่ได้แต่งกับคนงามเสียหน่อย! แต่กลับทำเหมือนว่าการตัดสินใจทั้งหมดขึ้นอยู่กับภรรยาเสียแล้ว
หากในอนาคตพวกเขาแต่งงานกันแล้ว เจ้านายอันดับหนึ่งของแดนนรกของพวกเขา คาดว่าคงจะต้องเปลี่ยนคนเป็นแน่
แม้ว่าจื่อโยวจะบ่นแล้วบ่นอีก แต่เขาก็ลงมือได้อย่างคล่องแคล่วเป็นอย่างมาก และก่อนที่มิติจะพังทลายลง พวกเขาก็ได้อพยพคนออกไปอย่างรวดเร็วจนหมดแล้ว
ตูมมม!
มิติทั้งหมดได้พังทลายลง สุสานมังกรของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างได้หายไปอย่างสมบูรณ์ และสิ่งที่หายไปในเวลาเดียวกันก็คือความหลงใหลอันบ้าคลั่งของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างนั่นเอง
มีคนมากมายที่หนีออกมาจากความตาย และได้ค้นพบว่าตอนนี้พวกเขาไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
พลังธาตุแสงอันแข็งแกร่งนั้น อยู่ที่แดนซวนเทียนเพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น
คนที่หนีออกมาได้ต่างพากันพูดคุยกันว่า “ไม่ได้สมบัติอะไรมาสักอย่างเดียว และดูเหมือนว่าจะไม่ใช่มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มาแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ”
“เดิมทีก็ไม่มีทางเป็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ได้อยู่แล้ว เพราะมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์จะปรากฏออกมาอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร”
“เฮ้อ! ดีใจเร็วเกินไปหน่อยเสียได้”
ทุกคนต่างกลับไปอย่างพ่ายแพ้ และมีบางกองกำลังต้องสูญเสียอย่างหนักอีกด้วย
แต่หากพวกเขาได้รู้ถึงการสูญเสียของราชวงศ์ตงหวงแล้วละก็ คาดว่ามันน่าจะสามารถปลอบใจพวกเขาได้บ้างเป็นแน่
อย่างไรก็ตามคราวนี้ราชวงศ์ตงหวงไม่เพียงแต่สูญเสียผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นราชันวิญญาณไป แต่ยังสูญเสียกองกำลังไปอีกจำนวนมาก สุดท้ายแล้วก็มีเพียงมู่หลินหลางและเฟิงอวิ๋นซิวเท่านั้นที่รอดชีวิตออกมาได้
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “จิ่วเยี่ย ตอนนี้ข้าไม่สามารถสร้างมิติด้วยตนเองได้ เจ้าเป็นคนทำเถอะ!”
“อื้ม!”
ร่องรอยของพลังหลั่งไหลออกมา และจิ่วเยี่ยก็สร้างมิติหนึ่งออกมาอย่างไม่เปลืองแรงมากเท่าไรนัก แต่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเข้าไปได้อยู่ดี
หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าปลอดภัย มู่เฉียนซีก็ได้นำกระดูกมังกรของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างออกมา
“หาเจอแล้ว จิ่วเยี่ยข้าขอมอบให้เจ้าเก็บรักษาเอาไว้”
จิ่วเยี่ยกล่าวตอบว่า “คนที่สามารถช่วยถอนคำสาปให้ข้าได้เป็นซีไม่ใช่ตัวข้าเอง วัตถุดิบในการถอนคำสาป แน่นอนว่าเจ้าเป็นคนเก็บรักษาเอาไว้เถิด”
“เก็บไว้ที่เจ้ามันจะปลอดภัยมากกว่า” เพราะถึงอย่างไรความสามารถของจิ่วเยี่ยก็แข็งแกร่งมากกว่านางมากมายนัก
“ตราบใดที่มีข้าอยู่ด้วย มังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างอยู่ที่ข้าแล้วปลอดภัยมากเพียงใด แน่นอนว่าเมื่ออยู่ที่เจ้าก็จะต้องปลอดภัยมากเท่านั้น เพราะสำหรับผู้หญิงของข้าแล้ว ข้าจะต้องอยู่ด้วยอย่างใกล้ชิดราวกับเป็นเครื่องป้องกัน! จนพวกเรากลายเป็นหนึ่งเดียวกันไปเลย” จิ่วเยี่ยกล่าวขึ้นมาอย่างหนักแน่น
ดวงตาที่สีฟ้าเข้มอันล้ำลึกนั้น จ้องมองมาที่มู่เฉียนซีราวกับจะบอกว่าคำพูดของเขาในเวลานี้นั้นจริงจังมากเพียงใด
ด้วยเหตุนี้ ทำให้มู่เฉียนซีหมดหนทางที่จะโน้มน้าวให้จิ่วเยี่ยเป็นผู้เก็บรักษากระดูกมังกรของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างนี้อีกแล้ว นางกล่าวว่า “ตกลง ข้าเก็บเอาไว้เอง! ไม่ว่าอย่างไรก็ตามข้าจะไม่ยอมให้วิธีถอนคำสาปที่พวกเราหามาได้อย่างยากลำบากไปตกอยู่ในมือของคนอื่นอย่างแน่นอน หากข้าสู้ไม่ไหว ข้าก็จะเรียกเจ้าออกมาอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยแน่”
จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีเอาไว้แน่น แล้วกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ทำเช่นนี้ก็ถูกแล้ว!”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ยังเหลือดีกิเลนของกิเลนแห่งนรกและหัวใจของไม้เทพแห่งชีวิตนั่นอีก พวกเราจะต้องหามันให้เร็วที่สุด”
“ดีกิเลนข้าสามารถไปเอาที่เหวนรกได้ เพียงแต่ว่าก่อนที่จะไป ข้าอยากที่จะอยู่กับซีให้มากกว่านี้ก่อน!”
“อุ้บ!” พลันนั้นริมฝีปากบางก็ถูกผนึกไว้อย่างรวดเร็ว
จิ่วเยี่ยครอบครองมู่เฉียนซีเอาไว้เป็นเวลาหลายวัน แต่อารมณ์ของมู่เฉียนซีก็ยังคงดีมากอยู่ เช่นนั้นนางจึงตามใจจิ่วเยี่ยมากขึ้นหน่อย
พวกเขาทั้งสองไม่แยกออกจากกันเลย อีกทั้งยังไม่สนใจเรื่องอื่นไปอย่างสิ้นเชิงด้วย
พวกของจูเชว่ ฉงหมิงและไป๋เจ๋อออกมาจากสุสานมังกรโดยไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น และเมื่อพวกเขามาหามู่เฉียนซีก็ยังถูกคนอื่นคอยขัดขวางเอาไว้อีก
จูเชว่กล่าวด้วยความโกรธเคืองว่า “ผู้ชายคนนั้นหมายความว่ายังไงกันแน่? ถึงได้มาครอบครองซีซีทันทีที่มาเช่นนี้”
“พอมีผู้ชายแล้วก็ไม่สนใจใยดีพวกเราเลย แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะช่วยชีวิตของพวกเราเอาไว้ แต่ข้าก็โมโหมากอยู่ดี” ฉงหมิงกล่าวด้วยสีหน้าที่โกรธเคือง
และคาดว่าคนที่ดูจะสงบนิ่งมากที่สุดน่าจะเป็นไป๋เจ๋อ “พวกเจ้าหยุดพูดกันได้แล้ว!”
ชายที่มีหน้าตาชั่วร้ายคนหนึ่งปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าของพวกเขา “ใช่แล้ว! แม้ว่าพวกเจ้าจะร้องตะโกนไปก็เปล่าประโยชน์อยู่ดี เยี่ยของข้าเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังถึงขนาดนั้น เกรงว่าตอนนี้คนงามน่าจะเหนื่อยเกินกว่าที่จะเคลื่อนไหวได้! ถึงจะมีเรื่องอะไรก็รอให้พวกเขาแสดงความรักกันเสร็จก่อนแล้วค่อยมาพูดเถอะ!”
แน่นอนว่าจิตใจของเยี่ยคงสยบลงบนเรือนร่างของคนงามไปแล้ว ส่วนเรื่องการโจมตีศัตรูที่กำลังประมาทนั้นก็เป็นเรื่องที่ลูกน้องอย่างเขาต้องเป็นคนจัดการเพียงลำพัง เขานี่ช่างเกิดมามีชีวิตที่วุ่นวายเสียจริง!
ทันทีที่จื่อโยวเอ่ยปากออกมา ใบหน้าของจูเชว่ก็แข็งทื่อไปทันที ส่วนฉงหมิงก็รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อยเช่นกัน
.