ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2000 ยากที่จะทน
แม้ว่าเจ้าสำนักหลางซิงจะรู้สึกว่าตนเองนั้นแปลงโฉมได้ดีมาก แต่ทว่ามู่เฉียนซีกลับสังเกตเห็นมันได้ตั้งแต่แรกแล้ว
แม้ว่าเขาคิดที่จะหนีมาตั้งแต่แรกแล้ว ทว่าเขากลับไม่สามารถหนีรอดไปได้ ฉะนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้เลย
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชาว่า “อู๋ตี้ เสี่ยวหง เสี่ยวโม่โม่ เฝ้าเอาไว้ให้ดี อย่าปล่อยให้เจ้าหมอนี้หนีรอดไปได้”
สามตัว มีสัตว์เทพสามตัวเฝ้าอยู่ทั้งสามทิศทาง และไม่ว่าจะหนีไปทางไหนก็อาจจะเจอกับการโจมตีของพวกมันได้อยู่ดี
สีหน้าของเจ้าสำนักหลางซิงเปลี่ยนเป็นซีดเผือดขึ้นมาทันที สัตว์เทพสามตัว คิดไม่ถึงเลยว่าสาวน้อยผู้นี้จะมีสัตว์เทพถึงสามตัว
“เจ้า…ที่จริงแล้วเจ้าเป็นใครกันแน่?”
ทักษะวิญญาณ เคล็ดวิชา สัตว์เทพ พรสวรรค์ ดูไม่เหมือนกับคนที่ถูกเลี้ยงดูมาจากกองกำลังที่ไม่เป็นที่รู้จักเลย
แต่หากเป็นอัจฉริยะที่ถูกเลี้ยงดูมาจากกองกำลังใหญ่ ก็ไม่มีทางที่จะปกปิดเอาไว้นานได้หลายปีขนาดนี้เป็นแน่!
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเป็นใครอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นก็รอตอนที่เจ้านายของเจ้ากลับมาเกิดใหม่ แล้วเจ้าก็ลองไปถามดูก็แล้วกัน บางทีนางอาจจะบอกเจ้าก็ได้”
เจ้าสำนักหลางซิงกล่าวอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “มู่เฉินซี เจ้าบ้าไปแล้ว ความผิดของเจ้ามันร้ายแรงนัก แม้แต่องค์หญิงหลินหลาง…คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้า…”
นางเด็กสาวผู้นี้ช่างโอหังเป็นที่สุด นางกล้าพูดว่าจะสังหารองค์หญิงหลินหลางได้อย่างไร ถ้าอย่างนั้นนางก็สามารถฆ่าเขาได้โดยไม่กระพริบตาเลยน่ะสิ
“นางคือฝ่าบาทหลินหลางของเจ้า แต่สำหรับข้าแล้ว นางเป็นเพียงคนที่ต้องกำจัดทิ้งคนหนึ่งเท่านั้น”
ฉึก!
มู่เฉียนซีชักกระบี่ออกมาอย่างรวดเร็ว และกระบี่มังกรเพลิงพิฆาตวิญญาณก็ทะลุเข้าไปที่หน้าอกของเจ้าสำนักหลางซิงในทันที หลังจากนั้นเปลวเพลิงก็เริ่มแผดเผาร่างกายของเขา!
“อ๊ากกก!” เจ้าสำนักหลางซิงกรีดร้องอย่างโหยหวน การเผาไหม้ทางจิตวิญญาณยิ่งทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดทุกข์ทรมานมากขึ้นไปอีก
ในเวลานี้ จูเชว่ก็เข้ามาแล้วกล่าวว่า “ซีซีลงมือเร็วเกินไปแล้ว ไม่ให้โอกาสข้าได้แสดงความสามารถบ้างเลย!”
เหลิ่งหนิงจือก็มาด้วยเช่นกัน “เจ้านาย คนของพวกเราจัดการทั้งหมดเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
“เจ้าจัดการคนเพียงแค่คนเดียวเหตุใดถึงช้านักล่ะ!” ฉงหมิงกล่าวกับมู่เฉียนซี
ไป๋เจ๋อกล่าวว่า “จัดการคนที่อยู่ในสำนักหลางซิงเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นข้าจะลงไปดูสถานการณ์ที่ตีนเขาเสียหน่อย”
เจ้าสำนักหลางซิงได้ยินคำพูดเหล่านี้ด้วยจิตวิญญาณสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ สำนักหลางซิงของเขา จบสิ้นลงแล้ว!
และสำนักหลางซิงก็ได้จบสิ้นลงไปจริง ๆ แล้ว ภายใต้การร่วมมือกันของมู่เฉียนซีและจูเชว่ ทำให้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถที่จะต้านทานได้เลย
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “จากนี้ก็จัดการตามขั้นตอนต่อไป เร็วเข้า”
สิ่งของล้ำค่ามากมายของสำนักหลางซิงได้ถูกกวาดไปจนเกลี้ยง ซึ่งทำให้คนของสำนักหลางซิงที่ยังคงดิ้นรนอยู่คิดว่าสำนักหลางซิงของพวกเขาเหมือนกำลังเผชิญอยู่กับกลุ่มโจรเสียมากกว่า
ไม่ใช่ คนกลุ่มนี้ชั่วร้ายยิ่งกว่ากลุ่มโจรเสียอีก
แต่ผลก็คือเมื่อมองเห็นสิ่งของเหล่านี้ มู่เฉียนซีกลับรู้สึกรังเกียจเล็กน้อย
“ไหนว่าเป็นกองกำลังระดับสี่อย่างไรล่ะ! ของพวกนี้ยังสู้ตำหนักเทพวิญญาณหลับใหลไม่ได้เลยด้วยซ้ำ มู่หลินหลางตระหนี่กับพวกเจ้าถึงเพียงนี้ แต่พวกเจ้ากลับยังจะทุ่มเทให้กับนางถึงขนาดนี้ได้อีกหรือ สมองของพวกเจ้ากลวงไปแล้วหรืออย่างไร!”
คนของสำนักหลางซิงนิ่งเงียบไป ถึงแม้จะเห็นได้ชัดว่ามีสิ่งของมากมายที่ทำให้กองกำลังระดับสี่อื่น ๆ อีกมากมายตามไม่ทัน แต่นางก็ยังรู้สึกรังเกียจอยู่ดี
จูเชว่พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ดูเหมือนว่ามู่หลินหลางจะขี้งกเกินไปหน่อยจริง ๆ ยังจะกล้าเรียกตัวเองว่าองค์หญิงแห่งกองกำลังระดับห้าอีกอย่างนั้นหรือ นางแบ่งทรัพยากรเพียงเล็กน้อยแค่นี้ให้แก่กองกำลังที่เป็นลูกน้องตนเอง ไม่กลัวคนอื่นรู้เข้าจะหัวเราะเยาะจนฟันร่วงหรืออย่างไร”
คนถูกจัดการอย่างรวดเร็ว ส่วนของก็ถูกเก็บกลับไปอย่างรวดเร็ว!
ในส่วนของสำนักหลางซิงนั้น!
พวกเขาทั้งหมดเห็นพ้องต้องกันว่า ควรที่จะเผาทำลายไปให้หมดสิ้น อย่าให้เหลือร่องรอยอะไรไว้เลยจะดีที่สุด
ทั้งสี่คนต่างก็เป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุอัคคี แต่ผลลัพธ์ก็คือทั้งสามคนลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าการวางเพลิงนี้ขอมอบให้เป็นหน้าที่ของมู่เฉียนซี
ไป๋เจ๋อกล่าวว่า “พลังธาตุอัคคีของเฉียนซีนั้นแข็งแกร่งที่สุด ฉะนั้นหากเจ้าเป็นผู้เผาทำลายสำนักหลางซิงน่าจะทำได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งพวกเราจะได้รีบกลับกันอีกด้วย”
ฉงหมิงกล่าวอย่างฮึดฮัดว่า “พลังของข้าเหลืออีกไม่มากเท่าไรแล้ว อย่าคิดจะให้ข้าลงมือเลย เจ้าจัดการคนไปเพียงแค่คนเดียวนั่นแหละ อย่าอู้ไปหน่อยเลย”
และคิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้มีแต่จูเชว่ที่กลายเป็นคนทรยศไปเสียแล้ว เขากล่าวว่า “ซีซี ต้องการให้พวกเราร่วมมือกันหรือไม่”
ฉงหมิงจ้องมองไปที่เขาด้วยความโมโหพลางกล่าวว่า “เจ้ามันคนทรยศ!”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ไม่ต้องหรอก ข้าจะทำมันเอง! ส่วนคนอื่น ถอยออกไปก่อน!”
“ตกลง!”
พวกเขารีบออกไปจากบริเวณของสำนักหลางซิงอย่างรวดเร็ว จากนั้นมู่เฉียนซีก็กระโดดขึ้นไปกลางอากาศเหนือสำนักหลางซิงราวกับสายลม
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “มู่หลินหลาง การทำลายสำนักหลางซิงในคราวนี้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ส่วนเจ้าน่ะ รอก่อนเถอะนะ!”
พวกเขาทุกคนต่างก็มีความแค้นกับมู่หลินหลางอยู่ไม่น้อย การที่สามารถทำลายล้างกองกำลังสุนัขรับใช้ของมู่หลินหลางได้ถือว่าเป็นเรื่องที่สะใจมากอย่างแน่นอน แต่ทว่าพวกเขากลับมอบโอกาสเช่นนี้ให้แก่นาง อีกทั้งยังจงใจใช้ความสามารถที่แข็งแกร่งกว่าของนางมาเป็นข้ออ้างอีกด้วย
และพวกเขาก็สัมผัสได้ว่าความแค้นระหว่างนางกับมู่เฉียนซีนั้นผูกพันกันอย่างลึกซึ้งยิ่งกว่าพวกเขาเสียอีก ทั้งยังมีความเกลียดชังต่อผู้หญิงอย่างมู่หลินหลางยิ่งกว่าพวกเขาอีกด้วย
กระบี่มังกรเพลิงพิฆาตวิญญาณกวัดแกว่งอยู่บนอากาศ ทันใดนั้นมังกรยักษ์เก้าตัวก็พุ่งเข้าชนส่วนต่าง ๆ ของสำนักหลางซิง
แสงสว่างของเปลวเพลิงพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ภายในดวงตาที่แดงก่ำของมู่เฉียนซีเปล่งประกายไปด้วยแสงของเปลวเพลิงเหล่านั้น ในมือของนางถือกระบี่มังกรเพลิงเอาไว้ พลางบ่นพึมพำว่า “ทักษะวิญญาณธาตุอัคคีของข้าแข็งแกร่งมากขึ้นแล้วสินะ แต่ก็น่าเสียดายที่เจ้าหมอนั่นไม่มีโอกาสได้เยาะเย้ยข้าเพราะได้หลับไหลไปเสียแล้ว”
หากพิฆาตวิญญาณไม่ได้ต่อสู้กับศิษย์พี่ เดิมทีเขาน่าจะอยู่ได้นานกว่านิรันดร์เสียอีก แต่ผลสุดท้ายกลับต้องเข้าสู่การหลับไหลเร็วยิ่งกว่านิรันดร์ไปเสียได้
ทันใดนั้นเอวของนางก็ได้ถูกแขนคู่หนึ่งคุมขังเอาไว้ จากนั้นก็มีเสียงแหบพร่ามากระซิบอยู่ที่ข้างหูของมู่เฉียนซีเบา ๆ
“พลังการโจมตีของทักษะวิญญาณธาตุอัคคีของซีแข็งแกร่งขึ้นมากแล้ว แต่ว่า…”
“ข้าไม่ชอบที่เจ้าคิดถึงคนอื่นเลย”
จิ่วเยี่ยเข้ามาใกล้ จากนั้นก็ก้มศรีษะลงไปประทับกับริมฝีปากของนาง
เปลวเพลิงที่อยู่เหนือสำนักหลางซิงได้ทำให้ทั่วทั้งท้องฟ้าถูกย้อมเป็นสีแดง แต่ทั้งสองคนกลับกอดและจูบกันอยู่เหนือเปลวเพลิงเหล่านั้น
ดูเหมือนว่าจิ่วเยี่ยจะถูกเปลวเพลิงทำให้เคลื่อนไหวอย่างเร้าร้อนมากขึ้นไปอีก ด้วยสายลมที่กระโชกแรง ทำให้เส้นผมราวไหมสีดำขลับของเขาพันกันอย่างยุ่งเหยิง
พวงแก้มของมู่เฉียนซีแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อยเมื่อถูกจุมพิต และเมื่ออยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงมันก็กลายเป็นสีแดงกุหลาบขึ้นมาทันที
ร้อน!
ในฐานะที่มู่เฉียนซีเป็นเจ้านายของเปลวเพลิงทำให้นางไม่รู้สึกถึงความร้อนของเปลวเพลิงเหล่านี้ แต่ทว่าเปลวเพลิงที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ นางไม่สามารถที่จะไม่รู้สึกอะไรได้
จิ่วเยี่ยละริมฝีปากออกจากมู่เฉียนซี และดูเหมือนว่ากำลังมีเปลวเพลิงเริงระบำอยู่ภายในดวงตาสีฟ้าเข้มคู่นั้นของเขา
เขากระซิบกล่าวว่า “ในเมื่อซีร้อนมาก ข้าเองก็ร้อนมากเช่นกัน!”
“เช่นนั้นพวกเราไปหาที่เย็น ๆ สักที่กันเถอะ!” มู่เฉียนซีกล่าว
“ซีเป็นคนจุดไฟนี้เอง ฉะนั้นไม่ต้องหาที่เย็น ๆ หรอก แค่ซีดับมันก็พอแล้ว”
นางจุดไฟเพื่อเผาทำลายสำนักหลางซิงนะ! แต่ผลกลับทำให้ชายผู้นี้ถูกจุดไฟไปด้วยโดยที่ไม่รู้ตัว…
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เปลวเพลิงด้านล่างที่ลุกโชนอย่างรุนแรงเช่นนี้ข้าดับมันไม่ได้ และไฟเล็ก ๆ ที่เจ้าจุดนี้ข้าก็ไม่อยากจะดับมันเช่นกัน ดังนั้นเจ้า…อุ้บ...”
จิ่วเยี่ยผนึกริมฝีปากของมู่เฉียนซีอีกครั้ง และเขาก็ไม่อนุญาตให้นางไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้อีก
มู่เฉียนซีถูกจุมพิตจนเกือบที่จะหายใจไม่ออก และเมื่อรอให้ถูกคลายออกจากการคุมขัง มู่เฉียนซีจึงกล่าวว่า “หรือว่า ให้ข้าเอายาให้เจ้าสักหน่อยดีหรือไม่!”
ทันทีที่กล่าวถึงยา แววตาของจิ่วเยี่ยก็ยิ่งฉายแววอันตรายมากขึ้นไปอีก
จิ่วเยี่ยเอนตัวเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของมู่เฉียนซีว่า “วันนี้ซีได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ และข้าต้องให้รางวัลเจ้าอย่างแน่นอน!”
จิ่วเยี่ยอุ้มมู่เฉียนซีออกไป และเวลานี้เปลวเพลิงของมู่เฉียนซีได้แผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างในสำนักหลางซิงจนกลายเป็นเถ้าถ่านไปหมดแล้ว
สิ่งที่เรียกว่ารางวัล ก็คือการตอบแทนนางด้วยชายหนุ่มผู้หล่อเหลาที่ปรารถนาในตัวนางมากที่สุดในโลก แต่ทว่าชายหนุ่มผู้หล่อเหลาเช่นนี้ เมื่อได้มีความสุขขึ้นมาแล้ว ก็คอยตามกวนใจอย่างไม่หยุดหย่อนเลยทีเดียว
“ซี อยากให้ข้าดับไฟของเจ้าหรือไม่?” หลังจากที่สำเร็จแล้ว จิ่วเยี่ยก็กระซิบข้างหูของมู่เฉียนซีด้วยเสียงแหบพร่า
.
.