ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2001 เชื่อใจจิ่วเยี่ย
หัวใจของท่านอ๋องจิ่วเยี่ยนั้นดำจนดำมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ไม่ให้เขาเป็นคนดับไฟก็ไม่เป็นไร เขาจุดไฟกับซีที่นี่อีกครั้งก็ได้
ถึงเขาจะถูกซีจุดไฟมามากแล้ว แต่ท่านอ๋องจิ่วเยี่ยก็มีเคล็ดลับในการจุดไฟที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน
มู่เฉียนซีสั่นสะท้านไปทั้งตัว และจ้องมองจิ่วเยี่ยด้วยความโกรธพลางกล่าวว่า “เจ้า…”
“ใครบอกว่าข้าต้องการรางวัลเช่นนี้กัน”
“รางวัลที่ส่งออกไปแล้ว ข้าไม่รับคืนหรอกนะ” จิ่วเยี่ยกล่าวตอบ
ทันทีที่เพลิงลุกไหม้ สติสัมปชัญญะทั้งหมดของมู่เฉียนซีก็ลดน้อยลง และมันก็ไหลไปตามความนึกคิดที่อยู่ก้นบึ้งของหัวใจ หลังจากที่เข้าไปพัวพันกับจิ่วเยี่ย สุดท้ายนางก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับเจ้าหมาป่าที่น่ากลัวตัวนี้เสียแล้ว
“ดับมัน!” นางพูดคำหนึ่งนี้ออกมาอย่างชัดเจน
“อยากให้ใครมาดับมันอย่างนั้นหรือ?” จิ่วเยี่ยกล่าวถาม
ในเวลานี้ดวงตาของมู่เฉียนซีแดงก่ำ นางจ้องมองไปที่หวงจิ่วเยี่ยด้วยดวงตาที่เบิกกว้างพลางกล่าวว่า “แน่นอนว่าต้องเป็นเจ้าอยู่แล้ว หวงจิ่วเยี่ย!”
“ข้าต้องการเจ้า! ต้องการเจ้า!” คำพูดสองคำสุดท้ายของมู่เฉียนซีหนักแน่นมากขึ้นไปอีก
มุมปากของจิ่วเยี่ยกระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้าเข้มที่มักจะไร้ความรู้สึกคู่นั้นในเวลานี้กลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนที่กำลังมองไปยังมู่เฉียนซี จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยเสียงที่แหบพร่าว่า “ได้สิ! ข้าจะดับให้เอง!”
จุดจบของการที่ให้นายท่านจิ่วเยี่ยช่วยดับไฟ นั่นก็คือเรื่องที่ต้องจัดการหลังจากการต่อสู้ของพวกเขาทั้งหมดได้ถูกมู่เฉียนซีทิ้งเอาไว้ให้เป็นภาระคนอื่นเสียแล้ว
ฉงหมิงโกรธจนแทบที่จะล้มโต๊ะอยู่แล้ว ส่วนจูเชว่ก็มีสีหน้าที่มืดมนเป็นอย่างมาก และตอนนี้บนใบหน้าของไป๋เจ๋อก็ไม่มีรอยยิ้มอีกต่อไป
แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เพราะท่านอ๋องจิ่วเยี่ยผู้นั้นโหดเหี้ยมมากเกินไป
หลังจากนั้นมู่เฉียนซีก็ไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องอื่นเลย และเอาแต่อยู่กับจิ่วเยี่ยตลอด
ถึงอย่างไรปัญหาร้ายแรงก็ได้ถูกจัดการไปแล้ว เช่นนั้นก็ควรที่จะให้วันหยุดกับตนเองบ้าง
และในวันหยุดที่ร้อนแรงเช่นนี้ จิ่วเยี่ยก็ทำตามอำเภอใจเช่นเคย อีกทั้งเขายังพยายามที่จะใกล้ชิดด้วยวิธีต่าง ๆ อีกด้วย
ในตอนที่ทั้งสองเริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้นเรื่อย ๆ มู่เฉียนซีก็ได้สังเกตเห็นว่าช่วงไม่กี่วันมานี้จิ่วเยี่ยมีบางอย่างที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย
เพราะดูเหมือนว่าเขาจะทำตามอำเภอใจมากขึ้น อีกทั้งยังทิ้งร่องรอยเอาไว้ลึกขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
ทันทีที่มู่เฉียนซีขยับแขน นางก็สามารถที่จะควบคุมจิ่วเยี่ยได้ชั่วขณะหนึ่ง
“เจ้าใกล้จะต้องกลับไปแล้วใช่หรือไม่?” ถึงบนใบหน้าของเขาจะสามารถปกปิดความอาลัยอาวรณ์ได้ แต่ทว่าก็ยังมีการกระทำบางอย่างที่สามารถแสดงถึงอารมณ์ของเขาได้เช่นกัน
ทั้งสองสัมผัสกันอย่างใกล้ชิดขนาดนี้ แล้วมู่เฉียนซีจะไม่รู้สึกได้อย่างไร
จิ่วเยี่ยกล่าวว่า “อื้ม! ข้าหาวิธีเข้าไปยังเหวนรกได้แล้ว และข้าว่าจะลองไปดูสักหน่อย”
นางได้จ้องเข้าไปที่ดวงตาสีฟ้าเย็นยะเยือกคู่นั้นแล้วกล่าวว่า “จิ่วเยี่ย การไปที่ยังเหวนรกนั่นมีอันตรายหรือไม่?”
แม้การเข้ามาคลอเคลียของจิ่วเยี่ยจะไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกที่ต้องการจากกันชั่วนิรันดร์ แต่การอยู่ร่วมกันของทั้งสองก็ทำให้นางสามารถสัมผัสได้ถึงความอาลัยอาวรณ์ของจิ่วเยี่ย และเมื่อเทียบกับการแยกทางกันก่อนหน้านี้หลายครั้ง ดูเหมือนว่าจะมีความแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย
เพียงแต่มันมีความแตกต่างที่เล็กน้อยมาก แต่เมื่อใส่ใจใครสักคนแล้ว นางก็สามารถค้นพบมันได้ด้วยการรับรู้อันแข็งแกร่งได้ไม่ยาก
ความอ่อนไหว และความห่วงใยที่มีต่อเขาเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะทำให้ภายในหัวใจของจิ่วเยี่ยถูกมู่เฉียนซีจุดไฟขึ้นมาอีกครั้ง
เขาตอบกลับไปว่า “ข้ามีความพอดีอยู่ ไม่ว่าจะไปที่ไหนข้าก็สามารถที่จะกลับมาได้อย่างปลอดภัยแน่นอน นั่นเป็นเพราะซีกำลังรอข้าอยู่ และซีก็กำลังทำงานหนักเพื่อข้าอยู่อีกด้วย”
จิ่วเยี่ยจูบลงบนเปลือกตาของมู่เฉียนซี แล้วกล่าวต่อไปว่า “ข้าจะไม่ปิดบังเจ้า เพราะการไปยังเหวนรกนั้นมีความเสี่ยงอยู่เล็กน้อย แต่ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้ตนเองเกิดปัญหา จนทำให้ไม่ได้กลับมาเจอเจ้าอีก เพียงเพื่อเอาดีกิเลนมาให้ได้หรอก”
มู่เฉียนซีพุ่งตรงเข้าไปแล้วกล่าวว่า “จิ่วเยี่ย ข้าเชื่อใจเจ้า!”
ความใกล้ชิดก่อนที่จะต้องจากกันนั้น ดูเหมือนว่าจะทำให้ต้องเหน็ดเหนื่อยอยู่เช่นเคย และนอกจากนี้จิ่วเยี่ยยังไม่คิดที่จะหยุดด้วย…
หลังจากที่รอให้มู่เฉียนซีไม่มีแรงพอที่จะอาละวาดเขาจนหลับสนิทไปแล้ว จิ่วเยี่ยก็กล่าวว่า “สุ่ยจิงอิ๋ง!”
สุ่ยจิงอิ๋งกล่าวว่า “กิเลนแห่งนรก แม้แต่เจ้าเองก็ยังไม่รู้ถึงความตื้นลึกของมัน บวกกับคำสาปนั่นในตัวของเจ้าด้วย ตัวเจ้าในตอนนี้ค่อนข้างที่เสี่ยงมากเลยทีเดียว! หวังว่าเจ้าคงจะไม่โกหกซีเอ๋อร์หรอกนะ”
“ข้าไม่มีทางโกหกนางอยู่แล้ว” จิ่วเยี่ยกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ
ลำแสงสีฟ้าสว่างวาบแล้วหายไป ตอนนี้จิ่วเยี่ยก็ได้ออกไปจากแดนซวนเทียนแล้ว
ในตอนที่มู่เฉียนซีตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ข้างกายของนางยังคงมีกลิ่นอายที่คุ้นเคยหลงเหลืออยู่เล็กน้อย
“จิ่วเยี่ย ข้าจะรอข่าวดีจากเจ้า” นางกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ
ผลที่ตามมาหลังจากที่ปล่อยให้ตัวเองหยุดยาวเป็นเวลานานทำให้นางต้องเผชิญหน้ากับคำประณามของพันธมิตรที่ร่วมมือกับนางทั้งสามคน
ไป๋เจ๋อกล่าวว่า “สำนักหลางซิงถูกทำลายไปแล้ว และไม่ได้มีเพียงแต่มู่หลินหลางเท่านั้นที่ให้ความสนใจพวกเรา แม้แต่สำนักหลินเยว่ต่างก็สนใจพวกเราด้วยเช่นกัน เช่นนั้นหลังจากนี้พวกเราจะต้องซ่อนตัวกันสักระยะ มิเช่นนั้นพวกเราเกรงว่ามันอาจจะสร้างปัญหาให้กับท่านพ่อบุญธรรมได้”
“ใช่แล้ว! จึงจำเป็นต้องรีบจัดการแล้วเงียบไปสักระยะ น่าเสียดายที่มีผู้หญิงบางคนที่รู้ว่าโลกแห่งความรักอันงดงามนั้นคืออะไรจนไม่สนใจงานอื่น ๆ เลย! พวกเรายังดี เพราะเดิมทีก็เคลื่อนไหวอย่างเป็นความลับอยู่แล้ว แต่หอหมอปีศาจของเจ้ากำลังทำเงินมากมายอยู่ในที่แจ้ง เจ้าก็ไม่อยากสนใจมันแล้วอย่างนั้นหรือ?” ฉงหมิงที่เต็มไปด้วยความโกรธเคืองในเวลานี้ กล่าวด้วยท่าทางคำพูดและน้ำเสียงที่ดูรุนแรงอย่างมาก
ไป๋เจ๋อกล่าวว่า “เฉียนซี เจ้าอย่าได้กังวล ในตอนที่นายท่านนิรันดร์เคลื่อนไหว แม้แต่ราชวงศ์ตงหวงก็ยังไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวอย่างผลีผลาม! และแม้ว่าราชวงศ์ตงหวงจะรู้ว่าเจ้ากับหอหมอปีศาจมีความสัมพันธ์กัน แต่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าเป็นเจ้าของหอหมอปีศาจอยู่ดี ฉะนั้นไม่มีทางเคลื่อนไหวอย่างโจ่งแจ้งแน่นอน”
แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีเรื่องอีกมากมายให้ต้องจัดการอยู่ดี
มู่เฉียนซีลูบขมับที่เริ่มปวดของนางแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้แล้ว จะไปจัดการเดี๋ยวนี้แหละ ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ราชวงศ์ตงหวงลงมือกับหอหมอปีศาจของข้าได้ พวกเจ้าก็ระวังตัวด้วย!”
และมู่เฉียนซีก็ใช้วิธีการที่จัดการอย่างตรงไปตรงมามาก ซึ่งนั่นก็คือการที่นางหลอมยาลูกกลอนที่เมืองหนานหวางอยู่หลายครั้ง
การหลอมยาเพียงไม่กี่ครั้งนี้แน่นอนว่ามันไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่ากับสิ่งที่นิรันดร์เคยทำ แต่มันก็มีนักปรุงยาขั้นศักดิ์สิทธิ์เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทำได้
นี่คือความสามารถของหมอปีศาจ และนางก็ยังมีปรมาจารย์ที่ยอดเยี่ยมอยู่อีกคนหนึ่งด้วย ภูมิหลังเช่นนี้ของหอหมอปีศาจ ใครเล่าจะกล้าเคลื่อนไหวอย่างหุนหันพลันแล่น
มียาลูกกลอนชั้นยอด บวกกับข้อมูลของจูเชว่ ทำให้มู่เฉียนซีได้รับการติดต่อจากผู้แข็งแกร่งระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นราชันวิญญาณที่บำเพ็ญอยู่อย่างอิสระถึงสามคน
ค่าตอบแทนที่หอหมอปีศาจมอบให้นั้นมันน่าอัศจรรย์ใจมาก และมันก็ทำให้พวกเขาตอบรับที่จะปกป้องหอหมอปีศาจเป็นเวลาหนึ่งปีเลยทีเดียว
ถึงดินแดนทางทิศใต้ดูเหมือนจะคลื่นสงัดลมสงบ แต่บางทีอาจจะเป็นความสงบก่อนที่พายุจะโหมกระหน่ำก็เป็นได้
เรื่องที่สำนักหลางซิงถูกทำลาย ทำให้มู่หลินหลางเดือดดาลเป็นอย่างมาก แต่ทว่าอาการบาดเจ็บสาหัสที่นางได้รับคราวที่แล้วยังไม่หายดีเลย
เสด็จพ่อของนางได้มาเยี่ยมนาง และหลังจากที่ได้รับรู้เรื่องนี้แล้ว เขาก็กล่าวว่า “กองกำลังระดับสี่เป็นเพียงแค่ของเล่นของเจ้าเท่านั้น ถึงถูกทำลายไปแล้วก็ช่างปะไร หลินหลางเจ้าอย่าโกรธไปเลย!”
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะมาคิดเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ แต่การจดจ่ออยู่กับการฝึกฝนเพื่อบรรลุเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ต่างหากที่เป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด ส่วนคนเหล่านั้น พ่อได้ส่งคนไปเฝ้าจับตาเอาแล้ว ตราบใดที่พวกเขายังอยู่ที่แดนซวนเทียน เจ้าพวกคนที่กล้าทำให้ลูกสาวของข้าต้องโกรธเหล่านั้น ได้ถูกกำหนดไว้ให้ต้องตายอยู่แล้ว แต่อยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง”
มู่หลินหลางกล่าวว่า “ลูกผิดไปแล้ว ลูกจะรีบบรรลุเป็นระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ให้ได้แน่นอน เพื่อมิให้เสด็จพ่อต้องเป็นกังวลอีกต่อไป”
“ต้องอย่างนี้สิ!”
องค์จักรพรรดิผู้นี้ได้ส่งคนออกไปหาข่าว แต่ทว่าคุณชายจูเชว่ คุณชายไป๋เจ๋อและคุณชายฉงหมิงเหมือนว่าจะหายสาบสูญไปอย่างไรอย่างนั้น และมีเพียงหอหมอปีศาจเท่านั้นที่ยังคงอยู่
คนที่ถูกส่งให้ไปสอบถามข่าวคราวของหอหมอปีศาจได้กลับมาแล้ว และเขาก็รายงานว่า “ฝ่าบาท เขาคือนักปรุงยาที่แข็งแกร่งท่านหนึ่ง ซึ่งอยู่ ๆ ก็ได้มีความสนใจที่จะทำกิจการร้านขายยาเพื่อหาเงินขึ้นมาอย่างกะทันหัน และไม่ได้มีความขัดแย้งกับราชวงศ์ตงหวงของพวกเราโดยตรงพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่หอหมอปีศาจได้ให้ความช่วยเหลือเด็กสาวผู้นั้น จนมาทำร้ายลูกสาวอันล้ำค่าของข้า!” น้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดเสียงหนึ่งดังขึ้น
“เด็กสาวผู้นั้นกล้าทำร้ายองค์หญิงหลินหลาง มีโทษสมควรตาย! แต่ทว่าเวลานี้เด็กสาวผู้นั้นก็ไม่ได้อยู่ที่หอหมอปีศาจแล้วเช่นกัน สันนิษฐานว่าหอหมอปีศาจคงจะรู้แล้วว่านางได้ก่อเรื่องเอาไว้ ฉะนั้นจึงไม่สนใจว่านางจะอยู่หรือตายอีกต่อไปแล้ว ทางที่ดีพวกเราอย่าเพิ่งเคลื่อนไหวจะดีที่สุด! อย่างไรเสียหอหมอปีศาจนั่น…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เขาก็หยุดลงทันที
“เสนาบดีเจ้ามีความคิดอื่นอีกหรือไม่?”
.