ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2008 แตกพ่ายไปทีละคน
อาวุธลับบินออกมาจกที่ซ่อนอย่างรวดเร็ว อีกทั้งมันไม่ได้มีเพียงแค่ความเร็วเท่านั้น แต่บนอาวุธเหล่านั้นยังทาพิษเอาไว้อีกด้วย ขอเพียงสะกิดบนผิวหนังเพียงเล็กน้อย คนที่โดนจะต้องจบเห่อย่างแน่นอน
ปัง ปัง ปัง!
คนเหล่านี้อยากจะล้อมโจมตีมู่เฉียนซีให้ได้ภายในคราวเดียว แต่ผู้ใดจะคาดคิดเล่าว่ายังไม่ทันที่จะได้เข้าใกล้มู่เฉียนซี กลับต้องสูญเสียไปไม่น้อยเสียแล้ว
“ผู้ใดกัน? บัดซบเอ้ย ผู้นำเกาะซาน ที่นี่ยังมีคนซุ่มโจมตีอยู่ด้วยนี่” พวกเขากล่าวด้วยความเดือดดาล
ผู้นำเกาะซานก็น่าสงสัยมากเช่นกัน อย่างไรเสียที่นี่ก็คืออาณาเขตของเขา และเขาจะไม่สังเกตเห็นว่ามีศัตรูอื่นขึ้นมาบนเกาะของพวกเขาเลยได้อย่างไรกัน!
ในตอนนี้ผู้นำเกาะซานก็ได้สังเกตเห็นคนของสำนักเซิ่งหลินเหล่านั้นแล้วด้วย เขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ปล่อยอาวุธลับจะเป็นพวกเขา
ก่อนหน้านี้ พวกเขายังดูเป็นคุณหนูและนายน้อยของสำนักที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างสุขสบายอยู่เลย และนอกจากนี้พวกเขายังเปรียบเสมือนช่อดอกไม้ที่อยู่ในเรือนกระจกอย่างไรอย่างนั้นอีกด้วย เพราะถึงจะดูเหมือนว่าเติบโตมาได้อย่างดี แต่เมื่อต่อสู้ขึ้นมาแล้วกลับไม่ได้มีพลังในการต่อสู้มากเท่าไรนัก
นี่เพิ่งจะผ่านไปได้ไม่เท่าไรเท่านั้น แต่พวกเขากลับเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้แล้ว นั่นเป็นเพราะอาวุธลับเหล่านั้น หรือว่าเป็นเพราะเหตุผลอื่นกันแน่?
มู่เฉียนซีเหลือบมองไปยังพวกไม่เอาไหนเหล่านั้นแล้วกล่าวว่า “เสี่ยวโม่โม่ของข้ากำลังถูกตาแก่กลุ่มหนึ่งรังแกอยู่ ฉะนั้นข้าไม่ว่างมาเสียเวลากับพวกเจ้าหรอกนะ”
“เช่นนั้น พวกเจ้ารีบจบเห่ไปให้เร็วที่สุดจะดีกว่า!”
มู่เฉียนซีได้ล้วงเอาขวดยาน้ำออกมาหลายใบ
เพล้ง เพล้ง เพล้ง!
ยาน้ำเหล่านั้นระเบิดออก ทันใดนั้นไอพิษจำนวนนับไม่ถ้วนก็ทะลักออกมาปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณโดยรอบ
“แค่ก แค่ก แค่ก!”
เห็นได้ชัดว่าไอพิษนี้ไร้สีไร้กลิ่น แต่มันกลับทำให้พวกเขารู้สึกทรมานเป็นอย่างมาก และสุดท้ายทั่วทั้งคฤหาสน์ของผู้นำเกาะซานแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยพิษ
“สวมผ้าปิดตาที่แม่นางมู่มอบให้พวกเราซะ จากนั้นก็โจมตีต่อไป!”
และคนของสำนักเซิ่งหลินเหล่านั้นก็กระซิบกระซาบกัน หลังจากที่สวมผ้าปิดตาโปร่งใสเอาไว้ ถึงจะอยู่ภายในไอพิษเหล่านี้ พวกเขาก็สามารถมองเห็นได้ตามปกติอยู่ดี
นอกจากนี้พวกเขายังได้กลืนยาแก้พิษเข้าไปแล้ว จึงทำให้พิษเหล่านี้ไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อพวกเขา และในขณะที่เหล่าศัตรูกำลังวิงเวียนกันอยู่นั้น มันก็เป็นโอกาสที่ดีในการลงมือของพวกเขา!
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!
พวกเขาเริ่มโจมตีอย่างไม่พูดพร่ําทําเพลง และมันก็เป็นไปได้อย่างราบรื่นมาก ซึ่งพวกเขาก็มีความสุขมากกันมากจริง ๆ
“พระเจ้า! ข้าก็สามารถต่อสู้ข้ามขั้นได้เช่นกันสินะ!”
“ใช้กำลังน้อยสยบกำลังมากได้ ช่างยอดเยี่ยมมากเลยจริง ๆ”
“……”
ความจริงแล้วในเวลานี้เหล่าลูกศิษย์ที่ผู้นำเกาะพามาด้วยเหล่านั้นไม่มีพลังในการต่อสู้มากเท่าไรแล้ว ฉะนั้นมู่เฉียนซีจึงส่งมอบพวกเขาเหล่านี้ให้กับเหล่าลูกศิษย์ของสำนักเซิ่งหลินจัดการได้อย่างวางใจ และหลังจากนั้นนางก็พุ่งทะยานไปทางเสี่ยวโม่โม่
“แค่ก แค่ก แค่ก!”
แม้ว่าไอพิษเหล่านี้จะทำให้ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์รู้สึกอึดอัด แต่พวกเขาก็สามารถหาวิธีการตอบโต้ได้อย่างรวดเร็ว และพิษเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาได้รับความกังวลเท่าไรนัก
เนื่องจากว่าอีกฝ่ายมีความแข็งแกร่งทางด้านจำนวนคน ถึงแม้ว่าเสี่ยวโม่โม่จะมีความสามารถที่แข็งแกร่งแต่ก็ลำบากเล็กน้อยเช่นกัน และในเวลานี้ มู่เฉียนซีก็ได้มาถึงแล้ว
“พลังวายุทำลาย ดาวกระจาย!”
ในตอนที่ทักษะวิญญาณธาตุวายุระเบิดออกมานั้น มู่เฉียนซีก็ยังใช้ขนปีกหงส์ทมิฬไปด้วย และจากนั้นขนนกสีดำนับไม่ถ้วนก็พุ่งทะยานออกไป
ตูมมม โครมมม!
“นายท่าน ท่านมาแล้ว!” เสี่ยวโม่โม่กล่าวอย่างตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
“สู้เขาเสี่ยวโม่โม่ ข้าก็จะต่อสู้เป็นเพื่อนเจ้าด้วย!” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าค่ะ! นายท่านวางใจได้เลย พวกเราจะต้องเอาชนะพวกเขาได้อย่างแน่นอน” เสี่ยวโม่โม่ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ผู้นำเกาะกลุ่มนี้จึงต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของมู่เฉียนซีและสัตว์เทพตัวหนึ่ง ซึ่งเดิมทีแล้วเนื้อหนังของสัตว์เทพก็มีความแข็งแกร่งมากอยู่แล้ว จึงทำให้พวกเขายากที่จะทำลายได้ บวกกับเปลวเพลิงที่ทรงพลังนั้น หากสัมผัสโดนมันเข้าละก็ จะต้องไม่เกิดผลดีอะไรขึ้นมาแน่นอน
ความสามารถของแม่สาวน้อยในชุดสีม่วงผู้นั้นดูอ่อนแอมากที่สุดแล้ว แต่ผลสุดท้ายมันกลับเป็นเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกที่หลอกลวงเท่านั้นเอง
ความเร็วของนางเร็วมากจนผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งไม่สามารถทำอะไรได้เลย อีกทั้งนางยังมีมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ครึ่งเทพที่มีพลังในการต่อสู้อันทรงพลังมากอีกด้วย
ปัง ปัง ปัง!
หลังจากที่พวกเขาถูกโจมตีจนแตกพ่ายไปทีละคนแล้ว พวกเขาก็เพิ่งจะตระหนักได้ว่าผู้นำเกาะซานไม่ได้ทำเรื่องผิดพลาดแต่อย่างใด!
แต่การร่วมมือกันของมนุษย์และสัตว์เทพนี้ไม่ใช่เรื่องวิปลาสอย่างธรรมดาเลยจริง ๆ
ในที่สุดมู่เฉียนซีและเสี่ยวโม่โม่ก็จัดการผู้นำเกาะเหล่านี้ได้แล้ว และคนอื่น ๆ ก็จัดการกองกำลังที่ไม่เอาไหนเหล่านั้นเรียบร้อยแล้วเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่นอนหมอบอย่างหวาดกลัวอยู่บนพื้นอีกด้วย
ผู้นำเกาะซานในเวลานี้ก็ไร้ความสามารถไปแล้ว เรียกคนช่วยเหลือมามากมายขนาดนี้ยังไม่สามารถจัดการกับปีศาจตนนี้ได้เลย แท้จริงแล้วเขาจะต้องทำเช่นไรกันแน่!
“เจ้าฆ่าพวกข้าไม่ได้นะ เจ้าทำไม่ได้!”
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ!
ซึ่งมันก็เป็นผลให้มีเข็มยาหลายเล่มพุ่งออกไป จากนั้นมันก็กรีดผ่านต้นคอของพวกเขาไป
“แน่นอนว่าข้าไม่ฆ่าพวกเจ้าอยู่แล้ว” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเรียบเฉย
ความเจ็บปวดรวดร้าวได้ถาโถมเข้ามา และพวกเขาก็รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว จากนั้นจึงถามว่า “เจ้า…เจ้าทำอะไรกับพวกข้ากันแน่?”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ก็วางยาพิษน่ะสิ! จะให้ทำอะไรได้อีกล่ะ?”
“ต่ำช้าที่สุด!” พวกเขากล่าวอย่างเดือดดาล
หลังจากนั้น มู่เฉียนซีก็ถามคำถามพวกเขาเหมือนตอนที่เคยถามผู้นำเกาะซานก่อนหน้านี้ แต่ผลสุดท้ายพวกเขาก็ไม่รู้อะไรเลยเช่นกัน
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ที่หมู่เกาะเฮยสุ่ยแห่งนี้ยังมีใครรู้เรื่องเหล่านี้อีกบ้าง?”
“พวกเราเป็นเพียงผู้นำเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่ชายขอบก็เท่านั้น บางทีผู้นำเกาะที่เก่งกาจเหล่านั้นน่าจะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ความสามารถของพวกเขานั้นแข็งแกร่งมาก ฉะนั้นเจ้าไม่มีทางจัดการได้ง่ายดายขนาดนั้นแน่” พวกเขากล่าวตอบ
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเจ้าจะสามารถยุ่งได้อีกต่อไปแล้ว เอาผลึกวิญญาณอำพันที่พวกเจ้าเก็บรวบรวมมาได้ทั้งหมดออกมามอบให้ข้าซะเถอะ!”
“เจ้าหมายความว่าอะไรกัน? คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะกล้าปล้นผลึกวิญญาณอำพันเช่นนี้?” พวกเขากล่าวด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“จะพูดจาไร้สาระให้มากมายไปทำไม? ตอนนี้ข้าคือผู้ตัดสินใจว่าจะให้พวกเจ้าอยู่หรือตาย พวกเจ้าต้องการชีวิตหรือว่าผลึกวิญญาณอำพันกันล่ะ?”
“แต่ผลึกวิญญาณอำพันเป็นสิ่งของที่เบื้องบนสั่งมาให้เก็บรวบรวมไว้ หากเจ้าปล้นเอาผลึกวิญญาณอำพันไป ก็จะกลายเป็นการแย่งอาหารจากปากเสืออย่างสมบูรณ์ คนที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่คือเจ้าต่างหาก!”
พวกเขาไม่ได้เป็นห่วงมู่เฉียนซีอย่างหวังดี แต่เป็นเพราะมู่เฉียนซีได้วางยาพิษพวกเขาเอาไว้ และหากมู่เฉียนซีต้องตายไปพวกเขาที่ยังไม่ได้ยาแก้พิษต้องถูกฝังไปพร้อมกับนางเป็นแน่
“ไม่อยากให้อย่างนั้นหรือ?” น้ำเสียงของมู่เฉียนซีเย็นชามากขึ้นไปอีก
“พวกข้าจะมอบให้!”
“ให้เจ้าแล้ว!”
“……”
ในเมื่อมีคนต้องการรนหาทางตายอย่างหยิ่งผยอง พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกัน
คิดว่าความสามารถเพียงเล็กน้อยเท่านี้บวกกับสัตว์เทพเพียงตัวเดียวจะสามารถอาละวาดบนเกาะเฮยสุ่ยแห่งนี้ได้ตามอำเภอใจชอบจริง ๆ อย่างนั้นหรือ? มันเป็นไปไม่ได้เลย บนหมู่เกาะเฮยสุ่ยแห่งนี้ยังมียอดฝีมืออยู่อีกมากมายนัก
พวกเขาเก็บรวบรวมผลึกวิญญาณได้มากกว่าผู้นำเกาะซานเสียอีก และมู่เฉียนซีก็ได้ยึดมันทั้งหมดเอาไว้ หลังจากนั้นนางก็กล่าวว่า “พวกเจ้าไสหัวกลับไปได้แล้ว แต่เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่พวกเจ้าเงียบปากเอาไว้จะดีที่สุด! หากแพร่งพรายออกไปจนข้าต้องพบเจอกับปัญหาแล้วละก็ พวกเจ้าก็จะต้องเจอกับปัญหาที่ใหญ่ยิ่งกว่าข้าแน่นอน”
“ขอรับ!”
คนเหล่านี้เดินทางเพื่อมาสู้รบอย่างยิ่งใหญ่ แต่ผลสุดท้ายแต่ละคนกลับต้องวิ่งหนีกลับไปอย่างน่าสมเพช
เหงื่อเย็นไหลท่วมแผ่นหลังของผู้นำเกาะซาน และเขาก็ได้แต่กระสับกระส่ายอยู่ภายในใจ แม่นางคนนี้สามารถควบคุมผู้นำเกาะได้มากมายขนาดนี้แล้ว เหตุใดนางผู้นี้ถึงไม่ไปอยู่บนเกาะอื่น ๆ และเอาแต่อาศัยอยู่บนเกาะเล็ก ๆ นี้ของเขากันเล่า!
“เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปสอบถาม เจ้าได้สอบถามมาเรียบร้อยแล้วหรือยัง?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม
“ข้าสอบถามมาเรียบร้อยแล้วขอรับ นี่คือแผนที่ของหมู่เกาะเฮยสุ่ยทั้งหมดหนึ่งพันเกาะ ผู้นำเกาะที่อยู่ชั้นนอกส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่ง เมื่อมาถึงส่วนกลางก็เป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับสอง และใจกลางหมู่เกาะก็เป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม และส่วนที่มียอดฝีมือมากที่สุดก็คือเกาะจักรพรรดินิล พวกเราต้องเก็บรวบรวมผลึกวิญญาณนิลส่งไปที่นั่น ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าน่าจะมีผู้แข็งแกร่งที่เป็นถึงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับสามขึ้นไปอยู่ที่นั่นด้วย”
“ท่านมู่ ท่านก็อยู่บนเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้ไม่ดีกว่าหรือ เพราะอย่างไรท่านก็มีชื่อเสียงที่โหดเหี้ยมมากอยู่แล้ว เหตุใดต้องไปเสี่ยงอันตรายถึงที่นั่นด้วยล่ะ! ข้าจะคอยปรนนิบัติท่านเป็นอย่างดี จนสุขสบายดุจเทพพระเจ้าอย่างแน่นอน” ผู้นำเกาะซานกล่าวประจบประแจงด้วยรอยยิ้ม
เขาไม่อยากที่จะให้แม่นางผู้นี้ทำเรื่องบ้าบิ่นอย่างไม่กลัวตายเช่นนี้หรอก! เพราะพิษนี้ของเขาถึงจะไปถามคนอื่นมามากมายแล้ว แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถทำอะไรกับมันได้เลย
หากว่าแม่นางผู้นี้ต้องมาตายด้วยน้ำมือยอดฝีมือบางคนของหมู่เกาะเฮยสุ่ย คาดว่าชีวิตของเขาคงเหลืออีกไม่นานเป็นแน่
.