ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2011 ถูกบีบให้ร่วมมือ
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีอันแข็งแกร่งของมู่เฉียนซี หากว่าอ่อนให้แล้วละก็ คาดว่าน่าจะทำให้ตนเองต้องบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงจำเป็นที่จะต้องต่อสู้อย่างตั้งใจ
ผลของการต่อสู้เห็นอยู่ชัด ๆ แล้วว่าไม่มีทางเอาชนะได้ แม้ว่าจะเอาชนะแม่สาวน้อยคนนี้ได้แล้วจะมีประโยชน์อะไร เพราะถึงอย่างไรนางก็ยังมีสัตว์พันธสัญญาที่เก่งกาจอยู่ด้วยอีกตัวหนึ่ง
หากเขาทำร้ายนางเข้าละก็ คาดว่าความเดือดดาลน่าจะลามเข้ามาอย่างรวดเร็ว และหมายเอาชีวิตของเขาเป็นแน่
และการต่อสู้คราวนี้ จะต้องเป็นการต่อสู้ที่ทุกข์ทรมานมากอย่างแน่นอน
เขาในเวลานี้รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย เหตุใดคนบนเกาะของเขาถึงสามารถยืนหยัดกันได้นานถึงเพียงนี้ หากถูกจัดการให้เร็วกว่านี้เขาก็คงถูกปล่อยให้เป็นอิสระได้เร็วขึ้นอีกสักหน่อยก็เป็นได้!
แต่ความจริงแล้วความเร็วในการเก็บกวาดคนเหล่านี้ของเสี่ยวโม่โม่นั้นเร็วมากแล้ว และก่อนที่จะรอให้เสี่ยวโม่โม่เก็บกวาดทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย มู่เฉียนซีก็รวบรวมพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งมากที่สุด และพุ่งเข้าไปโจมตีเขาโดยตรง
ตูมมม โครมมม!
ในตอนที่ชายชรารู้สึกว่าร่างของเขากำลังลอยละลิ่วออกไปนั้น รอยยิ้มที่โล่งใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา เพราะในที่สุดแล้วมันก็สิ้นสุดได้เสียที
ตอนนี้คนของคฤหาสน์ผู้นำเกาะต่างก็ตื่นตกใจกันเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะต้องพ่ายแพ้เช่นนี้
ผู้นำเกาะที่กำลังหวาดกลัวกล่าวขึ้นมาด้วยเสียงที่สั่นเครือว่า “พวกเจ้า…พวกเจ้าต้องการอะไรกันแน่? ต้องการความมั่งคั่งหรือว่าต้องการคนอุ่นเตียง”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! คนอุ่นเตียงรึ อาศัยเพียงรูปร่างหน้าตาเช่นนี้ของพวกเจ้า พี่ใหญ่มู่ของเราไม่ชอบหรอก” คนของสำนักเซิ่งหลินเหล่านั้นหัวเราะขึ้นมายกใหญ่
“สิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกก็คือ ให้พวกเจ้าหุบปากไปเสีย”
จากนั้นมู่เฉียนซีก็หยิบยาขวดหนึ่งออกมาแล้วยื่นไปตรงหน้าของเขา สิ่งของที่อยู่ข้างในนี้ไม่ใช่ของดีอย่างแน่นอน แต่ทว่าผู้นำเกาะห่าวกลับจำใจที่จะต้องรับมันไว้
“มันคือยาพิษ!” ร่างของเขาสั่นเทาขึ้นมาทันที
เขาไม่ต้องการจะกินมันแต่เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ ฉะนั้นจึงทำได้เพียงแค่กัดฟันแล้วกลืนมันลงไปเท่านั้น
“เจ้ากำลังต้องการอะไรกันแน่?” เขากล่าว
“ข้าอยากจะถามคำถามกับเจ้าสักสามคำถาม คำถามแรก ต้องทำเช่นไรถึงจะออกไปจากหมู่เกาะเฮยสุ่ยได้”
“คำถามที่สอง ผลึกวิญญาณอำพันคืออะไร?”
“คำถามที่สาม เพราะอะไรจะต้องผสมแก่นเลือดลงไปในผลึกวิญญาณอำพันด้วย”
มู่เฉียนซีได้ถามสิ่งที่นางอยากรู้ทั้งหมดในคราวเดียว จากนั้นก็รอคำตอบของเขา
“ที่แท้พวกเจ้าก็อยากจะออกไปจากที่นี่เองสินะ! พลังในการต่อสู้ของพวกเจ้าแข็งแกร่งมาก แต่ความสามารถยังไม่ถึงระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์อยู่ดี เช่นนั้นก็ออกไปไม่ได้หรอก! ยอมแพ้เสียเถอะ!”
ภายในแววตาของมู่เฉียนซีส่องประกายเย็นยะเยือกออกมา และผู้นำเกาะห่าวก็รู้สึกว่ามีเหงื่อเย็นผุดขึ้นมาที่กลางหลังของเขา ในเวลานี้ชีวิตน้อย ๆ ของตนเองอยู่ในกำมือของคนอื่นแล้ว ฉะนั้นเขาจึงไม่ควรที่จะย่ามใจเช่นนี้
“ความจริงแล้วไม่ใช่ว่าออกไปไม่ได้ เพราะมีบางคนสามารถออกไปได้เช่นกัน ลูกศิษย์ของสำนักใหญ่ไม่ได้มีสิ่งของที่เรียกว่าม้วนมิติอะไรพวกนี้อยู่แล้วอย่างนั้นหรือ? ดูจากภูมิหลังที่ดีของพวกเจ้าแล้วน่าจะมีกันนะ!”
“มีบางคนที่ใช้วิธีการนี้ในการออกไปเช่นกัน”
“ข้าก็ได้ยินข่าวมาว่ามี”
คนของสำนักเซิ่งหลินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก มู่เฉียนซีจึงกล่าวว่า “คำถามต่อไป!”
“ผลึกวิญญาณอำพันมีเฉพาะในหมู่เกาะเฮยสุ่ยเท่านั้น มันคือผลึกที่มีความแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ส่วนที่ว่าคืออะไรนั้นไม่ใช่เรื่องที่สถานะเช่นข้าจะสามารถรู้ได้ และคำถามข้อที่สามนั้นข้ายิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่เลย พวกเราเพียงแค่เชื่อฟังคำสั่งและทำงานอย่างดี จากนั้นก็ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ที่หมู่เกาะเฮยสุ่ยไปวัน ๆ เท่านั้นแหละ”
มู่เฉียนซีก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับรู้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากปากของผู้นำเกาะชั้นในเหล่านี้เช่นกัน หลังจากนั้นนางจึงกล่าวว่า “ในเมื่อไม่รู้อะไรเลย เช่นนั้นก็จงมอบผลึกวิญญาณอำพันที่พวกเจ้าเก็บรวบรวมมาได้ออกมาให้ข้าเสีย”
“แม่นางน้อย ความสามารถของเจ้าไม่เลวเลย แต่ว่าข้าอยากจะแนะนำเจ้าสักคำ ว่าอย่าได้ทำให้เบื้องบนต้องขุ่นเคืองเลย มิเช่นนั้นจะต้องตายอย่างน่าอนาถมากเป็นแน่”
มู่เฉียนซีกล่าวตอบว่า “เบื้องบนของพวกเจ้าให้ความสนใจกับผลึกวิญญาณอำพันมากถึงเพียงนี้ หากว่าข้ามีผลึกวิญญาณอำพันที่เพียงพอแล้ว เช่นนั้นไม่ใช่ว่าข้าจะสามารถพูดคุยเงื่อนไขกับเขา และให้พวกเขาบอกวิธีการออกไปจากที่นี่ได้อย่างนั้นหรอกหรือ?”
“ที่แท้เจ้าก็มีเจตนาเช่นนี้เองสินะ! ข้าจะบอกเจ้าเลยว่า นี่มันเป็นไปไม่ได้หรอก!”
“แม้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ เจ้าก็ต้องมอบมันมาให้ข้า!” พัดวิหคเฟิงหลิงจ่ออยู่ที่ระหว่างคิ้วของเขา
“ตกลง ข้าจะมอบให้เจ้า!”
สมแล้วที่เป็นถึงผู้นำเกาะของเกาะชั้นใน เพราะเขานั้นมีผลึกวิญญาณอำพันอยู่ในมือไม่น้อยเลยทีเดียว และหลังจากนั้นมู่เฉียนซีก็เก็บมันทั้งหมดไป
นางกล่าวว่า “วันนี้เหนื่อยมากแล้ว และข้าก็อยากที่จะพักอยู่ที่เกาะแห่งนี้”
“ตกลง!”
“เอาตามที่พี่ใหญ่มู่ต้องการเถิด”
เซิ่งชงมาหามู่เฉียนซี จากนั้นเขาก็ได้หยิบเอาจี้หยกชิ้นหนึ่งออกมามอบให้กับมู่เฉียนซีพลางกล่าวว่า “พี่ใหญ่มู่ นี่คือจี้หยกเคลื่อนย้าย เมื่อตอนที่พวกเราตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต ก็จะสามารถใช้มันจะเคลื่อนย้ายไปยังสำนักของพวกเราได้”
“ผู้นำเกาะห่าวคนนั้นบอกว่ามันมีประโยชน์ ท่านเก็บเอาไว้ก่อนเถอะ”
มู่เฉียนซีจ้องมองไปที่เขาแล้วกล่าวว่า “คนอื่นก็มีอย่างนั้นหรือ?”
“ตอนที่พวกเราออกมาต่างก็เตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว แม้ว่าพวกเราจะกล้าท้าทาย แต่ก็ไม่สามารถเอาชีวิตของตนเองมาล้อเล่นได้”
“เจ้ามีสองชิ้นอย่างนั้นหรือ?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม
“อื้ม! แน่นอนอยู่แล้ว ข้าคือศิษย์พี่ใหญ่ ท่านอาจารย์ต้องให้มากกว่าอยู่แล้ว”
“เช่นนั้นก็เอาอีกชิ้นออกมาให้ข้าดูด้วย”
เซิ่งชงผงะไปครู่หนึ่ง “อีกชิ้นให้ศิษย์น้องหญิงเป็นคนเก็บเอาไว้…”
“เจ้านี่ช่างกล้าหาญเสียเหลือเกิน! กล้าโกหกต่อหน้าข้าอย่างนั้นหรือ แล้วไหนจะการแสดงที่แย่ขนาดนั้นอีก คิดว่าข้าหลอกง่ายขนาดนั้นจริง ๆ หรือ?” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างโกรธเคือง
พลันนั้นหน้าผากของเซิ่งชงก็เต็มไปด้วยเหงื่อ การพูดเรื่องโกหกไม่ใช่งานที่ง่ายเลยจริง ๆ! โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดคำโกหกต่อหน้าคนฉลาดอย่างพี่ใหญ่มู่ผู้นี้
“พี่ใหญ่มู่ช่วยชีวิตของข้าเอาไว้ อีกทั้งยังช่วยเหลือพวกเราอีกมากมาย ข้าเพียงแค่เต็มใจที่อยากจะทำอะไรเพื่อท่านบ้างไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
“ก็แค่จี้หยกเคลื่อนย้ายเท่านั้นเอง เจ้าคิดว่าเจ้ามี แล้วข้าจะต้องไม่มีมันหรือ! เอากลับไปซะ”
“จริงหรือ?” เซิ่งชงมองไปทางมู่เฉียนซีอย่างตื่นเต้น
“ถึงอย่างไรข้าก็มีหนทางของข้าอยู่แล้ว เจ้าคอยกังวัลเรื่องศิษย์น้องชายและศิษย์น้องหญิงของตนเองเถอะ!”
เมื่อเซิ่งชงครุ่นคิดดูแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ที่ตัวพี่ใหญ่มู่มีของดี ๆ อยู่มากมาย อีกทั้งจี้หยกเคลื่อนย้ายก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรอีกด้วย
มู่เฉียนซีกล่าวกับเขาว่า “บอกเหล่าศิษย์น้องชายและศิษย์น้องหญิงของเจ้าว่า จี้หยกเคลื่อนย้ายนี้หากไม่ถึงคราวสุดวิสัยจริง ๆ ทางที่ดีที่สุดก็อย่าได้ใช้มันตอนที่อยู่ที่นี่จะดีกว่า”
“พี่ใหญ่มู่ทำไปเพื่อที่จะฝึกฝนให้พวกเรา ซึ่งพวกเราก็เข้าใจดี นอกจากจะอยู่ในสถานการณ์ที่วิกฤติมาก แม้ว่าจะพบเจอกับความยากลำบากเพียงใดพวกเราก็จะไม่มีทางหนีไปเป็นอันขาด พวกเรายังอยากที่จะท่องยุทธภพไปกับพี่ใหญ่มู่อีกสักระยะหนึ่ง! ช่วงนี้พวกเราได้รับประโยชน์มากมายเลยจริง ๆ” เซิ่งชงกล่าวอย่างรับประกัน
มู่เฉียนซีรู้ดีว่าเขาเข้าใจผิด แต่ทว่าเรื่องราวต่าง ๆ ยังไม่ได้รับการยืนยัน ฉะนั้นจึงยังไม่ได้บอกพวกเขา เพราะมันจะทำให้พวกเขาต้องเป็นกังวลเสียเปล่า ๆ!
หลังจากที่พักผ่อนแล้ว พวกเข้าก็เริ่มกวาดล้างตามเส้นทางเกาะชั้นในต่อไป
ถึงจะสร้างความวุ่นวายที่เกาะชั้นนอกมากมายขนาดนั้น ก็ยังไม่ดึงดูดความสนใจของคนอื่นเท่านี้เลย แต่ทว่าเมื่อสร้างปัญหาที่เกาะชั้นในจะต้องเป็นที่สนใจแน่นอนอยู่แล้ว
“นายท่าน ได้ยินข่าวมาว่ามีลูกศิษย์จากสำนักกลุ่มหนึ่งพลาดท่าเข้ามาที่หมู่เกาะเฮยสุ่ย และพวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะถูกขังเอาไว้ที่นี่ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงทำการกวาดล้างเกาะชั้นนอกและเกาะชั้นใน อีกทั้งยังยึดเอาผลึกวิญญาณอำพันของแต่ละเกาะไปด้วย”
“พวกเขาจะเอาผลึกวิญญาณอำพันไปทำไมกัน? ข้าไม่เชื่อว่าพวกเขาจะรู้ถึงวิธีใช้เฉพาะทางของผลึกวิญญาณอำพันหรอกนะ?”
“พวกเขาไม่มีทางรู้อย่างแน่นอน! พวกเขาต้องการที่จะเอาผลึกวิญญาณอำพันมากมายนั้นมาเจรจากับนายท่าน และให้นายท่านบอกวิธีออกไปจากที่นี่แก่พวกเขาขอรับ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! เป็นหนุ่มสาวที่น่าสนใจจริง ๆ เช่นนั้นก็ให้พวกเขาทำต่อไปเถอะ! การที่เกาะต่าง ๆ ไม่สามารถจัดการกับเด็กน้อยเหล่านี้ได้ นั่นก็เป็นเพราะพวกเขามันไร้ความสามารถเอง!”
“แต่ทว่าผลึกวิญญาณอำพันเหล่านั้น พวกเขามีมันอยู่ในมือมากมายแล้วนะขอรับ”
“ก็แค่ฝากเอาไว้ในมือของพวกเขาก่อนสักระยะหนึ่งเท่านั้น ถึงอย่างไรสุดท้ายแล้วมันก็ต้องตกมาอยู่ในมือของพวกเราอยู่ดี”
“ที่นายท่านพูดก็ถูก เช่นนั้นปล่อยพวกเขาไปก่อนก็แล้วกัน”
ความสูญเสียและความวุ่นวายเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เบื้องบนก็ไม่ให้ความสนใจ และผู้นำเกาะชั้นในต่าง ๆ ก็รู้ดีว่าเบื้องบนต้องการที่จะให้พวกเขาจัดการด้วยตนเอง
ตอนแรกพวกเขาไม่ได้เก็บมาใส่ใจเท่าไรนัก แต่หลังจากที่เห็นว่าแต่ละเกาะถูกพวกเขาปล้นไปจนเรียบ ผู้นำเกาะที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันบางคนก็ตัดสินใจร่วมมือกัน
“พวกข้าไม่เชื่อหรอกว่า หากพวกเราร่วมมือกันจะจัดการเด็กน้อยกลุ่มนี้ไม่ได้”
.
.