ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2015 นายน้อยมาถึงแล้ว
ในฐานะที่เป็นนักปรุงยาคนหนึ่ง นางมีความหลงใหลในการปรุงยา แต่สำหรับคนบ้าที่ทำการทดลองกับร่างกายมนุษย์เพื่อผลลัพธ์เช่นนั้น นางเข้าใจความชั่วร้ายของพวกมันอย่างลึกซึ้งเลยทีเดียว
นางเคยสังหารหมอบ้าคลั่งมาหลายคนแล้ว อีกทั้งยังทำลายห้องทดลองของพวกเขาไปอีกหลายแห่ง และยังรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการทดลองที่ผ่านมาของพวกเขาอีกด้วย
สิ่งที่ผู้อาวุโสหวังพูดมาเหล่านี้ ทำให้นางนึกถึงความทรงจำอันเลวร้ายที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
ไม่ว่าจะอยู่ในโลกไหนก็ตาม ต่างก็มีคนที่บ้าบอเช่นนี้อยู่เสมอ
แต่พวกคนโรคจิตเช่นนี้ในโลกใบนี้ กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีกองกำลังระดับสี่ครึ่งคอยหนุนหลังอยู่
ผู้อาวุโสหวังรู้สึกว่าทั่วทั้งร่างเย็นยะเยือกจนขนลุกขนพองไปหมด ตอนที่แม่สาวน้อยผู้นี้ใช้ยาพิษในการข่มขู่เขาว่าน่ากลัวแล้ว แต่ตอนที่นางมีท่าทางนิ่งเงียบเหมือนในตอนนี้กลับน่ากลัวมากยิ่งกว่า
หลังจากนั้นน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกก็ดังขึ้นมา “เจ้าสำนักของสำนักหมอทมิฬของพวกเจ้าช่างมีสติปัญญาความสามารถมากเหลือเกินนะ! คิดว่าน่าจะมีผลลัพธ์แล้วสินะ เจ้าสำนักของพวกเจ้าใช้ร่างกายของมนุษย์ทดลองไปมากเท่าไร ถึงประสบความสำเร็จได้กันล่ะ!”
ผู้อาวุโสหวังกล่าวว่า “ก็ไม่ได้ใช้คนมากขนาดนั้น เพียงแค่หมื่นกว่าคนเท่านั้นเอง และพวกเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นเด็กที่ไม่มีพ่อแม่ด้วยกันทั้งนั้น”
“แม่สาวน้อย อัจฉริยะที่ทำลายกฏสวรรค์สามารถสร้างขึ้นได้ เจ้าสำนักของพวกเราใกล้ที่จะทำได้สำเร็จแล้ว หลังจากที่ทำสำเร็จแล้ว สำนักหมอทมิฬของพวกเราก็จะสามารถมีอัจฉริยะได้มากมายเท่าที่ต้องการ และรอหลังจากที่พวกเราเจริญรุ่งเรืองแล้ว ราชวงศ์ตงหวงจะไปสำคัญอะไรกันล่ะ? เพราะทั่วทั้งแดนซวนเทียนล้วนแล้วแต่ต้องอยู่ภายใต้พวกเราสำนักหมอทมิฬทั้งนั้น”
“พรสวรรค์ของเจ้านั้นแข็งแกร่งมาก หากเจ้ามีส่วนช่วยในการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์คราวนี้ให้ออกมาได้ ในอนาคตท่านเจ้าสำนักจะต้องให้ประโยชน์แก่เจ้าไม่ขาดอย่างแน่นอน! ถึงอย่างไรเสียแม้ว่าพรสวรรค์ของเจ้าจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับอัจฉริยะที่ท่านเจ้าสำนักสร้างขึ้นมาได้เป็นแน่ เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าสำนักก็ยังสามารถช่วยเลื่อนขั้นพรสวรรค์ให้เจ้าได้ และนอกจากนี้คนของสำนักหมอทมิฬต่างก็สามารถทำได้เช่นกัน”
ผู้อาวุโสหวังพยายามจะพูดจาโน้มน้าวมู่เฉียนซี เพราะใครเล่าจะสามารถต้านทานสิ่งล่อตาล่อใจเช่นนี้ได้
กลิ่นอายที่กระจายออกมาของมู่เฉียนซีนั้นน่าสะพรึงกลัวมากขึ้นไปอีก การเปลี่ยนแปลงอะไรกัน? นี่เป็นเพียงแค่เรื่องบ้าคลั่งที่พวกเขาทําออกมาเพราะความทะเยอทะยานเท่านั้นเองมิใช่หรือ?
อัจฉริยะที่ถูกสร้างขึ้นมาในจำนวนมาก นั่นไม่มีทางใช่อัจฉริยะหรอก แต่มันเป็นเพียงแค่เครื่องจักรที่ไร้ความเป็นมนุษย์ซึ่งถูกควบคุมโดยมนุษย์เท่านั้น
“ซีเอ๋อร์ ข้านึกออกแล้วว่าผลึกวิญญาณอำพันคือสิ่งใด? นี่คือผลงานชิ้นเอกที่นักปรุงยาคนหนึ่งสร้างขึ้นมาเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว เพราะข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องที่ว่า ตอนแรกนั้นเขาได้ใช้พลังของมิติทำบางอย่างออกมาเพื่อทำลายโลกแห่งนี้”
ที่แท้เจ้าสำนักของสำนักหมอทมิฬก็ไม่ได้มีความสามารถที่แข็งแกร่งด้วยตนเอง แต่เป็นเพราะมีข้อมูลจากสมัยโบราณจึงทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้
แต่ถึงอย่างไรสิ่งที่ประกาศออกไปภายนอกก็เป็นเพียงแค่ผลของการศึกษาวิจัยของเขาเท่านั้น ซึ่งมันก็ทำให้ลูกน้องของเขาเลื่อมใสเขามากยิ่งขึ้น
“ในตอนแรกเขาได้ใช้พลังทางสายเลือดและพรสวรรค์ของคนในแคว้นทั้งหมด เพื่อรวบรวมมาไว้ในร่างกายของเขา และคิดว่าจะกลายเป็นเทพยุคใหม่ที่มีพรสวรรค์เหนือกว่าเทพสมัยโบราณให้ได้ภายในคราวเดียว”
มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “เขาทำสำเร็จแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“ถือได้ว่าสำเร็จแล้วล่ะ เพราะในตอนแรกมีหลายคนที่สู้เขาไม่ได้ และพลังต่าง ๆ ของเขาก็ระเบิดออกมาอย่างแข็งแกร่งมาก แต่สุดท้ายแล้วก็ขอให้พวกเราออกโรง”
“พิฆาตวิญญาณเป็นคนจัดการเขาอย่างนั้นหรือ?” เพราะในบรรดาพวกเขา พิฆาตวิญญาณนั้นต่อสู้ได้ดีมากที่สุด และเรื่องเช่นนี้ก็น่าจะมีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้
“ไม่ใช่ นิรันดร์เป็นคนจัดการ! ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่านิรันดร์จัดการเช่นไร แต่การทำให้ร่างกายของมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงจากนักปรุงยาและพลังของมิติเช่นนี้ ในฐานะที่เขาเป็นนักปรุงยาที่แข็งแกร่งมากที่สุดแน่นอนว่าน่าจะมีหนทางอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถแก้ไขมันได้อย่างง่ายดาย”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ที่แท้ก็เป็นนิรันดร์นี่เอง!”
แม้ว่านิรันดร์จะเป็นคนเจ้าชู้ตัวพ่อคนหนึ่ง แต่กลับไม่ส่งผลกระทบต่อความนับถือที่นางมีต่อเขาเลย นั่นเป็นเพราะว่าทักษะการปรุงยาของนิรันดร์นั้นแข็งแกร่งมากจริง ๆ และมันก็คือทั้งหมดที่นางตามหาอีกด้วย
ในเวลานี้ มู่เฉียนซีสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังเข้ามาใกล้ที่นี่ แต่ว่านางไม่มีหนทางที่จะออกไปจากที่นี่เลย
สุ่ยจิงอิ๋งกล่าวว่า “ซีเอ๋อร์ผลึกวิญญาณอำพันที่อยู่ที่นี่มีพลังมิติอยู่ด้วย เจ้าสามารถใช้ผลึกวิญญาณอำพันนี้เปิดเส้นทางหนีออกไปได้ นอกจากนี้ที่หมู่เกาะเฮยสุ่ยแห่งนี้ก็สามารถขุดผลึกวิญญาณอำพันออกมาได้ไม่มากเท่าไรแล้ว ซึ่งข้าสามารถดูซับพลังมิติเหล่านี้ให้หมดสิ้นไปได้ และหลังจากนี้ไปพวกเขาก็จะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้อีกแล้ว”
เดิมทีแล้วยังอยากที่จะถามผู้อาวุโสหวังอีกสักหน่อย แต่ดูเหมือนว่ามันจะสายเกินไปเสียแล้ว
สุ่ยจิงอิ๋งได้ดูกลืนพลังมิติเหล่านั้นเข้าไปแล้ว แม้ว่ามันจะน้อยมาก แต่มันก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย และสำหรับสุ่ยจิงอิ๋งแล้วมันก็ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง
จากนั้นมู่เฉียนซีก็ได้ทำตามคำแนะนำของสุ่ยจิงอิ๋ง นั่นคือการเอาผลึกวิญญาณอำพันวางให้เป็นค่ายกลขนาดใหญ่ภายในนี้ หลังจากนั้นก็หนุมวนพลังมิติ แล้วฉีกผนึกมิติที่อยู่ภายในนี้ให้เปิดออก
“นายน้อย ใต้เท้าอยู่ในนี้ขอรับ”
ที่ด้านนอกประตูมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา แววตาของผู้อาวุโสหวังเปล่งประกายแวววาวขึ้น นายน้อยมาแล้ว นางสาวน้อยผู้นี้จะต้องตายอย่างแน่นอน
เขากล่าวว่า “แม่สาวน้อย เจ้าลองคิดดูให้ดี ที่นี่ไม่มีทางให้หนีไปได้หรอกนะ! ขอเพียงเจ้ายอมจำนนต่อสำนักหมอทมิฬของข้า ข้าสามารถขอร้องนายน้อย ให้เขาให้โอกาส แล้วยอมมองข้ามเจ้าไปได้นะ!”
“สำนักหมอทมิฬของพวกเจ้าไม่อยู่ในสายตาของข้าหรอก และเจ้าก็ตายไปซะเถอะ!” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชา
ทันใดนั้นชายหนุ่มชุดคลุมดำคนหนึ่งเดินเข้ามา และเขาก็ทันได้เห็นผู้อาวุโสหวังถูกมู่เฉียนซีสังหารด้วยพัดหยก จากนั้นเขาจึงกล่าวอย่างเดือดดาลว่า “บังอาจนัก! คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะฆ่าคนของข้า!”
และผู้ติดตามของเขาเหล่านั้นก็ได้ระเบิดพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งออกมา คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาแต่ละคนล้วนเป็นถึงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงกันทั้งนั้น
พลังที่น่าสะพรึงกลัวจู่โจมเข้ามา และมู่เฉียนซีก็พุ่งทะยานเข้าไปในค่ายกลนั้น จากนั้นก็เปิดมันออก!
ปัง!
ในตอนที่พวกเขาพุ่งทะยานตามไป ก็ได้ถูกมิติที่ปั่นป่วนนั่นขวางทางเอาไว้ และไม่มีทางทำร้ายมู่เฉียนซีได้เลยแม้แต่ปลายก้อย
พวกเขาทำได้เพียงจ้องมองมู่เฉียนซีที่หายไปต่อหน้าต่อตาของพวกเขาอย่างไม่สามารถทำอะไรได้เลย!
ก่อนที่จะจากไปมู่เฉียนซีได้กล่าวว่า “สำนักหมอทมิฬของพวกเจ้า ช่างดีเสียเหลือเกิน! หนี้ในคราวนี้ พวกข้าจะค่อย ๆ มาสะสางมันเอง!”
“นางสารเลว! คิดจะหนีหรือ!” นายน้อยผู้นั้นกล่าวอย่างเดือดดาล
“นายน้อย นางเด็กน้อยคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ คิดไม่ถึงว่าจะใช้ผลึกวิญญาณอำพันนี้เปิดผนึกมิติของหมู่เกาะเฮยสุ่ยได้”
“เจ้าพวกไร้ประโยชน์ ไม่รู้ว่าปล่อยให้นางเด็กนั่นรู้เรื่องอะไรไปแล้วบ้าง?”
ชายหนุ่มผู้นั้นมีใบหน้าที่หล่อเหลาเป็นอย่างมาก แต่ทว่าเวลานี้กลับเคร่งขรึมมากเลยทีเดียว เขากวาดสายตามองไปยังร่างของผู้อาวุโสหวังที่อยู่บนพื้นแล้วกล่าวว่า “มัวตะลึงอะไรอยู่? ดึงวิญญาณออกมา! แล้วถามซะ!”
“ขอรับ!”
ถึงมู่เฉียนซีจะสังหารคนไปแล้ว แต่ก็ทำลายวิญญาณของเขาไม่ทันอยู่ดี
วิญญาณของผู้อาวุโสหวังที่ตายไปแล้วถูกดึงออกมา เมื่อเห็นว่าสีหน้าของนายน้อยไม่ดีเท่าไรนัก จึงได้สารภาพเรื่องทั้งหมดออกไป
“บัดซบเอ้ย! คิดไม่ถึงเลยว่านางสาวน้อยผู้นั้นจะรู้มากถึงขนาดนี้! รีบส่งคนออกไปไล่ล่านางเดี๋ยวนี้ อย่าให้นางรอดชีวิตไปได้เป็นอันขาด”
“ขอรับ!”
เรื่องราวนี้เป็นเรื่องที่น่าตกใจเกินไป อีกทั้งสำนักหมอทมิฬของพวกเขาก็มีชื่อเสียงมากในราชวงศ์ตงหวง ต้องไม่มีใครเชื่อเรื่องไร้สาระจากปากของเด็กน้อยคนหนึ่งแน่นอน
แต่สำหรับภัยคุกคามเช่นนี้ พวกเขาจะต้องกำจัดมันทิ้งไปให้สิ้นซาก
สำหรับผู้อาวุโสหวังนั้น เขาได้เคยช่วยชีวิตของนายน้อยเอาไว้ ในเมื่อจิตวิญญาณยังคงอยู่ ก็ยังพอมีหนทางที่จะมีชีวิตต่อไปได้ แต่ผลสุดท้ายนายน้อยก็กล่าวอย่างเย็นชาว่า “คนที่ไม่สามารถทำงานให้สำเร็จได้แล้ว ทั้งยังทำเรื่องผิดพลาดเช่นนี้ ทำให้จิตวิญญาณของเขาหายไปเสีย”
“ขอรับ! นายน้อย!”
“อ๊ากกก!” และจิตวิญญาณของผู้อาวุโสหวังก็ถูกทำลายไปทันที
มู่เฉียนซีเปิดเส้นทางได้แล้ว และภายในเส้นทางนั้นก็ไม่เจอกับอันตรายใด ๆ เลย หลังจากนั้นเพียงไม่นานนางก็มาถึงสถานที่ที่ปลอดภัย
มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “สุ่ยจิงอิ๋ง เป็นเช่นไรบ้าง?”
“ข้าได้ดูดกลืนพลังมิติของผลึกวิญญาณอำพันในหมู่เกาะเฮยสุ่ยไปจนหมดสิ้นแล้ว คาดว่านั่นน่าจะเป็นสถานที่สุดท้ายที่เหลืออยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณ และจากนี้ไปเขาก็จะไม่มีสิ่งของเอาไว้ทำร้ายคนได้อีกแล้ว” สุ่ยจิงอิ๋งกล่าวตอบ
“เป็นเช่นนั้นก็ดี เพียงแต่ว่าสำนักหมอทมิฬนี้…”มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชา
สำนักหมอทมิฬเป็นกองกำลังระดับสี่ครึ่ง หากต้องการที่จะทำลายพวกเขาทั้งสำนักนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เกรงว่าน่าจะยากลำบากกว่าการกำจัดสำนักหลินเยว่เสียอีก
“ซีเอ๋อร์ เจ้าอย่าใจร้อนเกินไป ตอนนี้ข้าได้ทำลายรากฐานของพวกเขาไปจนสิ้นแล้ว เจ้าอย่าได้เสี่ยงเกินไปนักเลย” สุ่ยจิงอิ๋งกล่าว
.