ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2018 จำคนผิดแล้ว
“ให้ตายเถอะ!” เสี่ยวโม่โม่เกลียดเจ้าหมอนั่นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเกลียดชัง และอยากที่จะกลับไปต่อสู้อย่างสุดชีวิตกับเขาจริง ๆ
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เสี่ยวโม่โม่ ไปเร็ว!”
แม้ว่าพวกเขาจะหนีไปได้ไกลแล้ว แต่กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวของการถูกตามติดนั้นยังคงไม่จางหายไปอยู่ดี
มู่เฉียนซีรู้ดีว่า นางไม่สามารถที่จะสลัดเจ้าหมอนี่ให้หลุดออกไปได้
และหลังจากที่วิ่งวนไปทั่วอย่างไม่มีแบบแผนเลยแม้แต่น้อยอยู่นาน มู่เฉียนซีก็ได้เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในเทือกเขาแห่งหนึ่ง และเตรียมที่จะพักสักระยะ
ในตอนนี้ร่างกายของนางได้รับบาดเจ็บ และเสี่ยวโม่โม่ก็บินจนเหนื่อยล้าเต็มทีแล้ว
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มู่เฉียนซีจัดการกับบาดแผลของตนเองแล้ว และยังไม่ทันที่นางจะพักผ่อนอย่างเพียงพอจนฟื้นฟูพลังวิญญาณของนางได้ มู่เฉียนซีก็สัมผัสได้ว่ามีอันตรายกำลังใกล้เข้ามาเสียแล้ว
สมกับที่เป็นสุดยอดนักฆ่า เขาสามารถซ่อนเร้นจิตสังหารไว้ได้อย่างดีมากเลยทีเดียว
หากไม่ใช่เพราะการรับรู้ทางจิตวิญญาณอันเฉียบแหลมของนาง คาดว่าอีกฝ่ายคงสามารถค้นหาตำแหน่งของนางได้โดยที่ไม่ทันรู้ตัว และหลังจากนั้นก็คงจะถูกโจมตีจนถึงแก่ชีวิตในคราวเดียวอย่างแน่นอน
ทำอย่างไรก็คงไม่สามารถสลัดเขาให้หลุดไปได้เลยจริง ๆ สินะ!
มู่เฉียนซีรีบหนีออกไปจากตำแหน่งเดิมอย่างรวดเร็ว แต่ถึงกระนั้นเพียงไม่นานนางก็ถูกเขาไล่ตามมาจนทันเสียแล้ว
มู่เฉียนซีจ้องมองไปยังใบหน้าที่เย็นชาของนักฆ่าผู้นั้นแล้วกล่าวว่า “ที่จริงแล้วเขาจ้างเจ้ามาเท่าไรกันแน่ เหตุใดเจ้าจำต้องทุ่มเทกำลังถึงเพียงนี้กัน?”
ทันทีที่นางพูดคำนั้นจบ กระบี่ก็ตวัดมาหยุดที่ระหว่างคิ้วของนาง ซึ่งการเคลื่อนไหวที่อันตรายนั้น ทำให้นางไม่สามารถสื่อสารกับอีกฝ่ายได้เลย
“ชีวิตของข้านั้นแพงมาก คิดว่าสำนักหมอทมิฬไม่น่าจะสามารถจ่ายแพงขนาดนั้นได้ ไม่อย่างนั้นพวกเรามาเจรจากันสักหน่อยดีหรือไม่?”
“แน่นอนว่าชีวิตของเจ้านั้นแพงมากอยู่แล้ว! ดังนั้น เจ้าจำเป็นที่จะต้องตาย!”
ท่าทีที่มีต่อนางของคนผู้นี้คือต้องการที่จะสังหารนางให้ได้ ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับการมอบหมายงานของสำนักหมอทมิฬแต่อย่างใด เขาเพียงแค่อยากจะฆ่านางเท่านั้น?
มู่เฉียนซีรู้สึกสงสัยเล็กน้อย และตอนนี้นางเองก็เริ่มจะเดือดดาลขึ้นมาแล้ว
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!
กระบี่กวัดแกว่งไปมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เกิดร่องรอยหลายแห่งอยู่บนพื้น
นี่มันยังไม่พอ!
เขาหยิบสิ่งของบางอย่างออกมาจากมือของเขา จากนั้นก็หมุนวนพลังวิญญาณแล้วโยนขึ้นไปกลางอากาศ ทันใดนั้นก็ดูเหมือนว่ามิติทั้งหมดจะถูกพลังบางอย่างพันธนาการเอาไว้เสียแล้ว
“ค่ายกลกับดักมิติ! เจ้าไม่กลัวที่จะทำให้กิจการของตนเองต้องขาดทุนอย่างนั้นหรือ?” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
ถึงนางจะไม่เคยได้เห็นสิ่งนี้มาก่อน แต่ก็เคยได้ยินมาบ้างว่า ฐานค่ายกลของค่ายกลกับดักมิตินั้น ถูกสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์ค่ายกลผู้มีความเข้าใจในพลังของมิติ และได้นำเอาเคล็ดวิชาค่ายกลมาวางอยู่บนฐานค่ายกล และทำให้คนที่ใช้วิชาค่ายกลไม่ได้สามารถใช้เคล็ดวิชาค่ายกลได้
“เจ้าหนีไปไหนไม่รอดหรอก!”
คิดว่าเขาน่าจะทนกับการหนีไปของมู่เฉียนซีไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เช่นนั้นจึงได้ลงทุนจำนวนมากเพื่อใช้ฐานค่ายกลของค่ายกลกับดักมิติและทำให้นางถูกขังอยู่ในมิติแห่งนี้
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เช่นนั้นข้าก็จะไม่หนีอีกแล้ว!”
มู่เฉียนซีเก็บพัดวิหคเฟิงหลิงกลับไป จากนั้นก็ชักกระบี่สีแดงก่ำออกมา
พลังธาตุอัคคีปะทุออกมา และได้เผาไหม้อากาศที่อยู่บริเวณโดยรอบ มู่เฉียนซีเหวี่ยงกระบี่ออกไป และได้ระเบิดกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา
“เพลิงนภาพิฆาต!”
ด้วยพลังการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัว ทำให้สีหน้าของชายชุดขาวผู้นี้เผยความประหลาดใจออกมา และต้องบอกเลยว่ากระบวนท่านี้ช่างแข็งแกร่งมากจริง ๆ
แต่หากคิดที่จะเอาชนะเขาให้ได้ มันยังไม่เพียงพอหรอก!
พลังของกระบี่ปะทุออกมาเป็นชั้น ๆ จากนั้นเสียง ตูมม! ก็ดังออกมาอย่างสนั่นหวั่นไหว และสายฟ้านับไม่ถ้วนก็ก่อตัวจนเป็นลูกบอลลูกหนึ่ง แล้วสกั้ดกั้นกระบี่ของมู่เฉียนซีเอาไว้ได้
“จอมภูตพลังธาตุอัสนีหรือ!” มู่เฉียนซีจ้องมองไปที่เขาอย่างประหลาดใจ
ก่อนหน้านี้เขาเพียงแค่กวัดแกว่งกระบี่อย่างเรียบง่ายเท่านั้น ถึงจะไม่ได้ระเบิดพลังธาตุออกมาก็แข็งแกร่งถึงขนาดนั้นแล้ว ความสามารถของคนผู้นี้ มองข้ามไม่ได้เลยจริง ๆ
เขาเข้าใกล้มู่เฉียนซีราวกับสายฟ้าแลบ จนเสียงแหวกอากาศดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว จากนั้นมู่เฉียนซีใช้การเคลื่อนย้ายภายในชั่วพริบตาเพื่อเพิ่มความเร็ว และรับมือกับเขา
ทุก ๆ การเคลื่อนไหวของเขา บีบให้มู่เฉียนซีเข้าใกล้กับทางตันมากขึ้นเรื่อย ๆ
จากนั้นมู่เฉียนซีจึงได้รวบรวมพลังธาตุวารีในการโจมตี นางกล่าวอย่างเย็นชาว่า “มังกรวารีจงบังเกิด!”
มังกรวารีพุ่งทะยานขึ้นไปกลางอากาศ จากนั้นก็กวาดล้างไปทางศัตรู แต่ทว่าทันทีที่เขากวัดแกว่งกระบี่ออกไป การโจมตีนั้นก็สูญสลายไปในทันที
ความสามารถของตนเองและศัตรูนั้นมีความแตกต่างกันมากเกินไป สำหรับมู่เฉียนซีที่สามารถร่ายได้ทั้งพลังธาตุอัคคีและธาตุวารีนั้น ทำให้อีกฝ่ายประหลาดใจเล็กน้อย เพราะผู้ที่เป็นถึงผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุวิญญาณสามธาตุเช่นนี้หาได้ยากยิ่งในแดนซวนเทียน
นักฆ่าในชุดขาวเอ่ยปากออกมาว่า “ดูท่าว่าจุดมุ่งหมายที่จะกลายเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุวิญญาณหลายธาตุของเจ้าจะประสบความสำเร็จแล้วสินะ แต่เมื่อกลายเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุวิญญาณหลายธาตุแล้วกลับอ่อนแอลงถึงเพียงนี้เลยหรือ?”
“มู่หลินหลาง เจ้านี่ได้ไม่คุ้มเสียเลยจริง ๆ นะ!”
นี่เป็นครั้งแรกที่มู่เฉียนซีได้ยินคนผู้นี้พูดประโยคที่ยาวถึงเพียงนี้ แต่ทว่า…
เขาไม่ได้จำผิดคนหรอกหรือ?
“ข้าไม่ใช่มู่หลินหลาง!” มู่เฉียนซีกล่าวตอบ
“ฝีมือการแปลงโฉมของเจ้า ถึงแม้จะสามารถหลอกคนส่วนใหญ่ได้ แต่ไม่สามารถหลอกข้าได้หรอก” ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นแฝงไปด้วยเจตนาฆ่า ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถมองเห็นการปลอมตัวทั้งหมดได้
มู่เฉียนซีรู้สึกว่าการปลอมตัวของตนเองนั้นไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา และเขาก็สามารถมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนางได้
นักฆ่าคนหนึ่งที่มีความสามารถในการติดตามที่แข็งแกร่งอย่างผิดปกตินั้นก็น่าสะพรึงกลัวมากพออยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะยังมีดวงตาที่พิเศษเช่นนี้อีกด้วย
ซึ่งสามารถกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่าหากนางถูกคนผู้นี้ไล่ล่าจนตาย ก็ไม่ใช่เพราะคำจ้างวานของสำนักหมอทมิฬ แต่เป็นเพราะนางต้องมารับเคราะห์แทนมู่หลินหลางต่างหาก
“ข้าบอกแล้วว่าไม่ใช่ ก็คือไม่ใช่”
“ใบหน้าของเจ้า โกหกข้าไม่ได้หรอก!”
แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเป็นอย่างมากที่องค์หญิงแห่งราชวงศ์ตงหวงจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ แต่ทว่าซูอี้ชิงนั้นเคยลอบสังหารมู่หลินหลางมาก่อน สำหรับใบหน้านี้ของนาง เขานั้นคุ้นเคยมันเป็นอย่างดีเลยทีเดียว
สิ่งที่เขาเห็นก็คือใบหน้าที่ไร้การปลอมแปลงใด ๆ และไม่มีทางที่ใครบนโลกใบนี้จะมีใบหน้าเหมือนกันขนาดนี้ได้
“เจ้าไม่เชื่อข้า!”
“เพื่อเอาชีวิตรอด เจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องยอมรับก็ได้ แต่ข้าก็ยังคงฆ่าเจ้าอยู่ดี” ซูอี้ชิงกล่าวอย่างเย็นชา
โอกาสเช่นนี้ไม่ได้มีมากนัก และในฐานะที่เป็นนักฆ่าคนหนึ่งแน่นอนว่าต้องคว้าโอกาสที่สมบูรณ์แบบที่สุดเช่นนี้ เพื่อสังหารคนที่ต้องการจะสังหารให้จงได้
มู่เฉียนซีรู้ดีว่าใบหน้าของนางนี้คือหลักฐานที่แน่นหนา เพราะขนาดสามารถทำให้อวิ๋นซิวที่หลงรักมู่หลินหลางมาตลอดจำผิดได้ ฉะนั้นหากเป็นคนอื่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
หากเป็นคนที่เคยเจอหน้ามู่หลินหลางเพียงไม่กี่ครั้งก็ไม่แปลกใจเลยที่จะจำพวกนางทั้งคู่ผิด เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงปัญหานางจึงไม่ค่อยที่จะใช้ใบหน้าที่แท้จริงของนางเท่าไรนัก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะต้องมาเจอกับคนที่แปลกประหลาดเช่นนี้ได้
นางนี่ช่างโชคร้ายเสียจริง ๆ!
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “อยากจะฆ่าข้า เช่นนั้นก็มาลองดูว่าเจ้าจะมีความสามารถนั้นหรือไม่!”
“แน่นอน แม้ว่าการสังหารองค์หญิงมู่หลินหลางแห่งราชวงศ์ตงหวงจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทว่าข้าก็จะต้องฆ่าเจ้าให้จงได้!”
ตูมมม โครมมม!
กระบี่ของซูอี้ชิงนั้นน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก และมันก็ทำให้ต้นไม้ที่อยู่บริเวณโดยรอบกลายเป็นเศษไม้ไปเลยทีเดียว
จิตสังหารที่ระเบิดออกมาอย่างสมบูรณ์แบบนั้นทำให้มิติที่ถูกผนึกเอาไว้สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาล
พลังกระบี่อันยิ่งใหญ่ได้จู่โจมเข้ามาอีกครั้ง ถึงพลังธาตุวายุ อัคคีและวารีจะระเบิดออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ทว่าน้ำน้อยก็ยังคงต้องแพ้ไฟอยู่ดี
มู่เฉียนซีไม่รู้ว่าปะทะฝีมือกับนักฆ่าชุดขาวนี้มานานแค่ไหนแล้ว แต่ทว่าพลังวิญญาณมิติยังคงไม่สามารถใช้ได้ และหากไม่สามารถใช้การเคลื่อนย้ายภายในชั่วพริบตาได้ ด้วยทักษะความเร็วทางร่างกายของนางคงไม่อาจที่จะหลบหลีกได้ จากนั้นคงกลายเป็นเพียงเป้าหมายที่มีชีวิตของนักฆ่าผู้นี้เท่านั้น!
หลังจากมู่เฉียนซีเบี่ยงตัวหลบออกไป ก็สามารถทิ้งห่างจากซูอี้ชิงได้ระยะหนึ่ง
พรวด!
มู่เฉียนซีกระอักเลือดสด ๆ ออกมา และได้รับบาดเจ็บสาหัสเลยทีเดียว
นางกล่าวว่า “ข้าไม่ใช่มู่หลินหลาง เจ้ามองหาคนผิดแล้ว”
“องค์หญิงหลินหลางผู้สูงศักดิ์ไม่มีคนคอยคุ้มครองอยู่ข้างกายแล้วอย่างนั้นหรือ? เจ้ายังไม่รีบเรียกคนของเจ้าออกมาอีก มิฉะนั้นทันทีที่ข้าลงดาบ หัวของเจ้าคงต้องหลุดออกจากคอเป็นแน่”
ในตอนที่ซูอี้ชิงเห็นมู่หลินหลาง ความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้หวังมากมายนักว่าจะสามารถฆ่านางได้ สุดท้ายแล้วเขาก็รู้ดีว่าที่การลอบสังหารคราวที่แล้วล้มเหลวเป็นเพราะข้างกายของมู่หลินหลางมีคนคอยคุ้มครองอยู่มากมายเพียงใด
แต่ถึงกระนั้น เขาก็อยากที่จะลองเดิมพันดูสักตั้ง!
หากทางฝั่งมู่หลินหลางเกิดปัญหาจนไม่มีคนมาคุ้มครองแล้วละก็ เช่นนั้นบางทีเขาอาจจะสังหารผู้หญิงคนนี้ได้สำเร็จก็เป็นได้?
.
.